วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (8) “ล้มให้เป็น” ว่าด้วยความหมายที่แท้ของคำว่า “สุเตมิ” 捨て身
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน พบกันอีกแล้วนะครับ วันนี้ไม่ขอพูดเยอะละ เข้าเรื่องเลยละกัน (ฮา)วันนี้ผมขอพูดถึงเนื้อหาจากหนังสือเล่มเดิมของพระอาจารย์ไทเซ็น (อีกละ) ว่าด้วยเรื่อง ความหมายที่แท้ของคำว่า “สุเตมิ” 捨て身 กันนะครับ
“สุเตมิ” คืออะไร? สุเต มาจาก สุเตรุ (捨てる) “ทิ้ง” เอามาบวกกับคำว่า มิ 身 “ร่างกาย” แปลตรงๆ ญี่ปุ่นเป็นไทย “สุเตมิ” ก็แปลว่า “ทิ้งร่างกาย”
แล้วมันเป็นยังไงไอ้การ “ทิ้งร่างกาย” น่ะ?
เอาแบบเป็นรูปธรรม ดูแล้วเข้าใจง่ายสุด ขอให้มาดูกระบวนท่าทุ่ม “ทิ้งร่างกาย” หรือเรียกอีกอย่างคือ “ทิ้งตัวทุ่ม” คือทุ่มคู่ต่อสู้แบบทิ้งตัวเองลงพื้นก่อนเพื่อเหวี่ยงคู่ต่อสู้ลงพื้น หรือล้มตัวลงเพื่อพาคู่ต่อสู้ลงพื้นไปด้วย สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ดูนี่ดีกว่าครับ
อันนี้คือท่าทุ่มสาย “มะสุเตมิ” (真捨て身 ทิ้งตัวลงไปตรงๆ) ในยูโดโคโดคัน (KODOKAN เด๋วนี้มีช่องยูทูปแล้วนะ รู้ยัง)
ส่วนอันนี้คือท่าทุ่มสาม “โยโคสุเตมิ” (横捨て身 ทิ้งตัวลงทางข้าง)
สังเกตว่าการทุ่มของยูโดที่เขาสาธิตจะเป็นการทุ่มทิ้งเหวี่ยงทิ้ง ทุ่มอย่างเดียวจริงๆ เพราะในยูโดนั้นการทุ่มคือที่สุด (ทุ่มเอาตาย) ซึ่งใน BJJ กับแซมโบ (“ยูโดรัสเซีย”) นั้น แน่นอนก็รับท่าทุ่มทิ้งตัวมาจากยูโดอยู่หลายท่าเช่นกัน แต่เนื่องจากหลักคิดของ BJJ กับแซมโบนั้น การทุ่มนั้นเป็นเพียงจุดเริ่มของกระบวนการ ทุ่ม-ทับ-จับ-หัก
ฉะนั้น ทิ้งตัวเสร็จแล้ว ต้องกลับลำขึ้นมาอยู่บนตัวคู่ต่อสู้ (ทับ) เพื่อจะได้ จับ แล้ว หัก (ซึ่งทุกวันนี้เราแค่ซับมิชชั่นพอให้แทป ไม่ได้หักจริงๆ น๊ะ) ดังนี้
พูดไปแล้ว ตัวผมเองท่าทุ่มสาย “ทิ้งตัว” นี่ ที่ชอบใช้ก็เพราะว่ามันเอาไว้เป็นท่า “เคาน์เตอร์” ได้ โดยเฉพาะกับบรรดาคนหนุ่มไฟแรงที่ยิม ที่ชอบเข้ามา single-leg takedown กับ hip throw กับผมกันจัง มากันไวไม่รู้จะหลบยังไงก็สวนแม่มเลย (ฮา)
ท่าที่ชอบๆ ก็มี สุมิกาเอชิ 隅返し (ซึ่งบางทีถ้าคว้าสายคาดเอวถึงก็อาจแปลงเป็น ฮิคิโคมิกาเอชิ 引き込み返し ไป) ทานิโอโตชิ 谷落し และก็อุระนาเงะ 裏投げ (เคยได้ใช้จริงตอนสแปริ่งแค่ทีเดียว ไม่ใช่อะไร เจอฝรั่งตัวโตกว่ามากๆ ผมยกทุ่มไม่ไหวแค่นั้นเอง (ฮา))
(ภาพ gif จากเว็บ judoinfo)
อันนี้ ฮิคิโคมิกาเอชิ 引き込み返し จะคว้าสายคาดเอว
(ภาพ gif จากเว็บ judoinfo)
