สมัยเรียน ผมมีโอกาสได้อ่านและสัมผัสความงดงามของเรื่องสั้นเล่มหนึ่งของญี่ปุ่น มันตราตรึงในความคิดของผมเสมอมา… นั่นคือเรื่อง “ปลาย่าง” (The Grilled fish)
ในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย ผมมีโอกาสได้อ่านและสัมผัสความงดงามของเรื่องสั้นเล่มเล็กของญี่ปุ่นเล่ม หนึ่งที่ตราตรึงในความคิดของตนเองเสมอมา… นั่นคือเรื่อง “ปลาย่าง” (The Grilled fish)

เรื่องสั้นเรื่องนี้คือกลิ่นอายแห่งการดิ้นรนที่จะไม่ยอมจำนนต่อความพ่ายแพ้อันอ่อนล้าผิดหวังของชีวิตอันเนื่องมาแต่ชะตากรรมที่โหดร้าย ผ่านผัสสะแห่ง “เรื่องราวการเดินทางกลับบ้านของปลาแมคเคอเรลที่ถูกย่างจนดูน่ากินตัวหนึ่ง” เรื่องราวที่แม้ร่างกายจะสูญสลายและถูกทำลายไปแล้ว แต่จิตวิญญาณในสำนึกคิดเบื้องลึกยังโลดเต้นและไม่ยอมที่จะตายจนกว่าจะไปถึง จุดหมายปลายทางแห่งความหวังอันสูงสุดของชีวิต ที่ถือเป็นพลังของการต่อสู้อันยิ่งใหญ่แห่งซากร่างที่น่าเวทนากับการบรรลุ ถึงเป้าประสงค์อันลึกซึ้งของความเป็นชีวิต
“ปลาย่าง” นิทานแห่งคุณธรรมเพื่อให้สติ (Moral Fable) ผลงานแปลของอาจารย์มนตรี อุมะวิชนี ที่งดงามและเต็มไปด้วยอารมณ์สะเทือนใจ… จากงานประพันธ์ที่กลั่นออกมาจากเลือดเนื้อและหัวใจที่จริงจังของ “โอกูมะ ฮิเดโอะ” นักเขียนนิทานผู้ทรงพลังทางความคิดของญี่ปุ่น ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่างปี พ.ศ.2444 ถึง พ.ศ.2483… เขาจากโลกนี้ไปด้วยอายุที่น้อยมากเพียง 39 ปี แต่ก็ทิ้งผลงานเชิงการประพันธ์เอาไว้มากมายหลายประเภท…
เขาอยู่ในฐานะกวีที่เขียนกวีนิพนธ์สื่อสารสาระออกมาอย่างดิ่งลึก… เป็นจิตรกรวาดภาพ เป็นนักเล่านิทานแห่งชะตากรรม รวมทั้งเป็นนักวิจารณ์ แต่ที่สำคัญในสถานะของความเป็นมนุษย์ เขาคือคนจนที่ยากจนจริงๆ… “โอกูมะ ฮิเดโอะ” เขียนนิทานเรื่อง “ปลาย่าง” เมื่อปีพ.ศ. 2466 ขณะที่มีอายุได้เพียง 22 ปี… โครงสร้างแห่งเรื่องราวของเขาไม่มีอะไรซับซ้อน ถ้ามองดูเพียงผิวเผิน… แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ลึกลงไปกลับเป็นประเด็นแห่งการร้องขอความเอื้ออาทรต่อ เหยื่อผู้ด้อยโอกาส… ร้องขอต่อผู้มีอำนาจที่สามารถเกื้อกูลชีวิตอื่นๆให้ได้หันมาใส่ใจกับชะตา กรรมอันทุกข์ยากและไร้ความหวังที่จะปกป้องตัวเองของผู้ที่อ่อนแอกว่า…
