ถ้าพูดถึงซีรีส์ญี่ปุ่น เราคงนึกถึงซีรีส์ที่สร้างแรงบันดาลใจเต็มไปหมด จนทำให้บางครั้งเราอาจรู้สึกว่า การจะลงมือทำอะไรสักอย่าง มันจำเป็นต้องมีแรงบันดาลใจ มีไฟ มี Passion ตลอดเวลาขนาดนั้นเลยหรือเปล่า
ถ้าพูดถึงซีรีส์ญี่ปุ่น เราคงนึกถึงซีรีส์ที่สร้างแรงบันดาลใจเต็มไปหมด จนทำให้บางครั้งเราอาจรู้สึกว่า การจะลงมือทำอะไรสักอย่าง มันจำเป็นต้องมีแรงบันดาลใจ มีไฟ มี Passion ตลอดเวลาขนาดนั้นเลยหรือเปล่า ซึ่งชีวิตคนเรามันก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบขนาดนั้น ด้วยปัจจัยทางสังคม สิ่งแวดล้อม และต้นทุนที่มี ทำให้เราอาจไม่ได้ทำตามสิ่งที่ฝันเสมอไป หรือบางทีสิ่งที่คิดว่าเป็น “งานในฝัน” อาจไม่ใช่สิ่งที่เรารักจริงๆ ก็ได้
และซีรีส์ญี่ปุ่นเองก็มีบางเรื่อง ที่พล็อตเนื้อเรื่องไม่ได้เริ่มต้นจาก Passion ที่แรงกล้า หากแต่เป็นความเหนื่อยหน่ายในชีวิต และต้องทำในสิ่งที่ไม่ได้รัก ไม่ได้ฝัน แต่กลับค่อยๆ ค้นพบสิ่งที่ทำหล่นหายไประหว่างทาง และเริ่มหลงรักสิ่งที่ตัวเองกำลังมือทำอยู่ทุกวัน
วันนี้เลยขอมาแนะนำซีรีส์ที่ไม่ได้เริ่มต้นด้วย Passion แต่ตัวละครค่อยๆ พบคุณค่าและความหมายของงานที่ทำระหว่างทาง จะมีเรื่องอะไรบ้าง ตามมาดูกันเลยค่ะ
1. Jimi ni Sugoi
เรื่องราวของ “เอ็ทสึโก” (รับบทโดย ซาโตมิ อิชิฮาร่า) หญิงสาวที่ใฝ่ฝันอยากทำงานในกองบรรณาธิการนิตยสารแฟชั่นชื่อดัง เอ็ทสึโกะเป็นคนที่ชื่นชอบเรื่องราวแฟชั่นมาก เธอสนใจเรื่องการแต่งตัว เวลาไปทำงานก็มักจะหาเสื้อผ้าดีไซน์สวยๆ ไปทำงาน ที่บ้านก็เต็มไปด้วยนิตยสารแฟชั่นเป็นกองๆ เธอจึงเกิดความคิดว่า ถ้างานที่ทำ กับสิ่งที่รัก เป็นสิ่งเดียวกันได้ก็น่าจะดี แต่ความจริงไม่ได้สวยงามขนาดนั้น เธอสมัครงานเข้าไปในกองบรรณาธิการแฟชั่นชื่อดังไปหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ผ่าน จนกระทั้งครั้งที่ 7 บริษัทติดต่อกลับมา ทำให้เธอดีใจมาก แต่เหมือนฝันทั้งหมดก็ต้องดับลงอีกครั้ง เพราะตำแหน่งที่บริษัทให้เธอทำคือ “พิสูจน์อักษร” ไม่ใช่บรรณาธิการนิตยสารแฟชั่นแต่อย่างใด
แม้เธอจะรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีงานทำ เลยเลือกที่จะทำงานพิสูจน์อักษรที่เธอไม่เคยตกหลุมรัก และไม่ได้ใฝ่ฝันว่าอยากจะทำ แต่ด้วยงานที่เจอ ผู้คนที่ได้พูดคุย ทำให้เธอค่อยๆ ตกหลุมรัก งานที่ต้องคอยเช็กทุกตัวอักษร ค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้ตัวหนังสือ และเช็กสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้แน่ใจ แม้จะมีคนบอกว่ามันถูกต้องอยู่แล้วก็ตาม ทำให้เอ็ทสึโกะเริ่มมองเห็นว่า การที่ได้เป็นนักพิสูจน์อักษรก็เท่ได้ไม่แพ้บก.นิตยสารเลย
