โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง by Lordofwar Nick
ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (2) หนึ่งวันในโอซาก้า เยี่ยมบ้านคุณป้าเซ็ตสึโกะ
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน เข้าสู่ “วันที่สองในญี่ปุ่น” กันนะครับ
หลังจากที่เมื่อคืนไปกินปูกันมาแล้ว พอตื่นเช้ามา ผมก็เตรียมเอาของฝากใส่เป้ เอาไปฝากคุณป้าเซ็ตสึโกะ มื้อเช้าวันนี้ซื้อที่เซเว่นฯ ครับ ซื้อสปาเกตตี้หอยลาย ข้าวปั้น กาแฟร้อน เมียผมซื้อขนมปังเล็กๆ น้อยๆ กิน นั่งรถไฟจากเอซากะ (江坂) ไปสุดเหนือสุดสายที่เซนริจูโอ (千里中央) (ซึ่งท่านผู้อ่านเคยได้ดูรูปอ่านเรื่องตอนที่ผมยังเรียนอยู่ที่ญี่ปุ่นกันไปเต็มๆ แล้ว)
อันนี้ไม่เกี่ยวกับเซเว่นนะ แต่ภรรยาผมเห็นขนมนี่ อดไม่ได้ 555
มาเที่ยวญี่ปุ่นคราวนี้ สิ่งที่ผมเจอเลยในเซเว่นฯ ก็คือ ภาษีบริโภค (ทำนองเดียวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม) นั้นขึ้นจาก 5% สมัยผมเรียนหนังสือ เป็น 8% ซะแล้ว ฉะนั้นเมื่อผมซื้อข้าวปั้นราคา100 เยน ผมจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น จากแต่ก่อนจ่าย 105 เยน มาตอนนี้ต้องจ่าย 108 เยนเสียแล้ว เท่ากับราคาข้าวของแพงขึ้นไปอีก
ผมพาเมียขึ้นรถเมล์ไปที่อาโอดันจิ (粟生団地) ระหว่างทางรถเมล์ผ่านแถบมิโน่ ผมก็ได้เห็นว่า ห้างคาร์ฟูร์ที่ผมเคยไปเดินซื้อของอยู่ครั้งหนึ่งนั้น มาบัดนี้กลายเป็นห้าง AEON ไปเสียแล้ว…
มาถึงอาโอดันจิ ก่อนลงจ่ายค่ารถเมล์คนละ 230 เยน แถวนั้นก็ยังเงียบๆ สงบๆ เหมือนเดิม ตอนนี้แปดโมงครึ่ง ไปรษณีย์ยังไม่เปิด ตรงที่เคยเป็นซูเปอร์มาเก็ต “พีค๊อก” ซึ่งก่อนที่ผมจะเรียนจบกลับเมืองไทยได้สองสามเดือนได้ปิดกิจการลง ตอนนี้กลายเป็นซูเปอร์มาเก็ตยี่ห้ออื่นไปละ ผมพาเมียเดินข้ามถนน ลัดเลาะทางลัดในซอยเลียบคลองระบายน้ำ ผ่านบ้านคน ผ่านศาลเจ้า โผล่ออกมา ข้ามถนนอีก (ไปดูวิวที่ผมว่านี่ได้ในตอนสุดท้ายของชีวิตนักเรียนในญี่ปุ่นได้ ที่นี่ >> https://www.marumura.com/bye-bye-osaka/ ครับ) แล้วเดินเข้าซอยไปเยี่ยมคุณป้า ถึงหน้าบ้าน กดกิ๊งก่อง
