โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง by Lordofwar Nick
ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (4) ไปนารา ย้อนมาอุเมะดะ คืนสุดท้ายในญี่ปุ่นกับซูชิหมุนและซานุกิอุด้ง
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน โอ้ ในที่สุด เรื่องราวการท่องเที่ยวย้อนรอยโอซาก้าของผมกับภรรยาที่รักก็ได้มาถึงวันคืนสุดท้ายละ เอาเป็นว่ารีบไปดูกันแบบจุกๆ ดีกว่านะครับ
วันนี้ก็เข้าสู่วันที่สี่ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่จะได้นอนอยู่ในญี่ปุ่นละ วันนี้ก็ไปไกลหน่อยไปถึงเมืองนารา นั่งรถไฟฟ้าสายฮอนมาจิยาวแล้วไปต่อรถไฟฟ้าสายเคย์ฮันนะ (คือโยงถึงกันสามเมือง เกียวโต โอซาก้า นารา) ไปสุดสายที่สถานีเคย์ฮันนาระ ผมแวะซื้อของดีอย่างหนึ่งของเมืองนาราซึ่งเห็นมีขายอยู่หลายร้านนั่นคือ “คาคิโนะฮะซูชิ” (ซูชิห่อใบพลับ) หน้าปลาซาบะ และปลาแซลมอน แพกเกจดูดีเกินจนไม่อยากแกะกิน แต่กินแล้วเมียผมไม่ปลื้มเท่าไหร่ ส่วนผมเองกินแล้วมันไม่ได้อร่อยน่าประทับใจเท่าที่เคยกินสมัยเรียนอยู่เมื่อแปดเก้าปีก่อน
แถวบนคือ ซูชิห่อใบพลับ ข้างล่างคือซูชิปลาซาบะย่าง
พอขึ้นมาจากสถานีมายังระดับพื้นดิน เจอเรื่องแปลกแต่ฮาอยู่สองอย่าง คือเห็นพระยืนรอคนถวายปัจจัย เห็นอยู่สองรูป กับเห็นเด็กๆ ราวอนุบาลหรือประถมต้นมายืนเข้าแถวร้องให้คนช่วยบริจาคอะไรสักอย่างเพื่อสิ่งแวดล้อม เมียผมหยอดสตางค์ใส่กล่องบริจาค เด็กๆ ก็ตะโกนร้องว่าขอบคุณค่า ผมเอาสตางค์ให้พระ รูปหนึ่งให้ขนมเซมเบ้ผมตอบ อีกรูปสวดให้พรผม ผมเห็นแล้วก็นึกไปว่า การเป็นพระในประเทศที่คนส่วนใหญ่เขาไม่เอาศาสนานี่ ความเป็นอยู่ลำบากจังเลยหนอ ถ้าเป็นพระเมืองไทยนี่สบายไปแล้ว บางทีมีคนเอาข้าวให้ถึงวัดเหลือกินเหลือใช้ (ฮา)
ทำบุญกับพระ (ญี่ปุ่น)
เสร็จแล้วก็เข้าเซเว่นฯ ลองซื้อซาลาเปาไส้พิซซ่าให้เมียกิน มันแปลกดีแต่เมียผมว่าก็ไม่ได้อร่อยเท่าไหร่ เราเดินเท้ากันหกร้อยเมตรจากแถวสถานีไปยังวัดโคฟูกูจิ เริ่มจะฮากับสัญลักษณ์บนท้องถนน “ระวังกวาง” และฝูงกวางที่เดินเพ่นพ่านขุดดินกินหญ้า คอยมองหานักท่องเที่ยวที่จะให้อาหารมันกิน ซึ่งอาหารที่เขาเร่ขายก็ไม่พ้น “ข้าวเกรียบกวาง” (ชิกะเซมเบ้) ชุดละ 150 เยน เห็นแล้วก็อดนึกถึงลิงที่เขาตะเกียบ (ซึ่งเคยขึ้นปีนหัวผมจนเมียกรี๊ดมาแล้ว) และช้างที่เขาพาเดินตามถนนเก็บสตางค์ขายกล้วยอ้อยให้มันกิน (พอเราจะเอากล้วยอ้อยของเราเองให้ช้างกินเขาก็ไม่ยอมเพราะเขาไม่ได้สตางค์) ไม่ได้ กวางพวกนี้ก็เช่นกัน พวกมันอยู่ตามถนนจะอยู่อย่างอิ่มหรืออย่างอดก็ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าพอเมียผมซื้อข้าวเกรียบกวางจะเอาให้พวกมันกิน บางตัวถึงกับเอาหัวชนก้นเมียผม ไล่งับก้นงับกระโปรงกันเลยทีเดียว คงอยากกินข้าวเกรียบเต็มแก่ เล่นเอาเมียผมเหวอ ไม่กล้าเข้าใกล้กวางอีกเลย
