ละครญี่ปุ่นรักชาติมักจะสื่อออกมาว่า หลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่น “สร้างชาติ” อย่างไร และกว่าจะมีวันนี้ได้ ต้องต่อสู้กับอะไรมาบ้าง ซึ่งจริงๆ แล้ว ละครแนวนี้มีอยู่อย่างแพร่หลายในช่องโทรทัศน์ญี่ปุ่นมากค่ะ และสร้างมาโดยตลอด แต่มักไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันสักเท่าไหร่
ละครญี่ปุ่นนอกจากจะสร้างแรงบันดาลใจ บอกเล่าเรื่องราว พร้อมเสนอทางแก้ไขปัญหาของสังคมในยุคปัจจุบันแล้ว ยังเล่าถึงประวัติศาสตร์ สอดแทรกความรักชาติตั้งแต่สมัยบรรพบุรษมาสู่คนรุ่นหลังอีกด้วยค่ะ นอกจากละครแนวไทกะ ที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์มาเป็นธรรมเนียมอยู่ทุกปีทางช่อง NHK แล้ว ละครญี่ปุ่นเรื่องอื่นๆ ตามช่องต่างๆ ก็ยังสร้างละครแนวนี้อีกด้วย เนื้อหาละครที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ ก็คือ เรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ และเป็นละครที่สร้างมาจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นด้วย
ละครแนวนี้จะสื่อออกมาว่า หลังเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่น “สร้างชาติ” อย่างไร และกว่าจะมีวันนี้ได้ ต้องต่อสู้กับอะไรมาบ้าง ซึ่งจริงๆ แล้ว ละครแนวนี้มีอยู่อย่างแพร่หลายในช่องโทรทัศน์ญี่ปุ่นมากค่ะ และสร้างมาโดยตลอด ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แต่มักไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงกันสักเท่าไหร่ วันนี้ก็เลยอยากจะมาแนะนำละครญี่ปุ่นดีๆ ที่นำเสนอถึงเหตุการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ช่วยสร้างจิตสำนักความรักชาติผ่านละครว่ามีเรื่องอะไรกันบ้าง
1. LEADERS
มาเริ่มกันที่ละครที่เล่าถึงเรื่องราวของผู้สร้างรถยนต์โตโยต้า นั่นก็คือเรื่อง LEADERS ค่ะ แม้จะเป็นละครที่เล่าถึงชีวิตของผู้สร้างรถยนต์ยี่ห้อ “โตโยต้า” แต่ละครเรื่องนี้ก็ได้ถ่ายทอดชีวิตของคนญี่ปุ่นในช่วงก่อนถึงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางที่ญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาเรื่องสงคราม ก็มีคนกลุ่มหนึ่งที่มีความตั้งใจว่า เขาจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างญี่ปุ่นให้ดีกว่าเดิม สิ่งที่น่าประทับใจก็คือ ผู้สร้างรถยนต์นี้ ไม่ได้คิดว่าแค่ว่า เขาจะต้องสร้างผลิตภัณฑ์ที่แปลกใหม่เพื่อสร้างรายได้ให้ตัวเอง แต่สิ่งที่เขาคิดก็คือ “อยากสร้างรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นคันแรกของประเทศให้ได้” แม้จะต้องเผชิญกับเหตุการณ์อันเลวร้าย รวมถึงภาวะเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ต้องพัฒนาและสร้างชาติไปด้วย และด้วยความพยายามและความร่วมมือของทุกคน ทำให้มีรถยนต์ “โตโยต้า” ในทุกวันนี้ค่ะ
2. Nankyoku Tairiku
มาต่อกันที่เรื่อง Nankyoku Tairiku ละครฟอร์มยักษ์ฉลองครบรอบ 60 ปีของสถานีโทรทัศน์ TBS นำแสดงโดย “ทาคุยะ คิมูระ” ละครที่สร้างมาจากเรื่องจริงของคณะวิจัยสำรวจแอนตาร์กติกาแห่งประเทศญี่ปุ่น จำนวน 11 คน พร้อมด้วยสุนัขลากเลื่อนพันธุ์ซาคาลิน ฮัสกี้ 19 ตัว เดินทางไปสำรวจแอนตาร์กติกา ดินแดนที่ “ไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้” ในช่วงหลังสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เพื่อกอบกู้ชื่อเสียง และประกาศให้ทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพของญี่ปุ่นที่เท่าเทียมชนชาติอื่นๆ
ลองมาอ่านคำบรรยายจากผู้เล่าเรื่องในละครเรื่องนี้กันค่ะ ที่อาจจะทำให้คุณน้ำตาซึมไปอย่างไม่รู้ตัว แม้จะไม่ใช่คนญี่ปุ่นก็ตาม
