เมื่อเราพูดถึงธุรกิจ Start-up นั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยคิดถึงภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นกัน อาจเนื่องจากวัฒนธรรมองค์กรญี่ปุ่นเองที่ยังมีลักษณะเฉพาะตัวอยู่มาก…
เมื่อเราพูดถึงธุรกิจ Start-up นั้นคนส่วนใหญ่จะไม่ค่อยคิดถึงภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นกัน อาจเนื่องจากวัฒนธรรมองค์กรญี่ปุ่นเองที่ยังมีลักษณะเฉพาะตัวอยู่มากอย่างที่ผู้เขียนเคยเขียนใน https://www.marumura.com/why-not-mba-in-japan/ อีกทั้งตลอดศตวรรษที่ 20 ที่ผ่านมาเกือบทั้งศตวรรษนั้นญี่ปุ่นแทบจะไร้คู่แข่งในทวีปเอเชีย ดังที่เคยเล่าใน https://www.marumura.com/showa-as-japan-golden-age/ หลายท่านจึงยังมองภาพญี่ปุ่นกับธุรกิจ Start-up ที่ต้องปรับตัวเร็วและแข่งขันสูงในระดับนานาชาติได้ไม่ชัดนัก
แต่ที่จริงแล้วรัฐบาลญี่ปุ่นเองตระหนักดีถึงความตึงเครียดของสถานการณ์ เพราะญี่ปุ่นยังให้งบสนับสนุนธุรกิจ Start-up เพียงหลักพันล้านเท่านั้นต่อปี ในขณะที่พี่เบิ้มอย่างสหรัฐอเมริกาหรือจีนนั้นใช้งบระดับหมื่นล้านอัพ อีกทั้งสังคมญี่ปุ่นปัจจุบันนั้นเข้าสู่สังคม “ญี่ปุ่น 5.0” แล้ว คือเป็นสังคมหลังนวัตกรรมที่ญี่ปุ่นต้องการใช้เทคโนโลยีมาแก้ปัญหาสังคมและพัฒนาให้ชีวิตมนุษย์มีความสุขขึ้น ในปี ค. ศ. 2018 ทางกระทรวง METI (Ministry of Economy, Trade and Industry) จึงมีการประกาศ J-Startup Project ขึ้นเพื่อสร้างระบบนิเวศหรือชุมชนแห่งการช่วยเหลือและบ่มเพาะการเติบโตของธุรกิจ Startup ในญี่ปุ่นให้สามารถแข่งขันในระดับนานาชาติได้ โดยทาง METI มีความร่วมมือกับ JETRO (Japan External Trade Organization) ในการสนับสนุน Startup สัญชาติญี่ปุ่นในหลายรูปแบบด้วยกัน
นอกจากนี้ยังมีโครงการ J-Bridge เพื่อสนับสนุนให้ธุรกิจญี่ปุ่นร่วมมือกับธุรกิจในกลุ่มประเทศ ASEAN ให้นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมของญี่ปุ่นเข้ามาใช้ประโยชน์กับธุรกิจใน 6 สาขาคือการลดการปล่อยคาร์บอน, การขนส่ง, การแพทย์, เทคโนโลยีเกษตรกรรมและประม, การค้าปลีก, และ Smart City
น่าเสียดายที่เกิดวิกฤติ Covid-19 ตั้งแต่ปี ค. ศ. 2019 ทำให้ยากที่จะเรียกว่า J-Startup และ J-Bridge ประสบความสำเร็จอย่างชัดเจนเพราะทุกประเทศล้วนต้องให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาและป้องกันปัญหาไวรัส Covid เสียก่อน
อย่างไรก็ตามเนื่องจากปัจจุบันน่าจะเรียกได้ว่าทุกประเทศพ้นจากภาวะวิกฤติของไวรัสแล้ว แม้ว่า Covid จะยังไม่ได้หายไปไหน แต่เรียกว่าสถานการณ์ลดความรุนแรงลงไปมาก จึงน่าจะเป็นโอกาสดีที่ญี่ปุ่นจะหันมาเดินหน้าเต็มกำลังกับธุรกิจ Start-up ญี่ปุ่นกันเสียที
เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน พ. ศ. 2566 ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมฟังในงาน Thailand-Japan Economic Forum 2023 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเป็นเวทีสนับสนุนความสัมพันธ์ทางการค้าการลงทุนระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น จึงได้พบกับนักธุรกิจ Start-up จากญี่ปุ่นหลายท่าน จึงขอแนะนำสัก 3 บริษัทที่น่าสนใจเพราะเป็น Start-up ญี่ปุ่นขนานแท้และเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
1. บริษัทแรกคือบริษัท Zeroboard (Thailand) มีธุรกิจหลักคือ ให้บริการระบบ Cloud ที่สามารถจัดการและคำนวณข้อมูลของก๊าซเรือนกระจก (GHG) รวมทั้งสามารถแสดงข้อมูลแบบ Visualization เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการลดการปล่อย GHG จากสินค้าหรือบริการของธุรกิจใด ๆ เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้นได้ มีหลากหลายบริการให้เลือก สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่ https://zeroboard.jp/ มีข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษอ่านเข้าใจไม่ยากเลย
2. บริษัทต่อมาคือบริษัท Neural (Thailand) มีธุรกิจหลักคือ การใช้ AI ในการวิเคราะห์ Flow ต่าง ๆ เช่น การไหลเวียนของพาหนะบนท้องถนน, การจราจร, การจัดการที่จอดรถ, การเคลื่อนที่ของฝูงชนทั้งในและนอกอาคาร ซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ในหลากหลายธุรกิจ (หากรู้ Flow ของคนและ Flow ของพาหนะ ก็แทบจะเป็นประโยชน์กับทุกธุรกิจก็ว่าได้) ดูรายละเอียดเพิ่มได้ที่ https://th.neural-group.com/ บริษัทนี้มีเว็บไซต์ภาษาไทยเรียบร้อยแล้ว
3. บริษัทสุดท้ายที่อยากแนะนำคือบริษัท Flare (Thailand) มีธุรกิจหลักคือเป็น Platform วิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการขับขี่พาหนะบน Cloud ที่สามารถเข้าถึงจากโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งเป็นประโยชน์มากต่อพฤติกรรมการขับขี่อย่างปลอดภัย, การป้องกันการขับขี่ขณะมึนเมา, หรือผู้ขับขี่มีโรคกำเริบชนิดปัจจุบันทันด่วน, รวมทั้งการเบรคกะทันหันหรือเบรคกระชาก เป็นต้น และสามารถเข้าถึงได้ทั้งโทรศัพท์ IOS และ Android สามารถดูรายละเอียดได้ที่ https://flare.run/ มีข้อมูลเป็นภาษาอังกฤษเช่นกัน
ทั้ง 3 บริษัทล้วนเข้ามาทำตลาดในไทยแล้ว ผู้เขียนได้พบกับผู้บริหารสูงสุดของทั้ง 3 บริษัท และพบความจริงที่น่าทึ่งคือ ทั้ง 3 คนอายุอยู่ในวัยเพียง 30 กว่า ๆ เท่านั้น ซึ่งผิดไปจากองค์กรญี่ปุ่นทั่วไปที่หมายเลข 1 มักจะอายุอย่างน้อย 50 ขึ้นไปจึงจะขึ้นตำแหน่งสูงแบบนั้นได้ นอกจากนี้ทั้ง 3 ท่านยังพูดภาษาอังกฤษคล่องแคล่ว กล้าแสดงความคิดเห็นฉะฉาน และสามารถนำเสนอ presentation บนเวทีได้อย่างสากล ต่างจากประธานบริษัทชาวญี่ปุ่นอายุเยอะในภาพจำของชาวไทยไปเลย ทำให้ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าญี่ปุ่นเอาจริง และทำให้อยากเอาใจช่วยให้ญี่ปุ่นพัฒนาธุรกิจนี้และขึ้นเป็นชาติมหาอำนาจด้าน Start-up อีกชาติหนึ่งให้ได้
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– พุทธพาณิชย์แบบญี่ปุ่น
– ทำไมหลักสูตร MBA ถึงไม่ฮิตในญี่ปุ่น?
– ไทโด (躰道): ศิลปะการต่อสู้ชนิดใหม่ในญี่ปุ่นที่มาแรง
– หลักการบริหารงานแบบตระหนักถึง “มนได (問題)” และ “คะได (課題)” สไตล์ญี่ปุ่น
– ปรากฏการณ์ “เทอิน-วะเระ (定員割れ)” ของระบบการศึกษาญี่ปุ่น
#Start-up สัญชาติญี่ปุ่นเตรียมผงาดหลังสถานการณ์ Covid-19 บรรเทาลง