ป้ายบอกว่า ระวังกวางกระโดดออกมา เดี๋ยวกวางจะชนรถ เอ้ย รถจะชนกวาง
ระวังกวางนะจ๊ะ มิฉะนั้นอาจเป็นเช่นนี้ (ดูคลิปข้างล่างนะฮะ)
เข้าไปที่วัดโคฟุกุจิ ไปที่หอพระไปดูไหว้พระ แล้วก็ไปหอเก็บสมบัติของวัด สมัยที่ผมเรียนอยู่ผมเคยมา เข้าไปเป็นโรงเก่าๆ มืดๆ ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เหล่ารูปปั้นรูปแกะไม้ก็อยู่กันมืดๆ ทึบๆ ออกแนวน่ากลัว อารมณ์เหมือนเข้าไปพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนครแต่มันมืดทึมยิ่งกว่า มาวันนี้เขาปรับปรุงใหม่ ข้างในเป็นห้องแอร์มีไฟส่องสลัวๆ ผมซาบซึ้งกับรูปแกะไม้เก่าๆ เหล่านี้มาก มีทั้งแปดเทพอสูรอันได้แก่ ครุฑ คนธรรพ์ รูปอัครสาวกทั้งสิบได้แก่พระโมคคัลลานะ พระราหุล (บอกตรงๆ ว่า ชื่อเหล่านี้เวลาที่ถูกแปลงเป็นสำเนียงญี่ปุ่นสะกดด้วยตัวจีนแล้ว ถ้าไม่อ่านประวัติก็คงเดาได้ยาก อย่างพระราหุลเขาเรียก “ราโกร่า” ครุฑก็เรียก “การุร่า”) เด่นที่สุดในโรงก็คือรูปแกะไม้พระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือ ถ้ายิ่งได้รู้ประวัติว่ารูปแกะไม้เหล่านี้ล้วนผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านไฟไหม้ สงคราม มาแล้วอย่างไร แล้วยังเหลือรอดมาให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมว่านี่คือสมบัติของชาติ เป็นวัตถุที่แสดงออกถึงภูมิปัญญา อารยธรรมและวัฒนธรรมของชนชาติญี่ปุ่นมาได้อย่างไร จะยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในคุณค่าของมันยิ่งขึ้นไปอีก ผมชอบมากประทับใจขนาดที่ตอนก่อนออกมาต้องแวะซื้อหนังสือภาพราคาเกือบสองพันเยนหอบเอามาถึงเมืองไทยเลยทีเดียว
แถวในวัดโคฟุกุจิ
เราออกจากวัดโคฟุกุจิแล้ว ก็ข้ามไปนั่งรถเมล์วิ่งวนรอบสถานที่เที่ยวในตัวเมืองนารา ค่าตั๋ว 100 เยน (อยากบอกว่า ตั๋ว Kansai Thru Pass ใช้กับรถเมล์ฮันคิวในโอซาก้าได้ ใช้กับรถเมล์ในเกียวโตได้บางพื้นที่ ส่วนรถเมล์ในนาราไม่ร่วมรายการนะครับ ต้องจ่ายเพิ่มเอา) ผ่านหน้าพิพิธภัณฑ์เมืองนาราซึ่งใหญ่เอาการและมีของเก่าโชว์น่าจะมากอยู่ แต่ไม่มีเวลาลงไปชม ไปลงหน้าวัดโทไดจิ โอ้โฮ คนก็เยอะ กวางก็แยะ กวางบางตัวเป็นขี้เรื้อนด้วย ดูแล้วก็สงสารแล้วก็คิดไปว่าพวกกวางเหล่านี้มีไว้ดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ความเป็นอยู่ของมันคงไม่มีใครดูแลจริงๆ จังๆ เท่าไหร่ ปล่อยมันนอนกลางดินกินกลางทรายกันไปเที่ยวกินข้าวเกรียบจากมือนักท่องเที่ยวไปตามมีตามเกิด ก็ได้แต่ปลง วันนี้วันอาทิตย์นักเรียนมาเป็นหมู่คณะมากมายจริงๆ ครับ นักเรียนมัธยมเด็กสาวๆ เล่นกับกวางแบบไม่กลัวกวางขวิด เช่นเอาปากคาบข้าวเกรียบกวางแล้วให้กวางมันงับกินแบบ mouth to mouth แล้วก็แหย่กันหัวเราะสนุกสนาน นักเรียนชายก็แกล้งเอ็ดใส่กวาง เราหิวแล้วแบบภาวะจำยอมต้องนั่งกินข้าวร้านข้างทางที่ขายนักท่องเที่ยว ประเทศญี่ปุ่นก็ไม่ต่างจากไทยตรงที่ว่าของกินขายตามแหล่งท่องเที่ยวมักจะแพงกว่าปกติ แต่เราก็ต้องกินเพราะหิวแล้ว ผมสั่งคัตสึด้ง (ข้าวหน้าหมูทอด) แล้วก็สั่งเทมปุระอุด้งให้เมีย โหชามนึงแปดเก้าร้อยเยนก่อน ก็นั่งกินๆ ไป ดูท่าทางเมียผมจะถูกกับอุด้ง บอกว่าอร่อยดี ส่วนผมข้าวหน้าหมูทอดยังไงก็กินได้อยู่แล้ว
อุด้งกับคัตสึด้งที่ร้านขายของที่ระลึกหน้าวัดโทไดจิ
เราเดินเข้าวัดโทไดจิท่ามกลางฝูงชนมหาศาล ประตูไม้ทางเข้าใหญ่และเก่า รูปปั้นนิโอยักษ์ทวารบาลตั้งตระหง่านซ้ายขวา ไม่ทราบว่ากลัวคนไปขีดเขียนเล่นหรืออย่างไรจึงเอามุ้งลวดกางกันไว้หมด (ที่วัดโทไดจิเก่ามากจนไม่เห็นสีสันอะไร แต่ที่วัดชิเทนโนจิกลางเมืองโอซาก้านั้นเขาทาสียักษ์ทวารบาลเป็นสีเขียวสีแดงชัดเจน) เข้าไปแล้วก็จะพบกับระเบียงคดที่ล้อมวิหารไว้ เข้าไปตรงประตูข้างจะเป็นที่ขายตั๋ว เดินผ่านที่ตรวจตั๋วจะเป็นทางเดินไปสู่วิหาร (ที่จริงมีประตูที่พุ่งเข้าหน้าวิหารโดยตรงแต่เขาปิดไว้) เมื่อเข้าไปในวิหาร ก็ต้องพบกับความใหญ่โตมโหฬารของหลวงพ่อโต ในวิหารคนเต็มเอี๊ยดโดยเฉพาะนักเรียนที่มาทัศนศึกษา แต่ไม่เห็นมีใครที่จะไหว้พระจริงๆ จังๆ กลายเป็นว่ามาดูพระกันเฉยๆ เสียอย่างนั้น แต่ผมมาคราวนี้ตั้งใจมาไหว้ท่าน ไม่มีธูปขายมีแต่เทียนให้จุด เล่มละห้าสิบเยน เมื่อไหว้อธิษฐานเสร็จแล้วผมกับเมียก็เดินไปทางข้างหลัง มีโต๊ะบอกบุญให้ทำบุญกระเบื้องมุงหลังคาวัด แผ่นละพันเยน ทำบุญถวายปัจจัยแล้วเขียนชื่อลงแผ่นกระเบื้องได้ โหนี่เหมือนเมืองไทยเลยอ่ะ (ฮา) ที่ยิ่งกว่านั้นคือผมเหลือบไปเห็นกระเบื้องอยู่แผ่นหนึ่งเขียนชื่อเป็นภาษาไทยตัวหนังสือไทยด้วย เยี่ยมเลยครับทำบุญกระเบื้องมุงหลังคาวัดถึงที่ญี่ปุ่นเนี่ย
รูปปั้นทวารบาลประตูเข้าวัดโทไดจิยังอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ…(ดูดเสียง)
จะเข้าวิหารแล้ว วันอาทิตย์ นักเรียนจากไหนไม่รู้มากันแน่นวัด
เชิญชวนท่านผู้มีจิตศรัทธา ทำบุญถวายกระเบื้องมุงหลังคาวิหารวัด