ส่วนอันนี้ สุมิกาเอชิ 隅返し สุมิกาเอชิกับฮิคิโกมิกาเอชิต่างกันแค่ที่ตำแหน่งจับยึดตัวคู่ต่อสู้ แต่ก็เป็นการเอาหลังเท้าช้อนก้นช้อนหว่างขาแล้วล้มตัวเหวี่ยงไปเหมือนกัน
จะให้ดี สไตล์บีเจเจต้องม้วนหลังกลับตัวไปขึ้นคร่อมด้วย หรือบางทีก็ม้วนหลังแล้วจับเข้าท่าเคสะกาตาเมะ 袈裟固め ก็ได้ตามสถานการณ์
(ภาพ gif จากเว็บ judoinfo)
อุระนาเงะ 裏投げ ดูผาดๆ คล้ายซูเพล็กซ์ในมวยปล้ำ แต่ปลอดภัยกว่าจ้ะ เพราะเป็นแค่การจับเหวี่ยงไปข้างหลังเพื่อตามไปทับแค่นั้นเอง ไม่ได้ทุ่มเพื่ออัดหลังหัวคู่ต่อสู้ลงพื้นอย่างมวยปล้ำ
(ภาพ gif จากเว็บ judoinfo)
ทานิโอโตชิ 谷落し “สอยหุบผา” ท่านี้ดีมากสำหรับเวลาเจอใครจะ hip throw หมุนตัวเข้าทุ่มด้วยสะโพก จังหวะที่คู่ต่อสู้จะหันหลังให้ยังไม่เต็มตัว คว้าคอเสื้อด้านหลังเอาหัวแนบตัวคู่ต่อสู้ แทงขาล้มตัวลงไปเลยครับ
เนื่องจากผมเป็นแค่ยูยิตสูสายขาว บอกตรงๆ อยากเล่นท่าได้เยอะกว่านี้ (ฮา) แต่ตอนนี้ไปโฟกัสแก้จุดอ่อนวิชาสาย takedown แทน ชอบท่าแบบ armdrag แล้วอ้อมเข้าข้างหลัง กำลังพยายามทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าไม่ถนัดอยู่ (หลังๆ มาเริ่มเล่นไปเรื่อยละบางวันเล่น fireman’s carry (คาตะกุรุมะ 肩車) ก็มี)
ที่พูดไปแล้วทั้งหมดนี้ คือ “สุเตมิ” ในความหมายรูปธรรม นะครับ
แล้วนามธรรมล่ะ?
ในวิทยายุทธญี่ปุ่น ความหมายของคำว่า “สุเตมิ” ถ้าเอาแบบสุดโต่งเลยก็คือ “การโจมตีแบบพลีชีพ” ประมาณว่าถึงตัวจะตายก็ต้องลากคู่ต่อสู้ไปตายด้วย แต่ถ้าถามความคิดผม ผมไม่อยากตายหรอก แต่ถ้ามันจวนตัวจริงๆ ก็ต้องยอมเสี่ยงตาย ยอม “ล้ม” เพื่อจะหาทาง “ลุก” หาทาง “รอด” ฉะนั้น ความหมายนามธรรมของสุเตมิที่ควรจะเป็นก็คือ “การรู้จักล้มให้เป็นเพื่อที่จะลุกขึ้นมาใหม่ได้” ต่างหาก
ปรัชญา “การล้มเพื่อลุก” “ล้มให้เป็นเพื่ออยู่รอด” ที่มีในวิชา “สายอ่อน” ไม่ว่าจะยูโด ไอคิโด หรือบีเจเจ นั้น เป็นสิ่งที่คนเราควรจะเรียนรู้เพื่อการมีชีวิตรอดในสังคมสมัยนี้ คนเราถ้า “ล้มไมเป็น” “แพ้ไม่เป็น” เนี่ย เวลาล้มมานี่บางทีอาจถึงขั้น “ลุกไม่ขึ้น” เลยทีเดียว
แต่ถ้าตั้งใจเรียนวิชาการล้มให้ดีๆ ย่อมล้มแล้วลุกได้ ดีไม่ดีล้มแล้วพลิกขึ้นมาได้เปรียบ (อยู่บน) ก็ยังได้
ขอยกคำสอนของพระอาจารย์ไทเซนจากในหนังสือมาตามนี้นะครับ
So there are many different schools, but they all teach sutemi, abandoning the body, letting go of it, forgetting the ego and following nothing but the cosmic system. Abandon attachments, personal desires, ego. Then you can guide the ego objectively.
ดังนั้นจึงมีหลายสำนัก แต่ทุกสำนักล้วนสอนสุเตมิ คือการทิ้งร่างกาย ปล่อยมันไป ลืมอัตตาแล้วไม่ต้องไปตามสิ่งใดนอกจากระบบจักรวาล ทิ้งสิ่งยึดติด ความปรารถนาส่วนตัว อัตตา แล้วท่านจะสามารถนำพาอัตตาไปได้อย่างที่มันเป็นไม่เอนเอียง
Even if you fall down, you must not be afraid or anxious. You must concentrate here and now and not save your energy for another time. Everything must come from here and now.
ต่อให้ท่านล้มลง ท่านต้องไม่กลัวหรือหวาดวิตก ท่านต้องเพ่งจิตไปยัง ที่นี่และเดี๋ยวนี้ และไม่สงวนพลังงานของท่านไว้เพื่อเวลาอื่น ทุกสิ่งต้องมาจาก ที่นี่และเดี๋ยวนี้
The body moves naturally, automatically, unconsciously, without any personal intervention or awareness. But if we begin to use our faculty of reasoning, our actions become slow and hesitant. Questions arise, the mind tires, the consciousness flickers and wavers like a candle flame in a breeze.
ร่างกายเคลื่อนไหวไปตามธรรมชาติ ไปของมันเอง โดยไม่ต้องคิด ปราศจากการแทรกแซงส่วนส่วนตัวหรือการรู้ตัวใดๆ แต่ถ้าเราเริ่มใช้ความิดคิดหาเหตุผล การกระทำเคลื่อนไหวของเราจะช้าลงและลังเล เมื่อคำถามต่างๆ ผุดขึ้น จิตใจจะอ่อนล้า จิตสำนึกก็จะสั่นไหวไปมาเหมือนเปลวเทียนในสายลม
In Budo, consciousness and action must always be one. When you begin in aikido or kendo, you repeat the wasa, techniques, over and over, and the kata, the forms. You repeat them endlessly for two or three years, until forms and techniques become a habit, second nature. At first, when you’re learning them, you have to use your personal consciousness.
ในวิชาบู๊ (บูโด 武道) จิตสำนึกและการกระทำเคลื่อนไหวต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเสมอ เมื่อท่านเริ่มหัดไอคิโดหรือเคนโด ท่านหัดกระบวนท่าซ้ำๆ หัด คาตะ (型 คือรูปแบบ (ฟอร์ม) การเคลื่อนไหวรุกรับสำเร็จรูป เหมือนอย่าง “รำกาต้า” ในคาราเต้) ท่านต้องหัดซ้ำๆ ไม่มีหยุดไปสักสองสามปี จนกว่าฟอร์มการเคลื่อนไหวและกระบวนท่าจะติดตัวเป็นนิสัย เป็นธรรมชาติที่สอง ณ ตอนแรก ตอนที่ท่านเรียน ท่านต้องใช้จิตสำนึกส่วนตัวของท่าน
(จริงๆ ในวิชาต่อสู้ทุกแบบ โดยเฉพาะบีเจเจ คุณก็ต้องหัดดริล drill ซ้ำๆ จนรูปแบบการเคลื่อนไหวนั้นติดตัวแบบที่เรียกว่าเป็น “ความทรงจำในกล้ามเนื้อ” (muscle memory) เหมือนกันนะครับ)
It’s the same in learning to play the piano or drums or guitar. In the end you can play without consciousness, there is no more attachment, no more reference to the principles. You play naturally, automatically, This is a kind of wisdom, and out of it something fresh can be created.
