ดิฉันพาลูกศิษย์ 4 คนไปแข่งประกวดแผนธุรกิจที่มหาวิทยาลัย APU จังหวัดโออิตะ มาค่ะ ครั้งนี้ เป็นการประกวดแผนธุรกิจระดับอินเตอร์ครั้งแรกในญี่ปุ่นด้วย (NHK มาทำข่าวด้วยนะเอ้อ) แต่ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!!!
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันพาลูกศิษย์ 4 คนไปแข่งประกวดแผนธุรกิจที่มหาวิทยาลัย APU จังหวัดโออิตะ มาค่ะ ครั้งนี้ เป็นการประกวดแผนธุรกิจระดับอินเตอร์ครั้งแรกในญี่ปุ่นด้วย (NHK มาทำข่าวด้วยนะเอ้อ) แต่ก็มีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!!!
เรานั่งเครื่องบินจากกรุงเทพฯ มาลงฟุกุโอกะ พอลงจากเครื่องปุ๊บ ลูกศิษย์คนหนึ่งในทีมดิฉันขอวิ่งเข้าห้องน้ำทันที สาวน้อยอาการไม่ดีมาก ท้องเสียและอาเจียนตลอด ดูเหมือนอาหารเป็นพิษ จนสุดท้าย เราลงความเห็นว่า พาไปโรงพยาบาลดีกว่า
น้องนักศึกษาม. APU ที่มาต้อนรับช่วยวิ่งไปบอก Information Center ของสนามบิน ซึ่งช่วยเรียกรถพยาบาลให้อีกทีหนึ่ง ซึ่งรถพยาบาลก็วิ่งมาหาพวกเราภายใน 5 นาที ลุงบุรุษพยาบาลเอาแคร่มาหามตัวลูกศิษย์ของดิฉันขึ้นรถพยาบาลไป โดยดิฉันกระโดดตามขึ้นไปด้วยในฐานะผู้ติดตามและล่าม
ครั้งแรกในชีวิตกับการขึ้นรถพยาบาล…

เมื่อดิฉันรีบวิ่งไปคว้าเป้และกระโดดขึ้นรถพยาบาลอย่างว่องไว สิ่งที่ดิฉันแปลกใจคือ….รถจอดนิ่งสนิท ปกติ ถ้าเป็นในหนัง พอขึ้นรถปุ๊บ คนขับต้องรีบเปิดไซเรนและพาคนไข้บึ่งไปโรงพยาบาลด้วยความเร็วระดับ Fast & Furious 7 แต่…รถจอดนิ่ง คุณลุงบุรุษพยาบาลคงเห็นว่า เคสเราไม่ใช่เคสฉุกเฉินเร่งด่วนขนาดนั้น เลยเอาเครื่องวัดความดัน วัดชีพจร มาพันไว้ที่แขนนิสิตดิฉันด้วยความใจเย็น
จากนั้น ลุงบุรุษฯ ก็เริ่มถามว่า ทานอะไรตอนกี่โมง รู้สึกแย่เมื่อไร ไปเข้าห้องน้ำกี่ครั้งแล้ว ซึ่งจุดนี้ ดิฉันพยายามคิดว่า คงเป็นเรื่องทางการแพทย์มากกว่าเรื่องความเป็นญี่ปุ่นที่บ้าตัวเลข เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วน ลุงก็สบายใจและบอกให้คนขับขับไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในฟุกุโอกะ คนขับอุตส่าห์เปิดไซเรนปี๊ป่อให้ด้วย แต่ก็ขับอย่างชิวๆ จนถึงโรงพยาบาล
เราถูกพาไปยังห้องตรวจฉุกเฉิน มีหมอหนุ่มที่ท่าทางจะหน้าตาดี ตาชั้นเดียว แต่คิ้วเข้ม ผิวสีแทน ไหล่ใหญ่หนาน่าซบ ท่าทางจะชอบเล่นกีฬา…เอ๊ะ…สติหลุด กลับมาเล่าเรื่องโรงพยาบาลต่อนะคะ หมอก็ขอกดๆ ท้องนิสิตว่าเจ็บตรงไหน ยังไงบ้าง เจาะเลือดไปตรวจ และให้น้ำเกลือรอ