“ปลาย่างอยากกลับไปสู่ทะเล ไปเยือนถิ่นที่เคยอยู่เป็นปลาที่มีชีวิต… ที่นั่นมีพ่อแม่พี่น้องที่มันรัก มีผองเพื่อนไว้เล่นหัว เบื้องบนคือเพดานน้ำที่กว้างใหญ่ เบื้องล่างเป็นปะการังสีแดงต้นน้อยๆในกอสาหร่าย มันคิดถึงทะเลมากเหลือเกิน คิดถึงมากขึ้นทุกทีจนน้ำตาเค็มๆเอ่อขึ้นมา เวลานี้มันถูกย่างจนตัวเบา ถูกเสียบด้วยเหล็กจนกระดิกปลายหางยังไม่ได้ แต่ปลาย่างก็ปักใจแน่วแน่ว่า… มันจะเดินทางกลับบ้าน”
นั่นคือปณิธานในเชิงอุปมาที่ปรากฏอย่าง ขมขื่นและน่าโศกเศร้าในนิทานเรื่องนี้… นิทานชีวิตของผู้ถูกกระทำที่ไม่เหลือชีวิตรอดนอกเหนือจากจิตวิญญาณที่พวย พุ่งน้ำพุแห่งความหวังเอาไว้กับห้วงสำนึกอยู่ตลอดเวลา… ปลาแมคเคอเรลที่กลายเป็นปลาย่างตัวนี้ถูกดึงขึ้นมาจากน้ำและโยนสุมๆ เข้าไปในถังน้ำมันเก่าๆ ใบหนึ่งพร้อมกับปลาแมคเคอเรลตัวอื่นๆ ที่ถูกจับ การเดินทางต่อมาโดยรถไฟดูยาวนานราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุด แล้วพวกมันก็ถูกเทออกมาจากถังมืดและถูกเรียงไว้ตรงหน้าร้านขายปลาแห่งหนึ่ง ในเมืองที่สว่างไสวใหญ่โต.. มันรู้สึกคล้ายกับได้กลับบ้านอยู่เหมือนกัน เพราะที่นั่น… ที่ร้านขายปลา มันถูกแวดล้อมด้วยปลาจาระเม็ด ปลากะพง ปลาเฮอริ่ง ปลาหมึก รวมทั้งปลาอื่นๆ ที่มันไม่เคยเห็นมาก่อน… ปลาทั้งหมดนอนเรียงติดๆ กันอย่างมีสีสัน ไม่มีช่องว่างให้เกิดความรู้สึกว้าเหว่… นั่นคือภาพลวงตาอันเยือกเย็นแห่งหายนะ เพราะแท้จริงบรรยากาศโดยรวมของการมีชีวิตอยู่ ณ ขณะนั้นมันกลับเต็มไปด้วยความเหนื่อยหน่าย สิ้นหวัง ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ ไม่มีใครพูดกันเลย ปลาทุกตัวนอนนิ่งราวกับคนไข้ เบิ่งตาที่ไม่มีแววของมันดุจดั่งตุ๊กตา… นี่คือภาวะของการรอคอยชะตากรรมที่แสนจะมืดมน
หลังจากเวลาผ่านไปสอง สามวัน ก็มีสุภาพสตรีคนหนึ่งมาซื้อปลาแมคเคอเรลตัวนี้… นำมันไปที่บ้านและจัดการย่างมันให้เป็น “อาหารค่ำ” ซึ่งอีกไม่นาน นายเจ้าของบ้านจะกลับมาจากทำงาน และแน่นอนเขาจะรับประทานมันเป็นอาหาร… นี่คือวิถีชีวิตที่ง่ายดายของสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่ง ที่ธรรมชาติบงการชะตากรรมของมันให้ต้องพบกับเคราะห์ร้ายของการตกเป็นเหยื่อ แม้ในความจริงภายนอก… ร่างกายอันถือเป็นบ้านแห่งชีวิตของมันจะหมดลมหายใจไปแล้ว แต่จิตวิญญาณของมันกลับพลุ่งพล่านที่จะกลับบ้าน… จิตวิญญาณของมันยังคงอยู่และยังไม่ได้ตายตามซากร่างของมันไป
