โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง by Lordofwar Nick
ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (3) เกียวโต วันเดียวก็เที่ยวได้ (จริงเหรอ)
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน เข้าสู่วันที่สามในญี่ปุ่นแล้วนะครับ
วันที่สามในญี่ปุ่นนี้เป็นวันเสาร์ ซึ่งเรากะจะไปเกียวโตแต่เช้า วันนี้ไม่เข้าเซเว่นฯ ละ ลองไปเข้าลอว์สันแทน มีแซนวิชทงคัตซึซึ่งน่ากินมากและพอกลับจากญี่ปุ่นรู้สึกเจ็บใจกับตัวเองที่ยังรู้สึกว่ากินไม่พอ (ฮา) ส่วนเมียก็กินแต่ขนมหวานเช่นเดิม นั่งรถไฟฟ้าจากเอซะกะไปตั้งต้นที่เซนริจูโอ ก็พาเมียเดินชมแถวนั้นแปปนึง ร้านรวงส่วนใหญ่ยังไม่เปิดเพราะเช้าอยู่มาก เลยพาเข้าร้านสตาร์บัค ได้ชาเขียวลาเต้แก้วใหญ่ใส่วิปครีมออกมา
จากนั้นเราก็นั่งรถไฟฟ้าโมโนเรล จากเซนริจูโอไปต่อรถไฟฟ้าสายฮันคิวที่สถานีมินามิอิบารากิ นั่งข้ามจังหวัดไปถึงเกียวโตลงที่สถานีคาราซุมะ งานนี้ไม่ได้ไปอาราชิยามะอย่างที่ตั้งใจเพราะว่าขาของเราสองคนชักไม่ค่อยมั่นใจกับการเดิน และต้องทำเวลาด้วย ซึ่งในที่สุดก็คิดถูกแล้วที่ไม่ไปอาราชิยามะเพราะว่าการจะไปอาราชิยามะมันต้องไปเพื่อชมบรรยากาศความงามของธรรมชาติ สะพาน แม่น้ำ ป่าไผ่ ไปนั่งรถไฟทัศนาจร “โทโรโกะ” ซึ่งวิ่งผ่านลำธารที่สวยงาม ซึ่งการเที่ยวแบบนั้น อากาศต้องดี เย็นกำลังสบายน่าเดิน แต่วันนี้เกียวโตร้อนครับ ร้อนมาก แค่จุดแรกที่เราไป “ปราสาทนิโจ” ก็เดินตากแดดแทบแย่แล้วครับ อะไรมันจะร้อนขนาดนั้นญี่ปุ่นเนี่ย
รถไฟฟ้ามาหานะเธอ
เข้าเขตเมืองเกียวโต รถไฟฟ้าจะลงใต้ดิน ซึ่งประตูก็ยังแดงเหมือนเดิม
จุดแรกที่เราไปคือปราสาทนิโจ (二条城) นั้น เราต่อรถไฟฟ้าจากคาราซุมะไปยังสถานี “นิโจโจมะเอะ” (หน้าปราสาทนิโจ) แล้วเราก็เดินไปยังปราสาท วันนี้รถทัวร์มาจอดเต็มหน้าทางเข้า นักเรียนมาทัศนศึกษากันเพียบ คนเยอะมันก็เลยไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เทียบกับตอนที่เคยมาเที่ยวสมัยเรียน เราถอดรองเท้าเข้าไปชมอาคารตำหนักรับรอง ซึ่งเขาร่ำลือเรื่องพื้นเสียงนกไนติงเกล ประมาณว่าพื้นไม้ที่นี่เหยียบแล้วต้องมีเสียงดังให้โชกุนรู้ว่ามีคนเดินเข้ามา แต่ระดับนี้แล้วก็ต้องทำเสียงออดแอดให้เป็นเสียงดั่งนกไนติงเกลจะได้เสนาะหูท่านผู้เป็นใหญ่เสียหน่อย ผมเคยประทับใจมากกับรูปหุ่นจำลองพวกไดเมียวเจ้าเมืองต่างๆ มาหมอบกราบท่านโชกุน มาดูคราวนี้แล้วต้องกลับไปเล่นเกม Shogun Total War ให้จบเลยทีเดียว (อินเนอร์มาก) เดินชมจนครบรอบแล้วก็ออกมาข้างหน้า ใส่รองเท้าแล้วเดินไปต่อ