คุณป้าเซ็ตสึโกะออกมาต้อนรับอย่างดีใจ แกคอยผมอยู่ตั้งแต่เมื่อวานเพราะรู้ว่ากำหนดการผมถึงญี่ปุ่นเมื่อวาน แต่เมื่อวานด้วยความที่มืดแล้วเลยคิดว่าเข้าไปเยี่ยมพรุ่งนี้ตอนเช้าๆ จะดีกว่า ผมไม่ได้เจอคุณป้ามาแปดปี แล้วคุณป้าก็ยังดูเหมือนจะแข็งแรงอยู่เมื่อเทียบกับอายุ 78 ปี เพราะคุณป้ายังสามารถพาผมกับเมียเดินขึ้นชั้นสามของอพาร์ทเมนต์ไปดูห้องที่ว่างได้อยู่ คือแกอยากให้เมียผมดูว่าสมัยก่อนผมอยู่ห้องประมาณนี้แหละ ซึ่งเมียผมก็ยอมรับว่าห้องอพาร์ทเมนต์ของคุณป้าเซทสึโกะนั้นสะอาดดูดีเรียบร้อยจริงไม่มีแบบเก่าๆ โทรมๆ มีตู้เสื้อผ้าบิลท์อิน มีเตาไฟฟ้าเล็กๆ และซิงค์ล้านจาน มีระบบจ่ายแก๊สทำความร้อนสำหรับน้ำอาบ เรียกว่าดีจริงๆ สมัยผมเรียนอยู่นั้นเช่าเดือนละสี่หมื่นเยน มันก็โอเคนะห้องดีและอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยนัก พอเดินไปได้ (ซึ่งเดี๋ยวผมจะพาเมียเดินจริงๆ ละ)
ได้คุยกับคุณป้าแล้วก็ได้รู้เรื่องอะไรหลายๆ อย่างที่เปลี่ยนไป หลังจากที่มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนจบมานั้นได้ควบรวมกับมหาวิทยาลัยโอซาก้า คือลดฐานะลงจากมหาวิทยาลัยเอกเทศกลายเป็นเพียงคณะหนึ่งวิทยาเขตหนึ่งของมหาวิทยาลัยโอซาก้า คนเข้าเรียนก็ลดน้อยลง ทำให้คนมาเช่าห้องไม่เต็ม จะว่าไปอพาร์ทเมนต์ของคุณป้าก็เล็กๆ มีเพียงสามชั้น ชั้นละสี่ห้องรวมเป็นสิบสองห้อง แต่กระนั้นห้องก็ไม่เต็ม คุณป้าเซ็ตสึโกะนั้นมีลูกสามคนเป็นชายล้วน คนโตอายุราวห้าสิบกว่าแล้ว (สงสัยว่าเมียผมคงต้องเรียกคุณยายแทน เพราะลูกคนโตของคุณป้านั้น ไล่เลี่ยกับแม่ยายผมพอดี) ส่วนคนเล็กอายุเท่าผมนี่หละ ผมเลยนึกได้ว่า ตอนนั้นคุณป้าเคยให้พวงกุญแจรูปงูกับผมโดยบอกว่าผมน่ะเกิดปีมะเส็งเหมือนกับลูกชายของคุณป้า คงหมายถึงลูกชายคนเล็ก คุณป้าก็บอกต่อไปว่าลูกชายคนเล็กนั้นแต่งงานแล้วและมีลูกยังเป็นทารกซึ่งเกิดมาไล่เลี่ยกับลูกชายตัวเล็กของผมเลย
พูดถึงลูกชายตัวเล็กของผม (ซึ่งตอนนี้กลายเป็นพี่ชายไปแล้ว) ก่อนผมมาผมส่งอัลบั้มรูปตั้งแต่แรกเกิดถึงสี่เดือน คุณป้าเขาเอาขาตั้งใส่โชว์ไว้อย่างดี ผมก็เลยมอบแผ่นดีวีดีทำเองซึ่งใส่คลิปวิดีโอไว้ให้คุณป้าด้วย ก็นั่งคุยกันพักใหญ่ผมกับเมียก็ขอตัวไปเที่ยวชมมหาลัยก่อน แล้วจะย้อนกลับมาทานข้าวกลางวันกับคุณป้า
พอออกมาแล้ว ว่าจะไปคอยรถเมล์ ทีแรกดูป้ายตารางเวลา ยังอีกหลายสิบนาทีกว่ารถจะมา ก็เลยชวนเมียเข้าไปทัศนศึกษาซูเปอร์มาเก็ต MARUYASU ซึ่งบรรยากาศการจัดวางสินค้าก็ยังเหมือนกับสมัยที่ผมเรียนอยู่ทุกประการ มีแผนกอาหารสำเร็จรูป ของทอดต่างๆ นานา มุมขายชีส ขายนมและนมเปรี้ยว เบียร์และเครื่องดื่มแอกอฮอล์ มุมอาหารสด ผักผลไม้ ผมซื้อเบียร์กระป๋องหนึ่ง ชีสราคาถูกยี่ห้อ S&B เบบี้ชีสที่เคยกินประจำสมัยเรียน ซื้อขนมป๊อกแป๊กให้เมียกิน
