ทำไมญี่ปุ่นปัจจุบันในยุคเฮเซ (Heisei) และยุคเรวะ (Reiwa) จึงไม่สามารถรุ่งเรืองได้เหมือนยุคทองอย่างยุคโชวะ (Showa) ที่ผ่านมา
ก่อนอื่นมาสรุปแต่ละยุคของญี่ปุ่นกันก่อนว่าหมายถึงช่วงเวลาใดบ้าง ตามที่หลายท่านทราบว่าญี่ปุ่นมีการแบ่งศักราชต่าง ๆ ตามรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิแต่ละพระองค์ดังนี้
- ยุคโชวะ (昭和時代) คือรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิฮิโระฮิโตะ คือ ค. ศ. 1926-1989 (ปีโชวะที่ 1-64)
- ยุคเฮเซ (平成時代) คือรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ คือ ค. ศ. 1989-2019 (ปีเฮเซที่ 1-31)
- ยุคเรวะ (令和時代) คือรัชสมัยของสมเด็จพระจักรพรรดินะรุฮิโตะ คือ ค. ศ. 2019-ปัจจุบัน (ปีเรวะที่ 1-ปัจจุบัน)
แต่ถ้าเราสังเกตให้ดี จะพบว่ายุคทองของญี่ปุ่นนั้นคือยุคโชวะ ซึ่งคนญี่ปุ่นจำนวนมากรวมทั้งชาวโลกที่มองญี่ปุ่นก็มักจะมองญี่ปุ่นในยุคโชวะว่าเต็มไปด้วยความหวัง, ความฝัน, ความรุ่งเรืองเป็นมหาอำนาจของญี่ปุ่น ในขณะที่ยุคหลังจากนั้นอย่างยุคเฮเซหรือยุคเรวะนั้นทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวโลกกลับมองว่าญี่ปุ่นเหมือนจะสูญเสียความเป็นมหาอำนาจของเอเชียและของโลกไปแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?
ต้องมาดูบริบททางประวัติศาสตร์ของมหาอำนาจในเอเชียชาติอื่น ๆ กัน ปัจจุบันที่เรา ๆ ท่าน ๆ รับรู้ว่าเป็นมหาอำนาจในเอเชียอีก 3 ชาติอย่าง จีน, สิงคโปร์, เกาหลี นั้น จริง ๆ แล้วชาติมหาอำนาจทั้ง 3 นี้ตลอด 1 ศตวรรษมานี้เพิ่งจะขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจในระดับเอเชียและระดับโลกเพียงไม่กี่ทศวรรษมานี้เอง ในขณะที่ญี่ปุ่นนั้นเริ่มแผ่แสนยานุภาพมานับร้อยปีแล้วตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 แล้ว คือก่อนยุคโชวะเล็กน้อย ถึงขนาดห้าวไปทำ “สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 (日清戦争) ” ตั้งแต่ ค. ศ. 1894-1895 แล้วเอาชนะจีนได้ด้วย แถมยังยึดดินแดนของจีนไปได้หลายแห่งรวมทั้งไต้หวันและบางส่วนในคาบสมุทรเกาหลี
จากนั้นเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นยังคงตระเวนยึดแหลก โดยมีทั้ง “สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2 (日中戦争)” ตั้งแต่ ค. ศ. 1941-1945 ผสมโรงอยู่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย และญี่ปุ่นยังยึดเกาหลีได้ตั้งแต่ ค. ศ. 1910-1945 (หลังเป็นเอกราชจากญี่ปุ่น เกาหลียังมีสงครามเกาหลีเหนือ-ใต้ให้สู้กันเองอีกตั้งแต่ปี 1950-1953 เกาหลีคือน่าสงสารมากในยุคนั้น) เรียกได้ว่าช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ทั้งจีนและเกาหลีไม่เคยมีแสนยานุภาพมากพอที่จะเอาชนะญี่ปุ่นได้เลย ในขณะที่สิงคโปร์เพิ่งจะเป็นเอกราชในปี ค. ศ. 1959 นี่เอง