หน้าปราสาทนิโจ วันนั้นนักเรียนมาทัศนศึกษาเยอะมาก
ซามูไรที่เฝ้าดูคนเข้าออกแถวประตูปราสาทก็ยังอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือผมพาเมียมาด้วย
ร้อนมาก ดูสีแสงแดงสิครับ
โห แดด
แดดร้อน คนเยอะมากๆ วันเสาร์นี่
วันนี้อากาศร้อนจริงๆ ผมกับเมียต้องนั่งพักตรงที่มีเครื่องขายน้ำขวดหยอดเหรียญ ในการเดินไปตามที่ต่างๆ พวกน้ำดื่มเครื่องดื่มนี่แหละได้สตางค์นักท่องเที่ยวดีจริง ผมดื่ม Coke Zero แล้วก็รู้สึกเหมือนว่ามันอร่อยกว่าเมืองไทยหรือเปล่า (ฮา) แล้วก็เดินไปตามทาง ไมมีอารมณ์โรแมนติคที่อยากจะชมสวนหรือทิวทัศน์ทางเดินในปราสาทเอาเสียเลยเพราะแดดมันร้อนจริงๆ ถ้าอากาศยังเย็นอยู่และซากุระบานมันคงดีกว่านี้น่ะนะ แล้วก็ออกจากประตูปราสาทอีกครั้ง รูปหุ่นซามูไรที่เฝ้ายามหน้าปราสาทก็ยังอยู่เช่นเดิม (ใครอยากอ่านตอนที่ผมไปเที่ยวอ่าน ณ ปี 2006 ได้ ที่นี่ นะจ๊ะ)
เรานั่งรถเมล์ต่อไปยังคินคาคุจิ (ศาลาทอง) ที่นี่คนก็มหาศาลเบียดเสียดกันยิ่งกว่าที่ปราสาทนิโจอีก ไหนจะนักเรียนทัศนศึกษา ไหนจะกรุ๊ปทัวร์ เล่นเอาบรรยากาศโรแมนติคหายหมด อากาศร้อนด้วย ศาลาทองยังสวยเหมือนเดิมแต่อากาศที่ร้อน คนเยอะ ขาเมื่อยและเจ็บก็ทำให้อารมณ์หดได้เช่นกัน เราลองโยนเหรียญไปที่รูปพระหินตามที่เขาโยนกัน โยนอย่างไรก็ไม่ลงขันลงจานเลย (หลอกให้โยนนิหว่า) แวะที่พักริมทางหยอดตู้หาเครื่องดื่มกิน ปรากฏว่าเมียผมบอกอยากลอง “เมลอนโซดา” ว่าเป็นอย่างไร กินแล้วก็นะ “น้ำเขียว” ดีๆ นี่เอง 555 นี่ยังน้อยไปผมเจอเรื่อง “เยลลี่หญ้าเซียน” ที่จริงๆ มันคือ “เฉาก๊วย” ยิ่งกว่านี้อีก ทั้งอายทั้งเจ็บใจ 555 (ใครอยากอ่านตอนที่ผมไปเที่ยวอ่าน ณ ปี 2006 ได้ ที่นี่ นะจ๊ะ)
ไอ้ตรงนี้เขาหลอกให้เราโยนเหรียญนาจา
แล้วเราก็ออกจากที่ศาลาทอง นั่งรถเมล์หาทางไป “วัดคิโยมิซึ” ซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายอันชวนเจ็บขาที่สุด เริ่มจากลงรถเมล์แล้วเดินเรื่อยเปื่อย ข้ามสะพาน ไปแถวใกล้ๆ กิออน แถวนั้นคึกคักมากน่าเดินน่าเที่ยวร้านรวงมากมายแต่ไม่มีเวลาไม่มีแรงเดิน แถมริมแม่น้ำตรงตลิ่งด้านล่างมีคนนั่งหย่อนใจ ส่วนฝั่งบนสูงขึ้นไปมีภัตตาคารที่มีชานโอเพ่นแอร์ให้คนมานั่งเสพบรรยากาศ (แต่ผมไม่กล้านั่ง เกรงว่าร้านพวกนี้ราคาคงจะแพงตามบรรยากาศ) ย่านกิออนนี่คึกคักมาก ร้านรวงสีสันสมเป็นย่านท่องเที่ยวจริงๆ