2. Ending Planner
จะเป็นอย่างไร หากวันหนึ่งเราจำเป็นต้องทำงานที่ไม่อยากทำอย่างเลี่ยงไม่ได้ อย่าง “ไอฮาระ มาซาโตะ” (รับบทโดย โทโมฮิสะ ยามาชิตะ) ผู้ที่มีความทรงจำที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักกับงานที่พ่อทำ นั่นคือ รับจัดทำงานศพ ที่ชวนดูหดหู่ใจ และไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นเลยสักนิด เมื่อเขาเติบโตขึ้นเลยตัดสินใจสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง และถือโอกาสออกจากบ้านไปตามหางานในฝัน เพราะไม่ว่ารับช่วงสืบทอดกิจการของพ่อ แต่แล้วชีวิตเขาก็พลิกผัน เพื่อจู่ๆ พ่อของเขาก็เสียชีวิตลง พี่น้องในบ้านรวมถึงเขาได้ถกเถียงกันว่า ใครจะเป็นผู้สืบทอดกิจการ ด้วยความที่เขาเป็นพี่ชายที่ดูพึ่งพาได้มากที่สุด จึงตัดสินใจที่จะกลับมาดูแลครอบครัว และรับช่วงกิจการนี้เอง
แม้ในตอนแรกเขาจะไม่อยากทำงานนี้เลย แต่ระหว่างที่จัดงานศพแต่ละครั้ง ทำให้เขาค่อยๆ ค้นหาความหมายของชีวิต และเริ่มเห็นคุณค่าของงานตัวเอง การทำให้ช่วงสุดท้ายของชีวิตใครสักคนได้จากไปอย่างสมบูรณ์และหมดห่วงเป็นงานหนึ่งที่มีคุณค่าต่อชีวิตผู้คนมากมาย เปรียบเหมือนได้มอบของขวัญชิ้นสำคัญให้กับวันสุดท้ายของชีวิตคนๆ หนึ่ง
3. Hakuzome: Tatakau! Koban Joshi
เวลาดูซีรีส์สืบสวนอาจทำให้รู้สึกสนุกจนอยากจะเป็นตำรวจหรือนักสืบดูบ้าง แต่สำหรับ “ไม คาวาอิ” (รับบทโดย เมย์ นากาโนะ) กลับไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น เธอเรียนจบจากโรงเรียนตำรวจ และเริ่มทำงานเป็นตำรวจเต็มตัว โดยในแต่ละวันเธอต้องมาประจำการที่ป้อมตำรวจในเขตที่รับผิดชอบ และออกตรวจตราความเรียบร้อยของชุมชนในระแวกนั้น แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง หรือรู้สึกว่าเป็นงานที่ท้าทายอะไร แต่กลับเป็นจุดที่อิ่มตัวมากกว่า วันๆ อยู่แต่ในป้อมยาม ออกตรวจแค่ที่ใกล้ๆ ไม่ได้ทำคดีใหญ่โตอะไร แถมรายได้ก็ไม่ได้เยอะมากมายอะไร และนั่นทำให้เธอตัดสินใจจะลาออก
แต่แล้ววันหนึ่ง เธอก็ได้พบกับ “เซย์โกะ ฟูจิ” หัวหน้างานคนใหม่ ที่เข้ามาทำให้เธอเริ่มภาคภูมิใจในงานที่ตัวเองทำ ถึงขั้นให้เธอกลับไปคิดทบทวนการลาออกเสียใหม่อีกครั้ง…
4. Attention Please
เป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ แต่จริงๆ แล้ว เรื่องราวเริ่มต้นเล่าจากชีวิต ของ “มิซากิ” (รับบทโดย อายะ อุเอโตะ) หญิงสาวที่ไม่ได้มีหมุดหมายในชีวิต แต่วันดีคืนดี เจอเส้นทางใหม่ระหว่างทาง และทำให้ค้นเจอสิ่งที่ตัวเองรัก และอยากทำ