“ทะเล… ฉันอยากเห็นทะเลสีคราม ดูใบเรือสีขาวของเรือที่แล่นผ่าน”… มันคร่ำครวญและพยายามกระเสือกกระสนไปให้พ้นจากจาน… แต่ร่างกายที่ถูกย่างแล้วกลับมีความเบาหวิวอย่างประหลาด อีกทั้งเหล็กแหลมที่เสียบกลางลำตัวของมัน ก็ทำให้มันไม่สามารถกระดิกลำตัวได้แม้เพียงปลายหาง แม้จะพยายามดิ้นรนสักเพียงใดก็ตาม นี่คือตัวอย่างของการกระเสือกกระสนเพื่อการดำรงอยู่ของชีวิตที่ “โอกูมะ ฮิเดโอะ” พยายามชี้ให้เราได้เห็น… ชีวิตอาจไม่ได้จากเราไปได้ง่ายๆหรอก ภาวะการติดค้างทางจิตวิญญาณของทุกๆ ชีวิตย่อมมีด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่เราในฐานะแห่งความเป็นชีวิตด้วยกันจะมองเห็นสภาพจริงดังกล่าวนี้ หรือไม่… ได้ยินเสียงค่ำครวญอันน่าเวทนาแห่งชะตากรรมนี้หรือเปล่า
ณ ที่นี้… ผู้ที่มองเห็นคือเจ้าแมวผู้กระหายหิว… “แมวกับปลาย่าง” เป็นความเปรียบเทียบที่บ่งชี้ให้เห็นถึงอำนาจนิยม… ที่ผู้มีอำนาจมีสำนึกต่อ “เหยื่ออันโอชะ” ซึ่งไร้หวังและไร้อำนาจของการต่อรองที่ต้องสยบยอมอยู่ตรงเบื้องหน้า… ปลาแมคเคอเรลพยายามเล่าถึงเคราะห์ร้ายต่างๆของมันและวิงวอนให้แมวพามันไปที่ ทะเล แต่สัญชาตญาณอันดิบเถื่อน เจ้าเล่ห์และเห็นแก่ตัวของแมวก็เรียกร้องรางวัลตอบแทน ที่ปลาไม่มีทางเลือกอื่นได้เลย… มันต้องยกเนื้อตรงแก้มซึ่งเป็นส่วนที่อร่อยที่สุดให้แก่แมวด้วยคามหวังที่ เต็มเปี่ยมว่ามันจะได้กลับบ้าน… กลับสู่ทะเลอันเป็นที่รักจริงๆ
“น้ำตาของมัน… ไหลเอ่อออกมา”… นางแมวคาบปลาไว้แล้วย่องหลบออกไปทางประตูหลังออกไปสู่ถนนก่อนที่แม่บ้านหรือ สาวใช้จะนึกสงสัย แต่พอไปถึงสะพานที่ชานเมือง แมวก็ทิ้งร่างของปลาลงบนพื้น และอิดออดว่า
“ท้องฉันว่างออกอย่างนี้ ฉันคงจะหิวตายก่อนที่เราจะไปถึงทะเลที่ห่างไกลอย่างนั้น”
ด้วยกลัวว่าจะไม่ได้กลับบ้าน เจ้าปลาก็เลยให้แมวผู้เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกินเนื้อที่แก้มทั้งสองข้างของ มัน… จนหมดเกลี้ยง… ก่อนที่จะหันหลังวิ่งหนีไปโดยไม่ไยดี… ปลาต้องนอนนิ่งอยู่บนสะพานด้วยความเศร้าและโดดเดี่ยว… มันคิดถึงสัตว์ใจดีสักตัวที่จะเดินผ่านมา จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น ก็มีเจ้าหนูสกปรกที่มุดออกมาจากท่อน้ำมาเจอเข้า… การต่อรองในเงื่อนไขเดิมก็เกิดขึ้น ปลายอมยกเนื้อซีกส่วนบนให้แก่หนูเป็นข้อแลกเปลี่ยน… หนูพาปลามาถึงที่นาอันโล่งแจ้งแล้วก็บ่นว่าไม่มีแรงไปต่อ… จากนั้นก็วิ่งหนีไป…ถึงยังไงหนูก็คือสัตว์ที่ไม่เคยไว้ใจได้ มันคือพาหะของโรคร้ายและเป็นตัวทำลายสรรพสิ่งแม้แต่รังที่มันอาศัยคุ้มหัว อยู่ แต่ปลาแมคเคอเรลผู้น่าสงสารก็ต้องตกเป็นเหยื่อของมัน… อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะถูกทรยศด้วยเล่ห์กลของสิ่งมีชีวิตร่วมโลกเพียงใด… แม้จะสัมผัสได้ถึงความสิ้นหวัง แต่มันก็ไม่เคยไร้หวัง… แล้วปลาก็ได้พบกับหมาจรจัดเป็นรายต่อไป สันดานของหมาจรจัดไม่เคยวางใจได้ แต่ปลาก็ต้องยอมแลกเปลี่ยนด้วยการเอาเนื้อสีข้างซีกที่เหลือแลกเป็นค่า โดยสารไปทะเล…
หลังจากที่ได้กินเนื้อปลาอย่างเอร็ดอร่อยเจ้าหมา จรจัดผู้ไม่น่าไว้วางใจก็คาบปลาไปปล่อยทิ้งไว้กลางป่าไผ่สน… มันสลัดปลาทิ้งและวิ่งหายไป… “ไม่มีสิ่งใดเห็นใจกันอย่างแท้จริงหรอก” โดยเฉพาะในสังคมแห่งความทุกข์ยากของโลกวันนี้… ปลานอนสิ้นหวังอีกครั้ง ร่างกายของมันแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว นอกจากโครงกระดูก แล้วอย่างนี้มันจะเหลืออะไรเป็นเครื่องตอบแทน หากมีใครจะช่วยนำมันไปทะเลอีกครั้ง “ความหนาวเย็นของหยาดฝนซึมลึกเข้าไปจนถึงแกนกระดูของมัน”
เช้าวันต่อมา… ปลาต้องร้องเรียกนางกาตัวหนึ่งที่บินผ่านมาเพื่อให้ช่วยเหลือ… แต่นางกาไม่ยอมรับเศษเนื้อติดกระดูกเป็นรางวัลตอบแทน… กาที่ตัวดำและใจดำใช้เล่ห์เหลี่ยมแห่งจิตใจที่มืดดำเรียกร้องสิ่งที่มีค่า ยิ่งกว่านั้น ซึ่งที่สุด “ปลาผู้น่าเวทนา” ก็ต้องยอมเสียสละดวงตาให้แก่กาผู้ไร้ความเมตตาตัวนั้นไป
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอมอบดวงตาที่มีค่าแก่เจ้า… มันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันเหลืออยู่” ปลาพูดอย่างเศร้าๆ ก่อนที่นางกาจะจิกตาปลาออกมาทั้งสองข้าง “ตาของปลาแห้งและย่น ไม่ใช่สิ่งที่จะกินได้เลย” แต่นางกาก็เอามันเก็บใส่กระเป๋าโดยคิดว่ามันคงจะเอาไปทำสร้อยคอสวยๆ ได้ ต่อมามันก็จิกเล็มตามหลังปลาเพื่อหาเศษอาหารที่อาจหลงเหลืออยู่หลังจากสัตว์ อื่นๆ ได้เอาส่วนแบ่งของพวกมันไปแล้ว เหลือแต่จิตวิญญาณที่กำลังจะถูกฉีกทึ้ง ให้ต้องตายตามร่างกายไป… นางกาจับก้างปลาด้วยกรงเล็มที่แข็งแรง ออกบินไปจนกระทั่งปลารู้สึกว่ากำลังจะถึงบ้าน… นางกากลับปล่อยร่างของปลาตกสู่พื้นหญ้าและบินหนีไปโดยไม่สนใจใยดี…
ในที่สุดปลาแมคเคอเรลผู้ถูกชะตากรรมโบยตีก็ได้พบกับสัตว์ประเสริฐตัวเล็กๆ ที่มองดูเหมือนไร้ค่า แต่ความรัก… ความผูกพันที่มีระหว่างกันของเหล่าฝูงมดอันหลอมรวมเป็นน้ำใจไมตรีก็ได้ช่วย กันระดมกองทัพ…ยึดพยุงนำและปลาไปส่งถึงทะเลได้ในที่สุด แต่อนิจจา… แม้จมูกของมันจะได้กลิ่นอันอบอวลของสาหร่ายทะเล แม้หูของมันจะได้ยินเสียงคลื่นลมแห่งทะเลผ่านผัสสะทางจิตวิญญาณ แต่มันก็ไม่สามารถมองเห็นในสิ่งที่อยากมองเห็นนั้นได้…