พอออกมาที่ป้ายรถเมล์ ผมเหลือบไปเห็นป้ายอันหนึ่งบอกว่า ป้ายรถเมล์นี้ยกเลิกแล้ว อ้าว ตายละ ทำไงดี เลยบอกเมียว่า เอาน่าลองมีประสบการณ์แบบเดียวกับผมสักครั้งละกัน จะได้รู้ว่าชีวิตการไปเรียนของผมนั้นเป็นอย่างไร เดินขึ้นเขาไปถึงมหาลัยมันเสียเลย (จุเมียขึ้นดอย) ซึ่งก็นะครับ บ้านเรือนก็ยังเหมือนเดิม ถนนหนทางก็ยังเหมือนเดิม ที่ไม่เหมือนเดิมคือขาผมตอนนั้นน่ะแหละ กว่าจะขึ้นไปถึงมหาลัยได้ก็ขาลากกันเลยทีเดียว ดินชมมหาลัยแบบพอผ่านๆ ผมอธิบายให้เมียฟังว่าอันนี้ตึกห้องสมุด อันนี้ตึกนี้มีห้องเฉพาะปริญญาเอก ตรงนั้นเป็นตึกศูนย์ภาษา ฯลฯ แล้วก็ชวนกันไปนั่งโรงอาหารของมหาลัย
อาคารมหาลัยก็ยังเดิมๆ
โรงอาหารก็ยังเหมือนเดิม กับข้าวราคาถูกเช่นเดิม แต่ไม่ได้กินหรอกครับ ผมกับเมียแวะเข้าร้านสะดวกซื้อในโรงอาหาร ซื้อขนมพวกพุดดิ้งอะไรมานั่งกิน นั่งคุยกันได้สักพักก็คิดว่าเราต้องกลับไปหาคุณป้าละ แต่คราวนี้ไม่เดินลงเขาแล้วนะ นั่งรถเมล์ดีกว่า มีรถเมล์มาตรงป้ายใกล้มหาลัยคือป้าย “มะดานิจูทากุ 4” ก็นั่งไปลงป้าย “มิยะโนะมะเอะ” แล้วเดินไปบ้านคุณป้าต่อ
ของกินเล็กๆ น้อยๆ ณ โรงอาหารมหาลัย
อนิจจังไม่เที่ยง ตึกยังเดิมๆ แต่ป้ายชื่อมหาลัยเปลี่ยนไปแล้ว
ที่บ้านคุณป้า เรากินอาหารกลางวันจำพวกโอโคโนมิยากิ ซูชิ มันเยอะมากจนเรากินไม่หมดจริงๆ ต้องขออภัยด้วย กินเสร็จแล้วก็คุยกับคุณป้าเรื่องครอบครัวต่อ คุณป้าก็พูดถึงเรื่องของลูกชายคนรอง ลูกชายคนนี้แต่งงานมีลูกสามคน ได้ยินว่าหลานบางคนชอบใจสนใจเมืองไทย อยากมาเที่ยวเมืองไทย ผมก็เลยบอกว่าอยากมาเที่ยวไทยอยากให้มาเที่ยวเชียงใหม่นะครับ เสียดายไม่มีเที่ยวบินตรง ผมเองบินมาก็ต้องมาต่อเครื่องที่ฮ่องกง ก็เห็นว่าถ้ามีเวลาเขาก็อยากมาพร้อมกันทั้งครอบครัว ก็อยากให้มานะครับ คุณป้าก็บอกว่าถ้าได้มาเยี่ยมแกอีกก็อยากให้เอาน้องพอร์ชมาด้วย (ก็อยากนะ แต่มาดูสถานการณ์โลก ณ ตอนนี้แล้ว เห้อ)
อาหารกลางวันที่บ้านคุณป้าเซ็ตสึโกะ
ภรรยาผมถ่ายรูปกับคุณป้าไว้เป็นที่ระลึก