เริ่มแรก มิซากิไม่ได้มีความฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตส และอาชีพนี้ไม่เคยอยู่ในหัวของเธอเลยแม้แต่น้อย เพราะบุคลิกที่ห้าวๆ ของเธอ ดูยังไงก็ไม่น่าจะเหมาะกับการเป็นแอร์โฮสเตส และสิ่งที่เธอหลงรักคือดนตรีร็อก ที่ดูไม่มีอะไรใกล้เคียงกับอาชีพนี้เลย แต่วันหนึ่งเธอเริ่มอยากหางานที่มั่นคง และเห็นกลุ่มเพื่อนผู้ชายของเธอมักชอบมองแอร์โฮสเตสด้วยความสนใจ และมักจะเอ่ยปากชมบ่อยๆ ว่าสวย มีเสน่ห์ เลยทำให้เธออยากลองมาทำอะไรงานแนวนี้ดูบ้าง
และนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพแอร์โฮสเตสที่เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม และอยากจะยอมแพ้ไปหลายครั้ง แต่ได้เจอกับ “โชตะ” (รับบทโดย นิชิกิโดะ เรียว) วิศวกรช่างเครื่อง ที่ฝันอยากเป็นนักบินตั้งแต่เด็ก แต่ไม่สามารถเดินตามฝันได้ ด้วยข้อจำกัดทางร่างกาย ทำให้เขาคอยให้กำลังใจ ให้มิซากิคว้าโอกาสดีๆ ที่อยู่ตรงหน้า และทำให้ดีที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น แม้โชตะจะไม่สามารถเป็นนักบินอย่างที่ฝันได้ แต่เขาก็ภูมิใจในการเป็นวิศวกรช่างเครื่อง เพราะงานนี้ก็สามารถทำให้เครื่องบินได้ลอยขึ้นบนท้องฟ้า และพาคนจำนวนมากได้ออกเดินทางไปยังจุดหมายที่ใฝ่ฝันได้เช่นกัน
“เครื่องบินน่ะ ทุกคนต้องช่วยกัน ถึงจะบินได้”
งานที่เราไม่ได้อยู่ในความสนใจเรา ไม่ได้หมายความมันจะเป็นงานที่ไม่มีความหมาย ทุกงาน ทุกตำแหน่ง ล้วนมีคุณค่าในตัวเอง อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นมันหรือเปล่า บางทีความท้าทายของชีวิต ไม่ใช่ทำในสิ่งที่คิดว่า มันน่าจะสนุก แต่เป็นการค่อยๆ ออกเดินทาง และตามหาสิ่งนั้นระหว่างทาง ความสำเร็จที่บางครั้งไม่ได้อยู่บนยอดเขา แต่เป็นสิ่งที่อยู่ระหว่างทางที่เราเดินอยู่ และนี่ก็เป็นซีรีส์ญี่ปุ่นที่ช่วยให้เรามองหาความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างทางและผู้คนที่พบเจอในแต่ละวันค่ะ
สามารถติดตามเรื่องราวเกี่ยวกับละครญี่ปุ่น และพูดคุยกับ ChaMaNow ได้ทาง FB: Sakura Dramas
เรื่องแนะนำ :
– 4 ซีรีส์ญี่ปุ่น ปลุกไฟ “ธุรกิจ” ในตัวคุณ ให้อยากลุกมาทำอะไรใหม่ๆ
– แนะนำ 5 ซีรีส์ญี่ปุ่น สำหรับคนไม่มีเวลา ตอนละไม่เกิน 30 นาที
– รีวิว Shoujiki Fudousan นายอสังหาฯ ที่โกหกลูกค้าไม่ได้
– Hanasaki Mai ga Damatte Inai ถ้ามีเรื่องไม่ชอบมากล ฉันจะไม่เงียบ
– 5 ตัวละครดังในซีรีส์ญี่ปุ่น ที่ทำงาน ทำงาน ทำงาน
ขอขอบคุณรูปภาพและข้อมูลจาก:
– https://asianwiki.com/
– https://mymyooz.wordpress.com/
– http://internationalfangirl.blogspot.com/
– https://www.cinemacafe.net/
#No Passion ซีรีส์ญี่ปุ่น แม้ไม่ได้ทำงานที่ฝัน แต่ก็หลงรักงานที่ทำระหว่างทาง