ผลตรวจเลือดออกมาว่า เม็ดเลือดขาวสูงกว่าปกติ “นิดหน่อย” ไอ้นิดหน่อยนี่แหละ ที่เป็นประเด็น หมอหล่อบอกว่า ผมสันนิษฐานว่า น่าจะเป็นอาการอาหารเป็นพิษ แต่ผมไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซนต์ ขอตรวจ X-ray ท้องกับทำ CT Scan เพื่อดูว่าลำไส้ไม่ได้อักเสบแต่ประการใด
ความไม่แน่ใจอันน้อยนิดของหมอหล่อ นำไปสู่ค่ารักษาพยาบาลอันแพงมหาศาลซึ่งจะกล่าวในภายหลัง คนญี่ปุ่นก็แบบนี้มั้งคะ อะไรที่ไม่แน่ใจ ก็จะพยายามค้นหาจนแน่ใจหรือฟันธง
นิสิตผู้น่าสงสารของดิฉันถูกเข็นเตียงไปห้อง X-ray เอย ไปสแกนเอย พยาบาลญี่ปุ่นก็น่ารักมาก พูดตลอดเวลา … เอ่อ ในแง่ดีค่ะ คือ ก่อนจะเข็นเตียง เขาก็จะบอกว่า “จะเข็นแล้วนะคะ” เวลาหมุนเตียงขึ้นมาให้คนไข้นั่ง เขาก็จะบอกว่า “ขอประทานโทษนะคะ” พอนิสิตดิฉันทรงตัวนั่งได้ พยาบาลก็จะบอกว่า “ขอบคุณค่ะ” คงจะขอบคุณที่สาวน้อยนั่งทรงตัวได้แล้วในที่สุด จะแตะตัวที ปรับระดับเตียงที ดึงเข็มอะไรที ก็จะบอกว่า “ขอประทานโทษนะคะ” อะไรอย่างนี้ตลอด สุภาพมาก
ถึงจุดนี้ ดิฉันเริ่มมั่นใจแล้วว่า แม้คนญี่ปุ่นโดยปกติจะเป็นชนชาติที่เงียบ เรียบร้อย แต่พอเป็นบทบาทผู้ให้บริการปุ๊บ พวกเขาจะพูดตลอดเวลา เห็นมาตั้งแต่ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา โรงแรม ยันโรงพยาบาล จะทำอะไรนิดอะไรหน่อย ต้องมีประโยคให้พูดตลอด (ใครอยากรู้ว่าเขาพูดว่าอะไรกัน ดิฉันเคยเล่าไว้ในบทความเรื่อง “พนักงานญี่ปุ่นงึมงำว่าอะไร” ค่ะ -> https://www.marumura.com/travel/?id=6543 )
พอตรวจเสร็จปุ๊บ เคสเราถูกโอนจากหมอหล่อ ซึ่งคงเป็นแพทย์หนุ่มฝึกหัด ไปยังหมอลุง คุณหมอท้วมๆ ตาตี่ เป็นลักษณะ typical Japanese people มาก หมอลุงสุภาพมาก พูดน้อย หมอบอกว่า จากผลการตรวจทั้งหมด ลำไส้ปกติดี ไม่บวม ที่อาการไม่ดีคงเป็นอาการลำไส้ติดเชื้อ แล้วก็พูดชื่อไวรัสหรือแบคทีเรียมาซักอย่าง แต่เด็กศิลป์อย่างดิฉันฟังไม่รู้เรื่อง เอาเป็นว่า อาการลูกศิษย์ดิฉันไม่หนักมาก ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาล น้ำเกลือหมดถุงแล้วก็กลับบ้านได้เลย