สุดท้าย ตอนจากลา คุณป้าโบกมือบ๊ายบายให้ผมหน้าบ้าน ผมกับเมียก็เดินจากไป แล้วหันกลับไปมอง คุณป้ายังยืนอยู่ที่เดิม ผมโบกมือให้อีกครั้ง เดินห่างออกไป แล้วหันกลับไปมอง คุณป้ายังยืนอยู่ที่เดิม ผมโบกมือให้อีกครั้ง เดินห่างออกไปอีก แล้วหันกลับไปมอง คุณป้าก็ยังยืนอยู่ที่เดิม ผมก็ยังโบกมือให้อีกครั้ง จนเดินลับตาไป ผมกับเมียเดินคุยกันไปเรื่อย ทันใดนั้น คุณป้าก็ขี่จักรยานตามผมมา บอกว่าผมลืมขวดน้ำ แล้วบอกว่าจะไปส่งผมถึงป้ายรถเมล์ แถมแซวว่าจะตามไปถึงเชียงใหม่เลย ผมอยากจะร้องไห้ เมียผมก็หยอกว่าสงสัยชาติที่แล้วแกคงเป็นแม่ผม (ฮา) ก็เดินกันไปคุยกันไป จนผมข้ามถนนไปป้ายรถเมล์ คุณป้าก็ยังยืนโบกมือให้ผม ผมโบกมือตอบด้วยความรู้สึกตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก จนกระทั่งรถเมล์พาผมออกไปจนสุดสายตานั่นแหละ
ใจจริงทีแรกวันนี้ว่าจะไปเกียวโต แต่ดูเวลาแล้วท่าจะไม่ไหว เลยว่าจะเที่ยวในเมืองโอซาก้าแทน ผมกับเมียนั่งรถเมล์ของฮันคิวไปจนถึงคิตะเซ็นริ (北千里) ทีแรกตกใจมากมันขึ้นป้ายไฟว่าค่ารถเมล์ 700 เยน โอ้มายก๊อด กำลังอึ้งๆ ก็เลยยื่นตั๋ว Kansai Thru Pass ให้คนขับดู ถามว่าใช้ได้ไหม ปรากฏว่าใช้ได้ครับไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม แต่….พอมานึกเรื่องที่ว่า ตอนขามาบ้านคุณป้าและนั่งรถเมล์ลงจากมหาลัยน่ะ จ่ายเงินไปเกือบพันเยนแล้วก็…อ๊า เอาพันเยนฉานคืนมา 555
ลงรถที่คิตะเซ็นริ ดูๆ ไปก็อะไรๆ ก็ยังเหมือนเดิม พากันไปไปรษณีย์ เพราะผมจะส่งของฝากพวกขนมจากเมืองไทยไปให้ญาติทางเมียที่เขากำลังทำวิจัยอยู่ที่ฮอกไกโดโน่นแหนะ พอส่งของเสร็จแล้วก็นั่งรถไฟจากคิตะเซ็นริ ไปต่อรถไฟที่ฮอนมาจิ (本町) ไปสถานีฮอนมาจิยงโจเมะ (本町四丁目) แล้วขึ้นบนดินเพื่อเดินไปปราสาทโอซาก้าต่อ
ถึงตอนนี้ต้องบอกว่า ขาเริ่มเจ็บแล้ว ไม่น่าเล้ย แค่เดินขึ้นเขาไปมหาลัยเองแต่ก่อนยังเดินทุกวันๆ ได้ มาเดี๋ยวนี้ร่างกายมันเจ็บซะละ ก็ต้องกัดฟันเดินไป ทำเวลา ไปปราสาทโอซาก้า ผ่านประตูอันใหญ่โตโอฬาร ไปอยู่ปราสาทที่เขาจำลองขึ้นมาใหม่ ที่ใครมาโอซาก้าก็ต้องมาที่ตรงนี้ เปรียบดั่งใครไปปารีส ก็ต้องไปเที่ยวไปชมหอไอเฟล กันเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่มันก็ไม่ใช่ของเก่าโบราณแท้เพราะของเก่าโบราณนั้นถูกเผาในการศึกฤดูร้อนซึ่งกลายเป็นจุดจบของลูกหลานตระกูลโทโยโทมิ (ดังที่เคยเขียนถึงมาแล้ว อ่านต่อได้ที่นี่) แถมยังเคยถูกระเบิดสมัยสงครามโลกครั้งที่สองอีก ขึ้นไปที่ตัวปราสาท ข้างในก็ยังเหมือนเดิม คือเป็นพิพิธภัณฑ์โชว์ประวัติของปราสาท ประวัติของเจ้าของปราสาทคือโทโยโทมิ ฮิเดะโยชิ รวมทั้งจัดแสดงของเก่าจำพวกดาบ อานม้า เสื้อเกราะ หมวกเกราะ ชั้นบนสุดก็ยังเป็นที่ชมวิวและขายของที่ระลึกเช่นเดิม
