ทำไมหลักสูตร MBA ถึงไม่ฮิตในญี่ปุ่น?
“ไม่รู้จะเรียนอะไร ให้เรียนบริหารธุรกิจไว้ก่อน” หลาย ๆ ท่านในประเทศไทยอาจจะเคยได้ยินคำกล่าวอะไรทำนองนี้อยู่บ่อย ๆ โดยเมืองไทยมีความนิยมหลักสูตรบริหารธุรกิจแนวนี้อย่างมาก มีทั้งตั้งแต่ปริญญาตรีที่เรียกว่า BBA, ปริญญาโทคือ MBA, หรือแม้แต่ปริญญาเอกที่เรียกว่า DBA ก็มี
ตัดภาพมาที่ประเทศญี่ปุ่นกันบ้าง แม้ว่าหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้นญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากอเมริกามามากมายในแทบจะทุกมิติ แต่หลักสูตรสไตล์อเมริกันสุดขีดอย่าง MBA (หลักสูตร MBA เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกที่สหรัฐอเมริกา ที่ Wharton School of the University of Pennsylvania) กลับไม่เป็นที่นิยมแต่อย่างใด คือมีหลายมหาวิทยาลัยเปิดกันบ้าง แต่ไม่ได้เป็นที่นิยมทั้งในหมู่คนญี่ปุ่นเองและในหมู่นักศึกษาต่างชาติที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่นด้วย
สาเหตุที่หลักสูตร MBA ไม่เป็นที่นิยมในญี่ปุ่น มี 2 ประการ คือ วัฒนธรรมองค์กรแบบญี่ปุ่นเอง และ ระบบการศึกษาของญี่ปุ่น
1. วัฒนธรรมองค์กรของญี่ปุ่น
วัฒนธรรมองค์กรของญี่ปุ่นนั้นยังคงมีแนวโน้มจะคาดหวังให้พนักงานทำงานที่บริษัทเดิมไปตลอดชีวิต ภาษาญี่ปุ่นเรียกแนวคิดนี้ว่า “การจ้างงานตลอดชีพ (หรือ 終身雇用: ชูชินโคะโย)” โดยชาวญี่ปุ่นที่ปกติเรียนในระดับปริญญาตรี จะนิยมเริ่มหางานกันตั้งแต่เรียนปี 3 และเริ่มเข้าสู่ภาคเรียนที่ 2 เพราะกิจกรรมการสมัครงาน (หรือ 就職活動: ชูโชะคุคัตสึโด) ของญี่ปุ่นนั้นกินเวลาเกิน 1 ปี ต่างจากประเทศไทยที่กินเวลาเพียงไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือนเท่านั้น ดังนั้น นักศึกษาปี 3 ภาคเรียนที่ 2 กว่าจะผ่านกระบวนการคัดเลือกทั้งหมด ก็จะได้งานทำตอนที่เรียนจบปี 4 ภาคเรียนที่ 2 พอดี
จากนั้น บริษัทจะนิยมใช้ระบบ Rotation ย้ายพนักงานไปแผนกต่าง ๆ ในบริษัท หรือบริษัทในเครือ ทุก ๆ 3-5 ปีจะมีการย้ายแผนก เพื่อให้พนักงานได้เรียนรู้งานทุกประเภทในบริษัทของตัวเอง เมื่อมีระบบการสมัครงานที่เป็นฤดูกาลตายตัว และมีฤดูกาลย้ายแผนกที่ตายตัว ทำให้การพยากรณ์อัตรากำลังทำได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มที่ และบริษัทเองก็ทำหน้าที่เป็น Business School ไปในตัวเพราะมีการสอนงาน, ฝึกอบรมทักษะต่าง ๆ, การให้คำปรึกษา, การโค้ช อย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น ชาวญี่ปุ่นที่ได้ทำงานในบริษัทที่ไม่ได้เล็กจนเกินไป มักจะได้รับการฝึกอบรมความรู้ธุรกิจต่าง ๆ ในเชิงปฏิบัติจริงราวกับได้เรียนที่ Business School