ระหว่างที่ลูกศิษย์ดิฉันนอนพังพาบอยู่นั้น ดิฉันก็เดินไปจ่ายค่ารักษาพยาบาล เนื่องจากเราไม่มีประกันสุขภาพของญี่ปุ่น ทางโรงพยาบาลจึงคิดเต็มอัตราสนนราคาหมื่นกว่าบาท (ถ้ามีประกันสุขภาพของญี่ปุ่น เขาคิดแค่ 30% ค่ะ) ส่วนยา ต้องเอาใบสั่งยาไปซื้อที่ร้านขายยาใกล้ๆ โรงพยาบาลค่ะ (ไม่ต้องกลัวต้องถ่อไปไกล ร้านขายยาส่วนใหญ่อยู่แถวโรงพยาบาลนั่นแหละค่ะ) หมดค่ายาไปอีกพันกว่าบาท
เมื่อได้ยาแล้ว ดิฉันก็กลับไปรับลูกศิษย์พอดี เพื่อไม่ให้สาวน้อยหัวใจวายกับค่ารักษา ดิฉันเลยยังเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอยู่ รอจนสาวน้อยหายดี ถึงค่อยบอกความจริงพร้อมไถเงินคืนค่ะ
น้ำเกลือญี่ปุ่นคงผสมจิตวิญญาณความอึดอดทนแห่งคนญี่ปุ่นลงไปหรือกระไร คืนนั้น ดิฉันนั่งติวแผนธุรกิจให้เด็กๆ ในทีม สาวน้อยที่ป่วยก็มานั่งฟังด้วยอย่างเป็นปกติ ติวกันถึง 5 ทุ่ม วันถัดมา ทางเจ้าภาพพาเราไปใส่ชุดกิโมโน ลากเกี๊ยะเดินชมเมือง สาวน้อยของดิฉันก็มิหวั่นกับการโดนป้าญี่ปุ่นเอาผ้าโอบิรัดพุง นางก็ยังเดินได้ปกติดีสุดๆ ฟื้นตัวเร็วมากค่ะ

1. ติดต่อ Information center หรือพนักงานร้านแถวๆ นั้น เพื่อขอให้ช่วยเรียกรถพยาบาลให้ ตอนขึ้นรถพยาบาล ไม่ต้องเสียเงินจ้ะ
2. เอาพาสปอร์ตให้เขาดู เขาจะได้กรอกชื่อเราได้ถูกต้อง
3. หมอมักจะพอพูดภาษาอังกฤษได้ แต่เราอาจฟังชื่อโรคไม่รู้เรื่องได้ แอพดิคชันนารีใน Smart phone จะเป็นประโยชน์ตอนนี้ค่ะ
4. คนญี่ปุ่นจะอ่านชื่อภาษาอังกฤษเราไม่ค่อยออก เขาจึงมักเขียนชื่อเราเป็นคาตากานะ ตอนจะขอใบเสร็จ ต้องบอกการเงินให้พิมพ์ชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ไม่งั้นเดี๋ยวต้องไปหาคนแปลเอกสารวุ่นวายอีก เพราะประกันจะไม่ยอมให้เบิกนะคะ
5. โรงพยาบาลไม่จ่ายยาให้ ต้องเอาใบสั่งยาไปซื้อที่ร้านขายยาเองจ้า
เรื่องน่ารักจากโรงพยาบาล
ดิฉันเดินไปถามคุณพยาบาลหน้าห้องพักว่า ฝ่ายการเงินไปทางไหน คุณพี่พยาบาลบอกว่า เดี๋ยวพาเดินไป แล้วคุณพี่ก็ถามว่า มาจากประเทศไทยใช่ไหม ฉันชอบข้าวมันไก่กับอยุธยามากเลย (งงเล็กน้อยที่พี่เอาชื่ออาหารกับชื่อจังหวัดมาไว้ในประโยคเดียวกัน) พี่บอกว่า ในฟุกุโอกะ มีแค่ร้านอาหารไทยเจ้าเดียวที่ทำข้าวมันไก่ขาย เวลาคิดถึงเมืองไทยก็จะไปกินข้าวมันไก่ที่ร้านนี้ แต่ยังไงๆ กินที่ไทยก็อร่อยกว่า นางบอก “คิดถึงเมืองไทย” ค่ะ
ทักทายพูดคุยกับเกตุวดี ได้ที่ >>> Japan Gossip by เกตุวดี Marumura