ทางเดินเข้าปราสาท ยาวไกล
เข้าประตูมาได้หนึ่งชั้น
ปราสาทโอซาก้ายังอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีเมียมาด้วย
จะเดินเข้าปราสาทแล้วค่ะ
บ่อน้ำหน้าปราสาท
นิทรรศการถาวรแสดงภาพศึกฤดูร้อน
ชั้นบนสุดเดินออกมาข้างนอกจะเป็นระเบียงชมวิว
ปลาทองตรงจั่วหลังคาปราสาทยังอยู่เหมือนเดิม
เดินกลับออกมา ผ่านหน้าพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์โอซาก้า ซึ่งก็อยากพาเมียไปดูนะแต่เวลาไม่มี เราต้องรีบไปไคยูคัง (โอซาก้าอควอเรียม) ก่อนที่มันจะปิด (ปิดสองทุ่ม) ก็เลยต้องลงสถานีรถไฟใต้ดินสถานีเดิมคือฮอนมาจิยงโจเมะ เจอลุงแก่ๆ ที่เขากำลังลำบากกับการขนกระเป๋าเดินทางลงบันไดทางลงสถานี ซึ่งจากระดับพื้นดินไปลงสถานีนั้น ลงไปลึก ไม่มีทั้งบันไดเลื่อนและลิฟท์ ผมทำความดีหนึ่งครั้ง ช่วยคุณตายกกระเป๋าลงให้ แกก็ขอบอกขอบใจตามเรื่อง
ผมกับเมียนั่งรถไฟใต้ดินจากที่นั่นไปลงสถานี “โอซาก้าโค” (大阪港 ท่าเรือโอซาก้า) แล้วก็เดินเท้าต่อไปไกลพอควรกว่าจะพบกับ “เทมโปซันมาร์เก็ตเพลส” ซึ่งมีชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่ยักษ์ ใหญ่กว่าชิงช้าสวรรค์ตามงานวัดบ้านเราสักสี่เท่าได้ (ฮา) ซึ่งพอเดินไปต่อก็จะถึงไคยูคังพอดี
ไคยูคังยังอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีเมียมาด้วย
ถึงไคยูคัง จ่ายค่าตั๋วแล้ว เอา QR code ที่ตั๋วสแกนที่ทางเข้า ก็จะเข้ามาได้ บรรยากาศยามเย็นนี่เหงาจริงๆ แทบไม่มีคนเลย พระอาทิตย์ก็จะลับฟ้าละ เข้าไปก็เจอร้านขายของที่ระลึกดักนักท่องเที่ยวก่อนเลย มีตุ๊กตารักโกะ (นากทะเล) เพนกวิน ใครจูงลูกเล็กมาชะตากระเป๋าสตางค์ของท่านอาจขาดได้ (ฮา)
เราก็เดินชมไปตามทางที่เขาจัดไว้ให้ มีนากทะเลให้ดู เพนกวิน ปลากระเบน ปลาฉลาม ถ่ายรูปได้แต่ห้ามใช้แฟลช แต่มือถือผมถ่ายรูปไปก็เท่านั้น และภาพนิ่งผมเคยถ่ายไว้สมัยเรียนเมื่อแปดเก้าปีก่อนแล้ว เลยถ่ายคลิปวิดีโอแทนดีกว่า มีทั้งเพนกวินดำดิ่งในน้ำ ปลาฉลาม แมงกะพรุน ปูยักษ์ ดูไปเรื่อยจนถึงสิงโตทะเล ที่จริงเดินๆ ไปก็หวั่นๆ ใจเพราะมันใกล้ปิดทำการ คนก็น้อยมากบางจังหวะเหมือนมีแค่สองคน แต่เอาเป็นว่าก็ทันเวลาจนได้ ได้ความเพลิดเพลินดีพอใช้แถมคลิปวิดีโอสัตว์โลกไว้ให้ลูกดูด้วย