ญาติโยมท่านใดจะเขียนป้ายขอพร อันละหกร้อยเยนเท่านั้น
จากนั้นเราก็ไปดูเสามีรูที่เด็กๆ หรือคนตัวเล็กชอบมาลอด ประมาณว่าลอดออกมาได้แล้วจะโชคดีมีชัย อารมณ์คล้ายๆ แบบ ลอดใต้โบสถ์ตามวัดบางแห่งในเมืองไทยเลย (ฮา) งานนี้ผมหมดสิทธิลอดแน่นอน แล้วก็เดินผ่านหน้าร้านขายเครื่องราง ของที่ระลึกป๊อกแป๊กขายนักท่องเที่ยวจำพวกพัด รูป เครื่องรางของขลังไปเรื่อย
ก่อนจะออกมาจากระเบียงคด ผมแวะทำ “เหรียญที่ระลึก” แบบเป็นเครื่องหยอดสตางค์ลงไปจะได้เหรียญสีทองออกมา มีลายพิมพ์รูปวัด แล้วเราก็เอาเข้าเครื่องให้มันตอกชื่อเรา ผมทำให้เมียเสร็จสรรพ หยอดเหรียญซื้อพวงกุญแจด้วยจะได้ใส่เป็นพวงกุญแจเก๋ๆ แต่ไม่รู้จะมีลอกมีดำบ้างหรือเปล่า (ฮา)
เราเดินออกมาจากวัดมาถึงริมถนนแบบเมื่อยเจ็บขามากๆ อาการที่สะสมมาหลายวันนี่มันสุดยอดจริงๆ ด้วยเวลาและความเจ็บความเมื่อย เราเลยตัดสินใจไม่ไปศาลเจ้าคาซึงะต่อละ กลับไปโอซาก้าไปเดินย่านอุเมะดะไปชอปปิ้งดีกว่า ด้วยความขี้เกียจคอยรถเมล์และมีแท็กซี่จอดรอพอดี เราเลยนั่งแท็กซี่ญี่ปุ่นไปสถานีในราคายุติธรรมคือหกร้อยกว่าเยน ซึ่งแท็กซี่เขาดูดีมากๆ น่าใช้บริการ เขียนบอกชัดเจนว่าไปตรงไหนในแถวนี้ใกล้ๆ ราคาเท่าไหร่ เมียผมก็เลยได้ประสบการณ์ใหม่คือนั่งแท็กซี่ญี่ปุ่นที่สบาย สะอาด คนขับรถแต่งกายสุภาพ นั่งแป๊บเดียวถึงหน้าสถานีรถไฟฟ้าเคย์ฮันนาระแล้ว ประตูรถเปิดให้เองอัตโนมัติเลย เยี่ยมจริงๆ
นั่งรอรถเมล์ที่นาราแป๊บนึง ตรงข้ามวัดโทไดจิ ก่อนจะตัดสินใจขึ้นแท็กซี่แทน
นั่งรถไฟไปถึงอุเมะดะ เดินกันขาลากอีกครั้งโผล่หน้าห้างโยโดบาชิคาเมร่าสาขาอุเมะดะ แล้วก็ต้องเดินกันไปตามทางไปถึงอุเมะดะสกายบิลดิ้ง เพื่อไปชมวิวสุดสูงของเมืองโอซาก้า กว่าจะเดินไปถึงก็ต้องเดินลอดอุโมงค์ใต้ทางรถยนต์กันอีก ซึ่งก็ออกแนวโทรมๆ เก่าๆ ถ้าให้ผู้หญิงสาวๆ เดินตอนกลางคืนเปลี่ยวๆ ก็น่ากลัวอยู่ พอไปถึงแล้วเราก็ขึ้นบันไดเลื่อนเพื่อไปขึ้นลิฟท์กระจกความเร็วสูงซึ่งความเร็วสูงจริงๆ จนตอนขาขึ้นผมต้องสวดนะโมพุทโธไปด้วยเพราะผมกลัวความสูง และลิฟท์วิ่งขึ้นเร็วมาก 38 ชั้นภายในเวลาแค่ 40 กว่าวินาที (ตีว่าชั้นละหนึ่งวินาที) เสร็จแล้วต้องขึ้นบันไดเลื่อนสุดยาวสุดเสียวเพราะมันลอยเท้งเต้งกลางเวหาระหว่างตึกแฝดสองตึกซึ่งมีจุดร่วมแค่ตรงชั้นชมวิวลอยฟ้าที่อยู่บนสุดสามชั้นสุดท้ายแค่นั้น พอรอดมาถึงชั้นบนแล้วก็ไปที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว แล้วขึ้นไปอีก จะเป็นชั้นนั่งมองผ่านกระจกชมวิวได้ มีร้านขายขนมเครื่องดื่มเล็กๆ น้อยๆ ขึ้นลิฟท์เล็กๆ ไปอีกจะเป็นชั้นดาดฟ้าซึ่งผมเดินไปต้องเกาะราวไปตลอดทางเพราะมันสูง และเป็นดาดฟ้ารูปวงแหวนโดนัท ตรงกลางมองลงไปแล้วเสียวจนขาพับ เดินๆ ไปจะเห็นรั้วเหล็กที่มีคู่รักเขาเอากุญแจมาคล้องกันไว้เต็ม เราได้เห็นคู่บ่าวสาวแต่งชุดมาถ่ายรูปแถวนี้ด้วย ลงมาจากจุดชมวิว ลงลิฟท์ความเร็วสูงจากชั้น 38 ดิ่งลงมาชั้น 3 เนื่องจากเมียผมยังถ่ายคลิปตอนลิฟท์ลงไม่สะใจ เลยขอให้ผมขึ้นลิฟท์ไปใหม่แล้วลงมาใหม่อีกรอบ เป็นอันว่าผมได้สวดมนต์เกินหนึ่งรอบละ
ภรรยาผมประกาศชัยชนะเหนือการขึ้นลิฟท์และบันไดเลื่อนมาถึงชั้นบนสุดโอเพ่นแอร์ของตึก ใครกลัวความสูงมองลงไปข้างล่างรับรองมีเฮ
ทิวทัศน์นครโอซาก้า+เมีย
อื้อหือ
มองจากข้างล่างตึกแหงนมองขึ้นไปแล้ว โอ้โห
ลงมาที่ชั้นล่าง เราเจ็บขามาก แต่เมียผมดันมี mission impossible นั่นก็คือ เจ้านาย (เก่า) คุณเธอเล่นฝากให้ซื้อที่ดัดขนตาของยี่ห้อ SHU UEMURA ซึ่งยี่ห้อนี้ดันไฮโซเกินจนไม่มีขายตามร้านทั่วไป ถ้าอย่าง Shiseido อะไรเทือกนี้ยังพอหาได้ตามร้านขายเครื่องสำอางทั่วไป แต่ SHU UEMURA เป็นยี่ห้อขึ้นห้างระดับที่ว่าทั้งเมืองโอซาก้ามีร้านอยู่แปดร้าน แถวย่านอุเมะดะมีอยู่แค่สองร้าน ร้านหนึ่งอยู่ในห้างฮันคิวฮอนเทน อีกร้านอยู่ที่ห้างไดมารุอุเมะดะ แต่ระดับนี้แล้ว ทำได้แน่นอน ผมเสิร์จข้อมูลในเนตโดยอาศัยคอมพิวเตอร์และเน็ตฟรีที่ตรงที่พักผู้โดยสารรถบัสความเร็วสูงใต้ตึกอุเมะดะสกายบิลดิ้ง จนได้รู้ข้อมูลที่ตั้งของร้าน และตัดสินใจไปที่ห้างฮันคิว เราเดินอย่างยากลำบาก เจ็บขาและปวดฉี่ไปยังแถวโยโดบาชิคาเมร่า แวะกินเบอร์เกอร์กุ้งกับใบกะเพราและสปาเก็ตตี้ผักดองญี่ปุ่นที่ร้าน first kitchen ฟาสฟู้ดยี่ห้อญี่ปุ่นซึ่งคนแน่นร้านแทบไม่มีที่จะเดิน ห้องน้ำก็ไม่ว่าง เราเดินไปถึงห้างฮันคิว ไปชั้นขายเครื่องสำอางแล้วก็ตะลึงกับความไฮโซของห้างนี้ที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางและกระเป๋าแบรนด์เนม พนักงานขายของ SHU UEMURA เราสัมผัสได้ถึงรังสีแห่งความเนี้ยบ เริ่ด เชิด อันมีแต่ลูกค้าไฮโซไฮซ้อ คุณหญิงคุณนายเท่านั้นที่คุณคู่ควร เมื่อจะซื้อของก่อนอื่นจะต้องรับบัตรคิว (โอ้ว) พอถึงคิวแล้วพนักงานเขาก็จะสอบถามถึงสินค้าที่เราต้องการโดยเทคแคร์เราแบบ one by one เมื่อเราบอกว่าต้องการสินค้าตัวนี้ๆ เขาก็จัดใส่ถุง คิดเงิน รับเงินให้อย่างเรียบร้อย ด้วยการบริการอย่างมีระดับประทับใจ บอกตรงๆ ผมเรียนอยู่ในญี่ปุ่นมาสามปีไม่เคยเดินเข้าห้างไฮโซเยี่ยงนี้มาก่อน เจอแบบนี้เล่นเอาทำตัวแทบไม่ถูก และห้างนี้มองไปรอบๆ นี่ลูกค้าคนที่มาเดินนี่ไฮโซไฮซ้อจริงๆ แบบว่าห้างคนรวยเดินชอปของแบรนด์เนมแท้ๆ เข้าห้องน้ำไปทำใจก่อน แล้วออกจากห้างฮันคิวไปโยโดบาชิคาเมร่าดีกว่า