“56 ปีก่อน ในยุคหลังสงคราม ผู้คนต่างพากันคุกเข่าลงบนพื้นหิน ในไม่ช้า พวกเขาค่อยๆ ลุกขึ้นทีละคน ทำงานเพื่อความอยู่รอด แบ่งอาหารกัน สะสมหิน และสร้างเป็นบ้าน ให้กำเนิดเด็ก และเลี้ยงจนเติบใหญ่ ทำงานเลี้ยงชีพกันต่อไป แม้เศษหินนั้นหายไปแล้ว แต่ความรู้สึกยังคงอยู่ เราคือผู้แพ้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศพ่ายแพ้
ในยุคนั้น มีชายผู้หนึ่งมีฝัน สิ่งที่จำเป็นต่อญี่ปุ่นที่เสียขวัญไป ไม่ใช่สงครามหรือเศรษฐกิจ แต่เป็นความฝัน เขากล่าวไว้ นี่เป็นเรื่องของชายผู้หนึ่งหลังผ่านยุคสงครามมาสิบปี เสี่ยงชีวิตสำรวจทวีปแสนทรหด พร้อมเหล่าสุนัขคาซาลินฮัสกี้..ผู้ช่วย เรื่องราวความรักจึงกำเนิดขึ้น”
แม้ญี่ปุ่นจะเพิ่งผ่านพ้นหลังสงครามมา แม้มันไม่ใช่เวลาที่จะมาค้นคว้าเดินตามความฝัน แต่นั่นกลับไม่มีอะไรหยุดยั้งพวกเขาได้ เพราะสิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่เพื่อความฝันของตัวเองเท่านั้น แต่เป็นการลงมือทำเพื่ออนาคตของประเทศญี่ปุ่น เพื่อที่จะได้ก้าวขึ้นไปทัดเทียมกับชาติอื่นๆ ในโลก และเพื่อชีวิตของคนญี่ปุ่นรุ่นหลังๆ แม้จะเคยเป็นผู้พ่ายแพ้ แต่ก็ไม่ยอมอยู่กับความแพ้ตลอดไป สิ่งสำคัญคือการยอมรับ และมองเห็นความจริงที่เกิดขึ้น และลุกขึ้นสู้เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิม พอได้ดูเรื่องนี้ สัมผัสได้เลยค่ะว่า คนญี่ปุ่นเขามีจิตสำนึกในการทำเพื่อประเทศชาติมากๆ
3. Kurobe no Taiyo
Kurobe no Taiyo เป็นเรื่องราวของทีมผู้ก่อสร้างเขื่อน “คุโรเบะ” ค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูแล้วเล่นเอาน้ำตาซึม ซึ้งไปกับความรักชาติของคนญี่ปุ่นเช่นกัน เป็นละครที่สร้างขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 50 ปี สถานีโทรทัศน์ฟูจิ และเคยถูกนำมาฉายที่ช่อง ThaiPBS ด้วย เป็นอีกเรื่องที่สร้างจากเรื่องจริงเช่นกัน
เรื่องราวของเรื่องนี้ก็เล่าถึงเหตุการณ์หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะว่า พอสงครามสิ้นสุดลงประเทศญี่ปุ่นต้องประสบกับความขาดแคลนหลายๆ ด้าน ทำให้ญี่ปุ่นตัดสินใจสร้างสถานีผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำ เลยทำให้ต้องสร้างเขื่อนคุโรเบะ และก่อนที่จะสร้างเขื่อนได้ ก็ต้องสร้างอุโมงค์โอมาจิค่ะ ทีมวิศวกรเลยเริ่มวางแผนและลงมือก่อสร้าง ที่เต็มไปด้วยอุปสรรค และข้อจำกัดมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร เครื่องมือต่างๆ แถมยังต้องขุดเจาะอุโมงค์ใต้ภูเขาเป็นระยะทางที่ยาวไกล และเป็นการก่อสร้างที่เสี่ยงต่อชีวิตมาก
ด้วยนวัตกรรมสมัยนั้น ทำให้การคาดการณ์อะไรบางอย่างอาจไม่แม่นยำ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าระหว่างการขุดเจาะนั้นจะได้เจออะไรบ้าง จะไปเจอหินแข็ง เจอน้ำใต้ดิน และถ้าเกิดอะไรขึ้นในอุโมงค์ก็ไม่อาจรอดมาได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีคนญี่ปุ่นกลุ่มหนึ่งที่เต็มใจไปเสี่ยงกับภารกิจนี้เพื่อประเทศชาติและคนรุ่นหลัง
ถ้าได้เป็นเห็นตัวเขื่อนจริงๆ จะทึ่งเลยค่ะว่า ในสมัยนั้นที่เครื่องไม้เครื่องมือยังไม่พร้อมนั้น ทำไมถึงสามารถสร้างอะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ ซึ่งการก่อสร้างนี้ใช้เวลาการก่อสร้างถึง 7 ปีด้วยกัน โดยใช้แรงงานจำนวน 10 ล้านคน! และก็มีคนเสียชีวิตระหว่างการก่อสร้างไปอีกจำนวนไม่น้อยเลยค่ะ
4. Kouhaku ga Umareta Hi