สรุปคือ ญี่ปุ่นเป็นมหาอำนาจมานานนับศตวรรษชนิดที่ในเอเชียไม่มีชาติไหนทัดเทียมจนกระทั่งก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ และแม้หลังจากแพ้สงคราม ก็ยังได้อเมริกาเข้ามาวางรากฐานเศรษฐกิจ, สังคม, วัฒนธรรม, การศึกษา, และวิทยาศาสตร์ ชาวญี่ปุ่นช่วงหลังสงครามนั้นรวมใจเป็นหนึ่งและทำงานอย่างตรากตรำจนกอบกู้สถานภาพของประเทศให้พ้นจากภาวะยับเยินหลังสงครามได้ในราวปี ค. ศ. 1960 เรียกว่าฟื้นฟูประเทศได้สำเร็จภายใน 15 ปีเท่านั้น จากนั้นก็ใช้เวลาเพียง 20 ปีคือประมาณทศวรรษที่ 1960s ถึงทศวรรษที่ 1980s สร้างความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจได้สำเร็จจนก้าวขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจของโลกได้
ซึ่งตลอดระยะเวลาประมาณ 70-80 ปีนี้เองที่ญี่ปุ่นสั่งสมประสบการณ์การเป็นมหาอำนาจมาครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่ก่อนยุคโชวะเล็กน้อย จนยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ญี่ปุ่นมีกองทัพอันเกรียงไกร แล้วแม้จะแพ้สงครามโลกก็ยังฟื้นฟูตัวเองจากเถ้าถ่านได้อย่างเร็วจนน่าอัศจรรย์ ทุกความทรงจำเหล่านี้เกือบทั้งหมดเกิดขึ้นในยุคโชวะทั้งสิ้น ยุคโชวะจึงเป็นยุคแห่งความภาคภูมิใจ ยุ่งแห่งความรุ่งเรือง ยุคแห่งปาฏิหาริย์ของประเทศญี่ปุ่นโดยแท้จริง และมีโตเกียวทาวเวอร์ (ที่สร้างขึ้นในปี ค. ศ. 1958) เป็นสัญลักษณ์แห่งความหวัง, ความฝัน, ความรุ่งเรืองเป็นมหาอำนาจ, ความยิ่งใหญ่แห่งยุคโชวะโดยแท้
แต่ในที่สุด ญี่ปุ่นก็เข้าสู่ขาลงตั้งแต่หลังทศวรรษที่ 1980s ในขณะที่จีนและเกาหลีค่อย ๆ ขยับตัว แม้ว่าเกาหลีจะโดนพิษเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 1997 แต่เกาหลีก็ฟื้นฟูประเทศได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่จีนเริ่มมีความเป็นปึกแผ่นขึ้นมาหลังจากทะเลาะกันเองมานับศตวรรษตั้งแต่สิ้นราชวงศ์ชิง สิงคโปร์ก็เป็นประเทศเกิดใหม่มาแรงมากที่แผ่ขยายอำนาจไม่หยุด ส่วนญี่ปุ่นเกิดฟองสบู่แตกและเศรษฐกิจอิ่มตัวยาว ๆ จนเกิดศัพท์คำว่า The Lost Decade ที่ใช้เรียกเศรษฐกิจถดถอยของญี่ปุ่นตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980s จนถึงทศวรรษ 1990s (เข้าสู่ยุคเฮเซพอดีในปี ค. ศ. 