เรานั่งรถเมล์ไปถึงทางจะขึ้นเขาไปวัดคิโยมิซึ ลงแล้วเมียผมก็ได้อาศัยศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้เข้าห้องน้ำ อยากบอกว่าพนักงานที่ศูนย์นี้อัธยาศัยดีและดูท่าทางจะคล่องภาษาอังกฤษ มีความกระตือรือร้นในการให้บริการนักท่องเที่ยว ก็เป็นความประทับใจดีๆ กับการมาเที่ยวประเทศญี่ปุ่น
…เอาละต้องกลั้นใจเดินขึ้นไปละ…
สองข้างทางร้านรวงก็ยังเปิดขายอยู่ ตลาดยังไม่วายเสียทีเดียว ร้านขายอาหารอาจปิดแล้วแต่ร้านขนม ร้านของฝากยังขายอยู่ ผมกับเมียแวะร้านขายผักดอง กินไอติมกับขนมดังโงะซึ่งเมียผมเห็นคนญี่ปุ่นกินดูท่าน่าอร่อย แต่กินจริงๆ แล้วไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่สำหรับเมียผม เพราะมันคือลูกชิ้นแป้งเหนียวๆ ชุบน้ำตาลเคี่ยว เดินขึ้นไปอีก เจอร้านขายขนม “นามายัตสึฮาชิ” (生八つ橋) ที่กำลังขายอย่างคึกคัก เขาเข้าใจขายด้วยการทำโชว์สดๆ แจกให้กินฟรี แถมน้ำชาให้ฟรีด้วย เราชิมเข้าไปคนสิบอันอันละรสแล้วจะไม่ซื้อของเขาเลยก็น่าเกลียด ซื้อแล้วก็ต้องซื้อหลายๆ กล่องเอาไปฝากคนที่เมืองไทย มันเป็นขนมแป้งเหนียวๆ นุ่มๆ แผ่แล้วใส่ไส้แล้วพับ มีหลายรสไปเรื่อยทั้งรสชอกโกบานาน่า รสพีช รสลามูเน่ (เลมอเนต) เขาขายกันคึกคักดีจังราคาก็ไม่ได้แพงอะไรมาก กล่องลงสองร้อยกว่าเยนห้าร้อยกว่าเยน หีบห่อดูดีเอาไปฝากคนที่เมืองไทยได้ไม่อายใคร
ขนมดังโงะจ้ะ ตรงร้านแถวทางขึ้นวัดคิโยมิซึ
นี่คือถนนทางขึ้นวัด ตอนนั้นยังไม่เย็นมากคนเดินเที่ยวเยอะจริงๆ
เดินมาถึงวัดจนได้ ฟู่ว วันนี้ไม่รู้เป็นวันอะไร ตั้งแต่เดินขึ้นมาตามทางแล้วจะเดินสาวๆ ญี่ปุ่นใส่กิโมโนเดินลงมาเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละสามคนบ้างห้าคนบ้าง หน้าตาสวยมากสวยน้อยก็แล้วแต่ แต่แต่งตัวสวยมันก็ดูสวยกันทั้งนั้นแหละ มีฝรั่งเข้าไปขอถ่ายรูปด้วย ผมเดาว่าสาวๆ พวกนี้น่าจะกลับลงมาจากไหว้พระที่วัดเนื่องในการเฉลิมฉลองอะไรสักอย่าง คนญี่ปุ่นนั้นชีวิตประจำวันทุกวันนี้เขาก็ใส่ชุดสากลตามสมัย ดังนั้นการใส่ชุดแต่งกายแบบดั้งเดิมก็น่าจะมีอะไรเกี่ยวกับประเพณีและศาสนา ทำนองเดียวกับคนเหนือซึ่งทุกวันนี้นุ่งกางเกงบ้างกระโปรงบ้างแต่เวลาไปทำบุญที่วัดในวันสำคัญก็ยังนุ่งซิ่นอยู่
ระเบียงวัดคิโยมิซึยังอยู่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ…(พอได้แล้วมุกนี้ 55)
กินแล้วจะมีโชคชัย เมียผมเลยขอแบบเป็นที่ระลึกหน่อย