มันก็เหมือนกับในการเรียนเปียโนหรือกลองหรือกีตาร์ สุดท้ายท่านจะสามารถเล่นได้โดยไม่ต้องคิด ไม่ต้องยึดติดกับอะไร ไม่ต้องอิงกับหลักการใดๆ ท่านจะเล่นได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไปของมันเอง นี่เป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่ง และสิ่งที่สดใหม่จะเกิดขึ้นมาได้จากมัน
And it’s the same with everything in our lives.
That is Zen, the spirit of the way.
และกับสิ่งอื่นๆ ในชีวิตของเราก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
นั่นแหละเซน จิตวิญญาณแห่งวิถี
ครับ ทุกสิ่งอย่างที่พูดมา ต้องศึกษาแล้วลงมือหัดทำ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ สิบมือคลำไม่เท่าทำเอง
ฉะนั้น ผมมีอะไรจะขอกับท่านผู้อ่านอย่างหนึ่ง
หากท่านผู้อ่านเห็นว่าปรัชญาการ “ล้มให้เป็น ล้มเพื่อลุกได้” เป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การเรียนรู้ละก็…
…อย่ารอช้า ปล่อยให้เวลาผ่านไปเปล่าๆ ไปหาเรียน “วิชาสายอ่อน” ที่เขาสอน “วิธิล้ม” ให้ท่านได้ จะยูโด ไอคิโด หรือบีเจเจ อันไหนก็ได้ที่ท่านไปสามารถเข้าถึงได้ใกล้ตัวท่านก่อน
(แต่ถ้าต้องการจะเรียนต่อยอดจาก “การล้มให้เป็น” ไปให้ถึง “การต่อสู้ดิ้นรนแม้ตกเป็นเบี้ยล่าง” และการ “หาทางพลิกจากอยู่ล่างเป็นอยู่บน” ล่ะก็ BJJ เป็นวิชาที่จะสอนตรงนี้ได้จำเพาะตรงจุดที่สุด)
จะซาบซึ้งกับปรัชญา คำสอนของอาจารย์เซน อย่ามัวแต่อ่านตำรา ออกไปลอง ไป “สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต” บนเบาะ กันบ้างนะครับ สัญญากับตัวเองกันไว้ วันใดที่บ้านเมืองเราพ้นวิกฤติโควิด จงทำชีวิตให้มีคุณค่า สละเวลามาฝึกฝนกายใจของตนเอง กันด้วยนะครับ ไม่มีอะไรมีค่าในเวลานี้มากกว่าการมีร่างกายจิตใจที่แข็งแรงแล้วล่ะครับ
ก่อนจากกันขอฝากวิดีโออินสตาแกรมของยิมให้ดูเล่นละกันนะครับ นี่ก็สุเตมิเหมือนกัน
https://www.instagram.com/p/CU_2a4Lp5M1/
วันนี้ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้ก่อน พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
เรื่องแนะนำ :
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (7) ประชุมวิทยายุทธแมว
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (6) การบำบัดใจด้วย “กายคตาสติปัฏฐาน” ผ่านการฝึก BJJ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (5) แมวสามตัว กับการจัดการกับ Ego ของตัวเองในการเรียน BJJ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (4) กาย เทคนิค ใจ จากซามูไรถึงยูยิตสู
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (3) เรียนรู้การ “ทะลวงชีวิต” เมื่อพบกับ “วิกฤติวัยกลางคน”
ขอบคุณรูปภาพ: https://www.tutorialspoint.com/brazilian_jiu_jitsu/
#เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (8) “ล้มให้เป็น” ว่าด้วยความหมายที่แท้ของคำว่า “สุเตมิ” 捨て身