ว่าไปก็ไปเดินชอป+หาข้าวเย็นกิน ที่โยโดบาชิคาเมร่า ดีกว่า
ที่โยโดบาชิคาเมร่า ชื่อมันว่าคาเมร่า แต่ตึกแปดชั้นของมันห้าชั้นขายเครื่องใช้ของใช้ไฟฟ้าแทบทุกชนิด ตั้งแต่ไอโฟน ไอแพด นาฬิกา วิทยุ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไอที ของเล่น เครื่องเล่นวิดีโอเกม เมียผมได้นาฬิกาข้อมือหนึ่งเรือน ผมเดินไปดูนินเทนโดดีเอสแล้วก็พบว่าราคาแพงกว่าเมืองไทยอีกนะครับ การซื้อของแล้วได้คืนภาษีสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาตินั้นยอดซื้อจะต้องหนึ่งหมื่นเยนขึ้นไป อีกสามชั้นจะเป็นพลาซ่าให้เช่าพื้นที่ ขายเสื้อผ้า ที่เด่นสุดคือชั้นแปด ทั้งชันจะมีแต่ร้านอาหาร อาหารจีน อาหารเกาหลี อาหารอิตาเลียน อาหารอเมริกัน ทุกร้านเต็มไปด้วยผู้คนมหาศาลเพราะวันนี้เป็นเย็นวันอาทิตย์ เมียผมจะกินซูชิหมุน ปรากฏว่ามีคิวห้าหกคิว เลยจองไว้ก่อนแต่ก็ไปเดินดูร้านอื่น ทีแรกจะดูร้านติ่มซำบุฟเฟต์หัวละสองพันเยน ขอโทษครับ คิวยาวออกมาสักสิบเมตรได้ ส่วนร้านอื่นๆ ก็ไม่น่าสนใจเท่าไหร่ กลับไปกินซูชิหมุนดีกว่า ผมสั่งเหล้าเย็น (เรชุ) เมียผมดมกลิ่นแล้วบอกว่าอย่างกับเหล้าขาว ก็มันคือเหล้าขาวนั่นแหละแต่เขากลั่นเหล้าประณีตกว่าเราเท่านั้นเอง ใจจริงอยากพาเมียไปลองกินซูชิหมุนร้อยเยนแต่มันไกลเกินไป ก็ได้กินแล้วก็โอเคล่ะ
อาหารเย็นวันนี้ ซูชิหมุน
แน่นๆ
แหม่ ของมันต้องมี
กลับมาโรงแรมที่พัก เราต้องเตรียมจัดของเพราะพรุ่งนี้เราต้องไปสนามบินแต่เช้า แต่ ผมดันเหลือบไปเห็นว่าตรงเยื้องๆ โรงแรมน่ะ มีร้านซานุกิอุด้งสไตล์ราคาถูกอยู่ร้านหนึ่ง ขอเมียว่า เราไปกินกันเถิดเป็นประสบการณ์ชีวิต พรุ่งนี้เราก็ต้องกลับบ้านกันแล้ว นะๆ เลยพากันเข้าร้าน สั่งอาหารสไตล์ฟาสฟู้ด เริ่มด้วยการบอกว่าจะเอาอุด้งแบบไหน ชามใหญ่ชามเล็ก แล้วเราก็คีบเอาของทอด เครื่องเคียงที่อยากกินแกล้ม ราคาก็ตามแต่ของที่จะใส่เพิ่ม มีกุ้งเทมปุระ ไก่เทมปุระ ผักทอด ตามแต่จะเลือก คีบใส่จานในถาด แล้วเขาก็จะตักอุด้งกับน้ำใส่ชามให้ คิดสตางค์เรียบร้อย ช้อนส้อมหยิบเอาคนเดียว ขิงขูด ไชเท้าขูด เศษแป้งทอด ตักเอาเองตามสบาย บางคนก็ชอบอุด้งใส่เศษแป้งทอดลอยหน้า ผมก็ชอบ ผมกับเมียก็นั่งกินกันสองคน เมียผมชอบกินอุด้ง บอกว่าอร่อยดี ร้านราคาถูกพวกนี้ความสะอาดไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ และตามริมถนนใหญ่บางที่ก็ขายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ประมาณว่าคนขับรถบรรทุกทำงานกะดึกก็กินได้ มาถึงที่ห้อง พนักงานโรงแรมเขาใส่ใจมากในการดูแลเล็กๆ น้อยๆ เช่นเอาผ้าเช็ดตัวมาเปลี่ยนให้ก็มีที่โกนหนวดแถมมาให้ด้วย เมียผมบอกว่าคนญี่ปุ่นนี่ใส่ใจกับเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ดีจัง