ออกมาเกือบสองทุ่ม โฉบไปดูเทมโปซันมาร์เก็ตเพลสซึ่งก็ไม่มีอะไรเพราะตลาดวาย เขาจะเก็บของปิดร้านแล้ว ได้แต่เดินย้อนกลับไปทางเดิม ก่อนถึงสถานีรถไฟฟ้าเจอกับร้าน “สุคิยะ” ซึ่งเพื่อนผมคนหนึ่งชอบยี่ห้อนี้มาก พาไปกินที่เอสพลานาดรัชดาประจำ (ซึ่งตอนนี้ไม่มีละ) คราวนี้กินที่ญี่ปุ่นเสียเลย ที่นี่มันเป็นร้านราคาถูกนะครับ ผมสั่งข้าวหน้าเนื้อธรรมดาให้เมีย ส่วนตัวเองกินข้าวหน้าเนื้อกิมจิ แถมยังสั่งเอาไข่ออนเซ็น (ไข่ลวก) จะกินให้อร่อยก็ต้องเอาไข่ลวกมาใส่ข้าวแล้วคลุกให้เข้ากัน มื้อนี้รวมกันแค่เจ็ดร้อยกว่าเยนเท่านั้น พระเจ้าช่วย เมื่อคืนกินมื้อละหมื่นกว่าเยน คืนนี้กินมื้อละเจ็ดร้อยกว่าเยนค่า (ฮา) เมียผมบ่นว่าเนื้อในข้าวหน้าเนื้อมีแต่มัน สรุปเมียกินครึ่งชามผมกินชามครึ่ง คือผมต้องช่วยเมียกินด้วย
อื้อหือออ
เสร็จแล้วก็นั่งรถไฟกลับโรงแรมที่เอซะกะ ก่อนถึงโรงแรมก็เจอร้านแนวบ้านๆ ขายเทปปังยากิ ทะโกะยากิ ก็เลยให้เมียได้สัมผัสกับวัฒนธรรมอาหารของญี่ปุ่นอีกสักนิด (ฮา) สั่งเทปปันยากิเนื้อวัวผัดถั่วงอก ทะโกะยากิ คุชิคัตซึ (เสียบไม้ชุบเกล็ดขนมปังทอด นี่แหละกับแกล้มชั้นยอด) เบียร์สดซันโตรี่ (ส่วนตัวแล้วผมชอบเบียร์ญี่ปุ่นอยู่สองยี่ห้อคือคิรินและซันโตรี่) กินพอรู้รสวัฒนธรรมญี่ปุ่น (ฮา) แล้วก็ไปยังโรงแรม เมียก็คุยสไคป์กับลูก แล้วก็ได้เวลานอนเอาแรงไว้เที่ยวต่อวันพรุ่งนี้
กับแกล้มที่ดี
ตอนหน้าขยับไปเที่ยวเกียวโตแล้วนะครับ อย่าลืมติดตามอ่านล่ะ เอิ้ก อิ่ม
เรื่องแนะนำ :
– ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (1) กว่าจะถึงโอซาก้า
– “บะหมี่สาวจ้าวนักสู้” (そばっかす!) จงหา “ข้อดี” ในตัวเรา แล้ว “เอาดี” ให้ได้!!!
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (8) “ล้มให้เป็น” ว่าด้วยความหมายที่แท้ของคำว่า “สุเตมิ” 捨て身
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (7) ประชุมวิทยายุทธแมว
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (6) การบำบัดใจด้วย “กายคตาสติปัฏฐาน” ผ่านการฝึก BJJ
#ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (2) หนึ่งวันในโอซาก้า เยี่ยมบ้านคุณป้าเซ็ตสึโกะ