1989) และที่กระหน่ำซ้ำเติมกว่านั้นคือเศรษฐกิจยังถดถอยไม่มีวี่แววจะหยุดได้อีกยาว ๆ แบบไม่สามารถโงหัวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเหมือนช่วงทศวรรษ 1960s ได้อีกเลยมาจนทศวรรษที่ 2010s ถึงขั้นมีคนบอกให้เติม s เข้าไปที่ The Lost Decades เพราะว่าญี่ปุ่นหายนะมา 30 ปีติดกันแล้วนะจ๊ะ (1980s – 2010s) แม้กระทั่งปัจจุบันก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย ในขณะที่จีนและเกาหลีไล่ขยี้ญี่ปุ่นทุกรูปแบบทั้งเศรษฐกิจ, เครื่องใช้ไฟฟ้าและเทคโนโลยี, การศึกษา, อันดับมหาวิทยาลัย, ตลอดไปจนสื่อบันเทิงต่าง ๆ โดยเฉพาะเกาหลีที่กินเรียบทั่วโลกแล้วตอนนี้
เลยเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่าญี่ปุ่นเรืองอำนาจมากในยุคก่อนเพราะในเอเชียไม่มีใครเป็นคู่แข่งด้วยนั่นเอง จีนอ่อนแอตั้งแต่ปลายราชวงศ์ชิง, เกาหลีถูกจีนกับญี่ปุ่นสลับกันยึด, สิงคโปร์ยังไม่เกิด แต่ตอนนี้ทั้งจีน, เกาหลี, และสิงคโปร์ ตื่นเต็มที่แล้ว ในขณะที่ญี่ปุ่นยังแก้ปัญหา The Lost Decades ไม่ได้ (จริง ๆ The Lost Decades ของญี่ปุ่นคือ 40 ปีแล้วนะนั่น เพราะปัจจุบันคือปี ค. ศ. 2022 แล้ว)
ความทรงจำแสนหวานที่ญี่ปุ่นยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียนั้นล้วนเกิดขึ้นในยุคโชวะทั้งหมด ยุคเฮเซหรือยุคเรวะนั้นญี่ปุ่นเองไม่ได้มีประสบการณ์อันยิ่งใหญ่เหมือนยุคโชวะ ในรอยความทรงจำของชาวญี่ปุ่นและชาวโลกจึงมีภาพจำเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่เป็นยุคโชวะอย่างหนักแน่นแม้ว่ายุคโชวะจะสิ้นสุดไปนานแล้วตั้งแต่ 1989 ก็ตาม จึงไม่แปลกใจว่าชาวญี่ปุ่นจำนวนมากจะโหยหาหรือถวิลหายุคโชวะกันมากเป็นพิเศษ รวมทั้งชาวโลกเวลาพูดถึงญี่ปุ่นก็จะมีภาพจำหรือทัศนคติตายตัวเกี่ยวกับญี่ปุ่นเป็นยุคโชวะอยู่เสมอแม้ว่ามันจะหมดยุคโชวะไปนาน 30 กว่าปีแล้วก็ตาม
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– การตั้งคำถามกับ “ครอบครัวร่วมสายเลือด” และ “ครอบครัวต่างสายเลือด” ในการ์ตูนญี่ปุ่น
– ประวัติศาสตร์สงคราม 3+1 ชาติที่อยู่เบื้องหลัง “บะหมี่ถ้วยนิสชิน”
– ทำไมพระโพธิสัตว์กวนอิมในประเทศญี่ปุ่นถึงมีทั้งปางบุรุษและปางสตรี?
– องค์กรญี่ปุ่นชั้นนำหลายแห่งเริ่มผละออกจาก PDCA แล้วหันไปใช้ O-PDCA และ R-PDCA แทน
– อี้โทะโกะโดะริ (好いとこ取り): การเอาสิ่งที่ดีของชาติอื่นมาพัฒนาต่อจนกลายเป็นของญี่ปุ่น
#ทำไมญี่ปุ่นปัจจุบันในยุคเฮเซ (Heisei) และยุคเรวะ (Reiwa) จึงไม่สามารถรุ่งเรืองได้เหมือนยุคทองอย่างยุคโชวะ (Showa) ที่ผ่านมา