ซานุกิอุด้ง ร้านริมถนนหน้าปากซอยเข้าโรงแรม
ตั๋ว Kansai Thru Pass ใช้ครบสามวันแล้ว ตอนสอดตั๋วผ่านด่านที่สถานีเอซากะ นั่นคือการใช้ครั้งสุดท้ายละ ผมบอกเมียว่าให้เก็บไว้เป็นที่ระลึกนะ ก่อนจะนอนเอาแรง วันรุ่งขึ้นต้องปิ๊กเจียงใหม่บ้านเฮาละ (ฮา)
…รุ่งเช้า…
ตื่นขึ้นมา ล้างหน้าแปรงฟัน เก็บข้าวของลากกระเป๋าลงลิฟท์ บอกเช็กเอาท์ บ๊ายบายจากโรงแรมแล้วก็ลากกระเป๋าถือกระเป๋าขึ้นรถไฟฟ้าไปอุเมะดะ เพื่อไปต่อรถลีมูซีนบัสไปถึงสนามบิน อารามรีบมากขนาดที่ว่าซื้อทงคัตซึแซนวิชจากลอว์สัน แทบไม่มีเวลากิน น้ำเปล่าผมกินจนถึงวินาทีสุดท้ายก่อนจะต้องผ่านด่านตรวจความปลอดภัยหลังเช็คอิน ไม่มีเวลาได้นั่งกินข้าวร้านอาหารในสนามบินเลยด้วย ผ่านด่าน ตม. ขาออกแล้ว เรารีบแวะดูร้านขายของปลอดภาษี ไปเจอของดีเอานาทีสุดท้าย นั่นคือ…
งื้อ อาหย่อย (เสียงเมียผมพูด)
…ชอกโกแลต Royce ชอกโกแลตผสมครีมสดคลุกผงชอกโกแลต (นามะชอกโก) กล่องละหกร้อยหกสิบเยน ตีเป็นเงินไทยแค่สองร้อยกว่าบาท ผมเจอแล้วต้องซื้อ ต้องให้เมียได้กิน แบบว่าไม่อยากให้พลาดของดีจริงๆ ซื้อพกไปกินเมืองไทยด้วย (ต้องใส่ถุงเก็บความเย็น) เมียกินแล้วบอกว่าอร่อยจริงๆ อร่อยถูกใจราคาไม่แพงด้วย เอาเป็นว่าสำหรับผมกับเมียแล้วของดีเมืองญี่ปุ่นอย่างหนึ่งแน่ๆ คือชอกโกแลตยี่ห้อ Royce นี่แหละ ที่เป็นของเชิดหน้าชูตารับรองแขกบ้านแขกเมืองได้ไม่อายชาวโลกแน่ๆ
พอจะขึ้นเครื่อง ผมเกิดอยากกินทงคัตซึแซนวิช อุตส่าห์วิ่งไปร้านสะดวกซื้อใกล้เกท อนิจจา ไม่มีแซนวิชทงคัตซึ เศร้า คาใจ จะต้องจากแผ่นดินญี่ปุ่นไปโดยไม่ได้กินทงคัตซึแซนวิชอีกแล้วหรือนี่
ได้ขึ้นเครื่องแล้ว ก็เพิ่งรู้ว่า ผมกับเมียไม่ได้นั่งที่ติดกัน (เวรละ) เพราะเช็กอินช้าหรืออย่างไรนี่หละที่นั่งติดกันสองที่เลยไม่มี เซ็งมาก เมียผมนั่งเหงาหงอย ใส่ชุดที่ดูเผินๆ เหมือนคนท้อง สงสัยพนักงานเข้าใจว่าท้องหรือเปล่า เลยจับมานั่งที่เบาะแบบที่ไม่มีเบาะคนอื่นอยู่ข้างหน้า (ไม่ได้ท้องนะจ๊ะ) อาหารก็พอได้ เบียร์อาซาฮีกระป๋องก็ได้อยู่