อยู่แล้ว (แผนก HR ของญี่ปุ่นก็ตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนาพนักงานมาตั้งแต่โบราณแล้ว ก่อนที่โลกตะวันตกหรือเมืองไทยจะเริ่มฮิต HR Development กันเสียอีก) อีกทั้งสังคมญี่ปุ่นไม่ได้มองคนที่ปริญญา ไม่มีการเรียนปริญญาโทเพื่อเพิ่มเงินเดือน หรือเรียนปริญญาโทเพื่อให้ขึ้นสู่ระดับบริหารได้เหมือนกับประเทศไทย ผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ในญี่ปุ่นหลายคนยังจบเพียงม. 3 หรือ ม. 6 ก็ยังมีจำนวนไม่น้อย ความจำเป็นของการเรียน MBA จึงไม่มี คือถ้าอยากเรียนก็ได้ความรู้เพิ่ม ไม่ได้แปลว่าเรียนแล้วแย่ เพียงแต่จะไม่ได้เป็นเครดิตอะไรให้เพิ่มเงินเดือน หรือ เพิ่มคุณค่าในตัวเองแต่อย่างใด
2. ระบบการศึกษาของญี่ปุ่น
เมื่อวัฒนธรรมองค์กรแบบญี่ปุ่นเองคือบริษัททำหน้าที่เป็น Business School แล้ว ระบบการศึกษาจึงยังหนักไปทางวิชาการเป็นหลัก คือมองว่าเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาด้านวิชาการและพัฒนาความคิดในฐานะเป็นปัจเจกบุคคล แล้วถ้าอยากได้ความรู้ธุรกิจก็ไปทำงานบริษัท แล้วให้บริษัทสอนงาน และเรียนรู้ธุรกิจผ่านการทำงานจริงด้วยตัวเองไปก็แล้วกัน ดังนั้น ระบบการศึกษาญี่ปุ่นจึงยังค่อนข้างไม่ผูกกับสถานการณ์โลกธุรกิจจริงสักเท่าไร สภาพนี้มีแนวโน้มคือเป็นแบบนี้กันเกือบทุกคณะและเกือบทุกสาขาวิชาในระบบมหาวิทยาลัยของญี่ปุ่น
สำหรับหลักสูตร MBA ของญี่ปุ่นนั้น ส่วนใหญ่มีจำนวนหน่วยกิตที่ต้องการประมาณ 30-40 หน่วยกิต คือเพียงแค่ 10-13 วิชาเท่านั้น การเรียนธุรกิจแบบในเชิงวิชาการเพียง 10 กว่าวิชาจึงไม่ตอบโจทย์ให้เข้าใจบริบทการทำธุรกิจแบบญี่ปุ่นเท่าไรนัก เมื่อเทียบกับการทำงานจริงและประสบการณ์จริงในการทำงานกับองค์กร โดยเฉพาะเมื่อองค์กรญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมองค์กรที่เฉพาะตัวมาก ต้องมีการไปดื่มหลังเลิกงาน, มีการไปเล่นกอล์ฟ, มีการสังสรรค์ในรูปแบบต่าง ๆ ที่นอกเหนือไปจากแค่ “ทำธุรกิจ” ทำให้คนเรียน MBA แต่ขาดประสบการณ์ทำงานในองค์กรไม่สามารถเข้าใจบริบทอันละเอียดอ่อนเหล่านี้ได้
นอกจากนี้ ระบบการศึกษาญี่ปุ่นยังนิยมการแปลตำราเรียนต่างประเทศเป็นภาษาญี่ปุ่น แล้วค่อยให้นักศึกษา MBA เรียนจากตำราที่แปลเป็นญี่ปุ่นแล้ว ทำให้ความรู้ของโลกยุคใหม่ที่พัฒนาไปเร็วมาก ต้องถูกกินเวลาระหว่างกระบวนการแปลหนังสือจนกระทั่งตีพิมพ์ เมื่อตำราเรียนไปถึงมือนักศึกษาในมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นได้ใช้เรียน ความรู้ที่เป็นต้นฉบับก็อาจจะเก่าไปแล้ว 5-10 ปี แต่ถ้าจะให้นักศึกษาญี่ปุ่นอ่านตำราภาษาอังกฤษเลย ส่วนใหญ่ก็จะทำไม่ได้อีก เพราะนักศึกษาในมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นส่วนใหญ่ไม่ชิน จึงแทบจะอ่านตำราภาษาอังกฤษกันไม่ได้เลย ในขณะที่เมืองไทย ต่อให้นักศึกษาปริญญาโทจะไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษมากนัก แต่เนื่องจากเราไม่ค่อยมีวัฒนธรรมการแปลตำราเป็นภาษาไทย เราจึงมักสั่งให้นักศึกษาอ่านจากตำราภาษาอังกฤษต้นฉบับเลย และนักศึกษาไทยจำนวนมากชินกับการอ่านตำราภาษาอังกฤษอยู่แล้ว ผลคือทำให้นักศึกษา MBA ของไทยเข้าถึงความรู้ใหม่ ๆ ระดับโลกได้เร็วกว่านักศึกษา MBA ของญี่ปุ่น เสียอีก
เท่านั้นยังไม่พอ หลักสูตร MBA ของญี่ปุ่นยังมีน้อยแห่งที่จะเปิดให้เรียนวันเสาร์-อาทิตย์ได้ ครั้นจะเรียนภาคค่ำก็เรียนไม่ได้อีกเพราะการทำงานบริษัทญี่ปุ่นมักทำงานกันจนดึกดื่นเที่ยงคืน การจะเป็นพนักงานเต็มเวลาแล้วเรียน MBA ไปด้วยจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ จึงต้องเกิดการเลือกว่าถ้าจะเรียน MBA ก็ต้องลาออกจากงานมาเรียนเต็มตัว หรือถ้าจะทำงานก็จะไม่มีเวลาเรียน เมื่อเทียบกันแล้ว พนักงานเต็มเวลาที่มีประสบการณ์ทำงานมาก จึงมักจะเก่งธุรกิจกว่านักศึกษา MBA เต็มเวลาที่ไม่ได้ทำงาน และที่น่าสนใจกว่านั้นคือ นักธุรกิจญี่ปุ่นที่ประสบความสำเร็จนั้นแทบไม่มีใครเรียนหลักสูตร MBA กันมาเลย
ด้วย 2 สาเหตุดังที่กล่าวมาแล้วคือ วัฒนธรรมองค์กรแบบญี่ปุ่นเอง และ ระบบการศึกษาของญี่ปุ่น ที่บริบทเฉพาะตัวอันจะหาชาติใดเหมือนได้ยาก ทำให้การศึกษาปริญญาโทแบบ MBA ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในญี่ปุ่น และมีผลให้ปริญญาตรี BBA และปริญญาเอก DBA เลยไม่ค่อยเป็นที่นิยมไปด้วย ในประเทศญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามในบริบทโลกที่เปลี่ยนไป มหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นเองก็เริ่มตื่นตัวเรื่องปรับหลักสูตรให้ตอบโจทย์ภาคธุรกิจมากขึ้น เป็นที่น่าจับตามองว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรต่อไปในระบบการศึกษาของญี่ปุ่นนับจากนี้
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– ไทโด (躰道): ศิลปะการต่อสู้ชนิดใหม่ในญี่ปุ่นที่มาแรง
– หลักการบริหารงานแบบตระหนักถึง “มนได (問題)” และ “คะได (課題)” สไตล์ญี่ปุ่น
– ปรากฏการณ์ “เทอิน-วะเระ (定員割れ)” ของระบบการศึกษาญี่ปุ่น
– การเรียนการสอนวิชา “มังงะ เกมส์ อนิเมะญี่ปุ่น” ที่คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
– ทำไมญี่ปุ่นจึงพัฒนาวงการกีฬาของตัวเองไปได้ไกลระดับต้น ๆ ของเอเชีย
ขอบคุณรูปภาพจาก
https://blog.ics.hub.hit-u.ac.jp/
https://www.im.i.hosei.ac.jp/
#ทำไมหลักสูตร MBA ถึงไม่ฮิตในญี่ปุ่น?