มาปิดท้ายที่เรื่อง Kouhaku ga Umareta Hi ละครที่เล่าประวัติความเป็นมาของรายการมหกรรมขาว-แดง รายการเพลงส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่อันเลื่องชือของช่อง NHK ค่ะ รู้ไหมคะว่า เบื้องหลังรายการที่สร้างความบันเทิงให้กับคนญี่ปุ่นในวันส่งท้ายปีเก่าของทุกปีนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์อันเจ็บปวดรวดร้าวของคนญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ รายการนี้เดิมทีเป็นรายการวิทยุค่ะ พอญี่ปุ่นพ่ายแพ้สงคราม สื่อต่างๆ ก็ถูกควบคุมโดยทหารอเมริกัน เวลาจะออกอากาศเนื้อหาอะไร ต้องผ่านเซ็นเซอร์ของกองทหารก่อน
อยู่มาวันหนึ่ง ทหารได้ออกคำสั่งว่าให้ทำรายการที่สื่อให้เห็นถึงความเป็นประชาธิปไตย แต่ก็ต้องไม่ใช่การปลุกระดมให้คนขึ้นมาลุกฮือ ต่อต้าน และรายการที่ตอบโจทย์กับคอนเซ็ปต์นี้ก็คือ รายการ Kouhaku Onagaku Shiai ซึ่งต่อมาก็ถูกพัฒนามาเป็นรายการ Kohaku Uta Gassen หรือมหกรรมขาว-แดงทางช่อง NHK นั่นเองค่ะ
การสร้างรายการนี้ก็ไม่ได้ทำกันง่ายๆ ค่ะ ไหนจะต้องไปหาดารา นักร้องมาร่วมทีม ไหนจะต้องต่อสู้ทางความคิดของเหล่าทหาร เพราะรายการนี้แม้จะมีลักษณะของการโหวตเลือกทีมผู้ชนะ สื่อถึงความเป็นประชาธิปไตย แต่มันก็ส่อถึงการแข่งขัน ต่อสู้ สามารถปลุดระดมกำลังได้เช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้น ทีมผู้สร้างรายการนี้ก็กลับต่อสู้ เพื่อให้รายการนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาให้ได้ สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือ ท่ามกลางความเศร้าโศกจากสงคราม ความบันเทิงจะเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถเยียวยาคนในชาติได้
“ผมอยากต้อนรับปีใหม่ไปพร้อมกับทุกคน
ปีที่แตกต่างจากปีก่อนหน้า ผมอยากมอบเพลงให้พวกเขาลืมเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น”
การทำละครแนวนี้จะเต็มไปด้วยความพิถีพิถันในหลายๆ ด้านค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อเรื่องที่เข้มข้น การคัดนักแสดงที่ส่วนใหญ่เป็นนักแสดงมากฝีมือ ชั้นแนวหน้าของประเทศ รวมถึงฉาก แสง สี เสียง ที่ทุ่มทุนสร้างกันแบบสุดๆ เพื่อความสมจริง และให้คนดูได้เข้าถึงความรู้สึกของญี่ปุ่นในสมัยนั้น
จากละครญี่ปุ่นเหล่านี้ ทำให้เราได้เห็นชีวิตของคนญี่ปุ่น หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่ะ ชีวิตของคนที่ต้องพบเจอกับความสูญเสีย และความเจ็บปวดที่ยากจะลืมเลือนนั้น เขาดำเนินชีวิตต่อไปด้วยแนวคิดแบบไหน และทำอย่างไรที่ทำให้ญี่ปุ่นเป็นได้อย่างทุกวันนี้
การที่สื่อละครได้สอดแทรกเรื่องราวพวกนี้ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่สามารถสร้างจิตสำนึกให้กับคนในชาติได้ เปรียบเสมือนเป็นเครื่องเตือนใจให้คนในชาติ แทนที่จะ “บีบบังคับ” ก็สร้างให้มัน “น่าสนใจ” แทน เพียงเท่านี้ทุกคนในชาติก็ยินดีที่จะรู้เรื่องราวของคนในอดีต ซึมซับจิตสำนึกความรักชาติไปอย่างไม่รู้ตัว แม้เราจะไม่ใช่คนญี่ปุ่น แต่พอดูได้ดูละครแนวนี้ก็พลอยซาบซึ้งไปด้วยค่ะ
อย่างน้อยละครแนวนี้ก็ทำให้เราได้เห็นว่า คนญี่ปุ่นมีความตั้งใจที่อยากจะทำอะไรสักอย่าง เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกรักชาติให้เข้าไปถึงก้นบึ้งของหัวใจคนในชาติ มากกว่าการพูดคำว่า “รัก” เพียงอย่างเดียว
เรื่องแนะนำ :
– พล็อตรักสามเส้าแบบละครญี่ปุ่น
– ไอดอลชายที่แสดงละครญี่ปุ่นแล้วรุ่ง!
– 10 ละครญี่ปุ่นสุดฮาที่ไม่ควรพลาด!
– ความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยเพิ่มสีสันให้ละครญี่ปุ่น
– ชื่อละครญี่ปุ่นตั้งมาจากอะไร?
ขอขอบคุณรูปภาพและข้อมูล :
http://asianwiki.com/
https://www.pinterest.com/pin/150659550009201343/
http://www.asiapacificarts.usc.edu/w_apa/showarticle.aspx?articleID=17791&AspxAutoDetectCookieSupport=1
NHK Drama Special 2015 ~ Kohaku ga Umareta hi