เครื่องมาถึงสนามบินฮ่องกง หลังจากที่ต้องลากกระเป๋าจากเกทมาอย่างไกลเพื่อจะต่อเครื่องคาเธ่ย์แปซิฟิก เราแวะกินอาหารจีนเพื่อเป็นที่ระลึกที่ร้าน 一面粥 สั่งบะหมี่เกี๊ยวกุ้งน้ำหนึ่ง บะหมี่หมูแดงแห้งหนึ่ง พระเจ้าช่วยอาหารฮ่องกงนี่มาเต็มจริงๆ จานยักษ์จานมาร ปริมาณหนึ่งจานหนึ่งชามของเขาเท่ากับของเราคูณสี่คูณห้าของผมมาเป็นชุดพร้อมชามะลิกับผักกาดขาวลวกราดน้ำมันหอย ส่วนของเมียผมมีน้ำซุป อาหารฮ่องกงนี่ ราคาแพง ปริมาณมาก ผมเห็นโต๊ะข้างๆ กินข้าวผัดแล้วมันน่ากินมากเขากินไม่หมดด้วย แต่ร้านแบบนี้ห้ามนั่งนาน เพราะมีคนคอยคิวจะนั่งต่อจากเราตลอด คนมันเยอะ รีบกินรีบไปไวๆ เมียผมกินบะหมี่แห้งบ่นว่าน้ำราดให้น้อยไม่พอหมี่ ผมเลยเอาน้ำพริกเผาใส่ให้ กลายเป็นเผ็ดอีก สุดท้ายเมียผมกินครึ่งจานผมกินชามครึ่งอีกแล้ว
บะหมี่หมูแดงคุณพระคุณเจ้า อิ่ม อร่อย จัดเต็ม
เราลากกระเป๋าไปต่อเครื่อง ผ่านด่านตรวจ ขึ้นๆ ลงๆ ไปพบกับความอลังการร้านค้าปลอดภาษีที่มีสินค้าแบรนด์เนมมากมาย SHU UEMURA ก็มีนะ (ฮึ่ม) จากเกทเราต้องนั่งรถบัสไปขึ้นเครื่องของดราก้อนแอร์เพื่อกลับเชียงใหม่ บนเครื่องเราได้กินติ่มซำอาหารว่างเพราะเวลาไม่ตรงมื้ออาหารหลัก มีขนมจีบ ฮะเก๋า ขนมผักกาด ก็กินพอเพลินๆ คราวนี้ได้นั่งติดกันละ นั่งเครื่องสองชั่วโมงกว่าก็ถึงท่าอากาศยานเชียงใหม่ ยืนบัตรขาเข้าและพาสปอร์ต เคลมกระเป๋า เดินผ่านด่านศุลกากรแบบสบายๆ แล้วพ่อตาแม่ยายน้องเมียและลูกชายตัวเล็กก็มาในรถกันพร้อมหน้า ผมกับเมียก็นั่งรถกลับบ้าน เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางข้ามสองประเทศในครั้งนี้ละ
ครับ คราวนี้ภาพชีวิตในโอซาก้าของผมก็หมดแต่เพียงเท่านี้ หมดแบบไม่มีอะไรกั้น จริงๆ แล้วล่ะครับ มันอาจจะเป็นอะไรที่ธรรมดาในยุคนั้นที่คนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่นกันตูมๆ แต่มายุคนี้แล้วมันก็เป็นอะไรที่น่าระลึกถึงจริงๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้มีโอกาสแบบนี้อีกไหม อ่านกันนานๆ นะครับ อาทิตย์หน้าพบกันใหม่สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (3) เกียวโต วันเดียวก็เที่ยวได้ (จริงเหรอ)
– ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (2) หนึ่งวันในโอซาก้า เยี่ยมบ้านคุณป้าเซ็ตสึโกะ
– ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (1) กว่าจะถึงโอซาก้า
– “บะหมี่สาวจ้าวนักสู้” (そばっかす!) จงหา “ข้อดี” ในตัวเรา แล้ว “เอาดี” ให้ได้!!!
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (8) “ล้มให้เป็น” ว่าด้วยความหมายที่แท้ของคำว่า “สุเตมิ” 捨て身
#ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (4) ไปนารา ย้อนมาอุเมะดะ คืนสุดท้ายในญี่ปุ่นกับซูชิหมุนและซานุกิอุด้ง