“น้ำทะเลสีครามหรือใบเรือสีขาว” ทุกอย่างล้วนต่างตกอยู่กับความมืดมนทั้งกับตัวตนและโลกแห่งการมีชีวิตอยู่ แม้ว่าจะมีส่วนช่วยเหลือเล็กๆ จากบางสิ่งบางอย่าง แต่สิ่งเหล่านั้นก็อาจจะดูเล็กเกินไปที่จะสามารถลุกขึ้นมาปกป้องความเป็นโลก และชีวิตอันถูกต้องดีงามได้โดยตลอด… และบางขณะสัตว์ผู้รักเผ่าพันธุ์และมีหัวใจเอื้ออาทรอย่างมดก็มักจะถูกเหยียบ ย่ำทำลายไปอย่างไม่ใยดีเช่นเดียวกัน
“ขณะที่ปลาแมคเคอเรลหย่อน ตัวลงในเกลียวคลื่น พอเริ่มออกว่ายมันก็รู้สึกว่าตัวของมันหนักกว่าที่เคยเป็น จนต้องกระเสือกกระสนสุดฤทธิ์ เพื่อให้รอดพ้นจากการจมน้ำ… ส่วนน้ำเล่า… ก็หนาวเย็นจนเจ็บปวดรวดร้าวทุกครั้งที่ขยับตัวว่าย เกลือซึมเข้าไปทุกอณูของร่างกาย ทำให้มันเสียวแปลบครั้งแล้วครั้งเล่า”
“ปลาย่าง” คือแบบอย่างแห่งความเป็นชีวิตในโลกปัจจุบัน ที่เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความโหดร้าย… ไร้ความเมตตากรุณาของเพื่อนร่วมโลก ทุกสิ่งมีแต่ความเห็นแก่ตัวที่พร้อมจะเอารัดเอาเปรียบกินเลือดกินเนื้อ… และทำร้ายกันได้แม้แต่ผู้ที่มีชะตากรรมอันน่าเวทนาที่พ่ายแพ้และระทมทุกข์ อยู่ตรงหน้า… ความทุกข์เศร้าในประสบการณ์จริงของ “โอกูมะ ฮิเดโอะ” ชี้ให้เราได้เห็นถึงสัจธรรมอันน่าเจ็บปวดที่อุบัติขึ้นตรงนี้… เราหวังความช่วยเหลือจากใครไม่ได้เลย โดยเฉพาะในฐานะมนุษย์ คุณไม่สามารถก้าวพลาดได้… คุณต้องระวังไม่ให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งดึงคุณให้หลุดพ้นมาจากบ้านแห่งชีวิต… ดึงคุณให้หลุดพ้นมาจากรากเหง้าของความเป็นชีวิต… คุณอาจถูกนำมาขายเป็นสินค้าในตลาดแรงงาน… ในซอกหลืบแห่งกามโลกีย์…
ในโลกที่คนกินเนื้อคนและย่ำยีจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ให้แหลกลาญไปอย่างไม่ใย ดี… ฯลฯ ด้วยความเป็นจริงของวันนี้ เรามีคนที่อดอยาก ไร้อาหารถึงหนึ่งพันล้านคนบนโลกนี้… ซึ่งมันคงจะหมายถึงการเป็นยุคสมัยแห่งคนกินคน โดยสมบูรณ์แบบแล้ว… ภายใต้เงื่อนไขของความจริงแท้ที่ไม่ได้เป็นเพียงนิทานชะตากรรมเพื่อการบอก เล่าหรือเตือนสติกันอีกต่อไป “เนื่องจากปลาตาบอด มันจึงทำอะไรไม่ได้มากกว่าเคลื่อนไหวไปอย่างไร้จุดหมาย”
สั่งซื้อหนังสือ “ปลาย่าง” (The Grilled fish) >> https://book.prf.hn/l/KV4wGPL