วัดคิโยมิซึวันนี้มีคนมาพอสมควร สาวๆ ในชุดกิโมโนนี่แหละมีมาก วันนี้บางส่วนของวัดมีการปิดซ่อมทำให้ความงามอาจลดลงไปบ้าง แต่อาคารระเบียงไม้ขนาดใหญ่บนเขาก็ยังน่าทึ่งอยู่ ผมกับเมียลงมาคอยคิวเขาตักน้ำสามสายที่ไหลลงมา ซึ่งเขาเชื่อกันว่ากินแล้วมีโชคการงาน โชคอะไรต่างๆ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยเข้าคิวกับเขาหรอกแต่คราวนี้เมียบอกว่าไหนๆ ก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาละต้องลองหน่อย เลยได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกครั้งหนึ่งในชีวิต แล้วเราก็เดินลงจากวัดกลับทางเก่า ผู้คนทยอยลงมากมาย ย่านสะพานใกล้กับกิออนยามเย็นมีดนตรีเปิดหมวก เจ๋งจริงๆ เป็นย่านที่คนเดินเที่ยวคึกคักขวักไขว่ อยากเดินชมมากกว่านี้แต่เวลาและขาแข้งไม่อำนวย ต้องรีบไปขึ้นรถไฟฮันคิวย้อนกลับไปเพื่อไปต่อรถโมโนเรลย้อนกลับไปเซ็นริจูโอ
เกียวโตนี่บรรยากาศมันมีความไฮโซบอกไม่ถูก ดูเขาใส่กิโมโนอลังการมาก
มีทั้งคนนั่งริมน้ำ ภัตตาคารชมวิวแม่น้ำ
แถวสถานีรถไฟ มีนักดนตรีเปิดหมวกเสียด้วย
ถึงเซนริจูโอ มืดแล้ว พาเมียเดินซื้อของที่ร้าน DAISO ซึ่งอลังการสินค้าน่าดูชมยิ่งกว่าของเมืองไทยเป็นล้านเท่า (เมียผมบอก) เพราะของเขายกระดับร้านเป็นแนว “Life Coordinate Shop” คือมีของแทบทุกอย่างสำหรับชีวิตประจำวัน เช่นถ้วยชาม เครื่องใช้ในครัว เครื่องเขียน ถุงเท้า ขนม ฯลฯ ยอมรับเลยว่าของมีหลากหลายกว่าสมัยที่ผมเรียนอยู่มากจนผมเองก็ยังทึ่ง คือเราฝากทั้งชีวิตให้ร้านไดโซช่วยดูแลได้เลย (เกินจริงไปนิดๆ ครับ) เมียผมซื้อของกระจายเลยทั้งพวกสินค้าคิตตี้ หมอนจิ๋วให้ลูกเล่น พัดจีบ (พัดจีบที่เขาขายแถววัดคิโยมิซึมันแพง อันละพันเยน ซื้อพัดจีบร้าน DAISO ไปฝากคนทางบ้านละกัน (ฮา)) และอื่นๆ จนผมเห็นถุงแล้ว โอ นี่จะให้แบกกลับประเทศไทยจริงๆ เหรอ ไม่สงสารคนหิ้วบ้างเลย (ฮา)
วันนี้ทั้งวันไม่ได้กินอาหารเป็นมื้อเป็นชิ้นเป็นอันเลย เช้าก็ลอว์สัน กลางวันซื้อแซนวิชในสถานีรถไฟใต้ดินเดินไปกินไปในปราสาทนิโจ ดังนั้นมื้อเย็นกินเยอะหน่อย พาเมียไปกินราเม็งร้าน “เทมปูโด” สั่งชุดราเม็งกับข้าวสวยและไก่ทอดคาราอะเกะ ข้าวผัด เกี๊ยวซ่า เบียร์สด กินให้อิ่ม เสร็จแล้วพาเมียไปดูร้าน “มิสเตอร์โดนัท” ดูเฉยๆ ไม่ได้ต้องซื้อบ้าง เข้าคิวก็ยอม พอดีมันมีโปรโมชั่น แบบชิ้นละ 100 เยน อารมณ์เดียวกับชิ้นละ 10 บาทของบ้านเรา แต่ของเขามีพอนเดอริงอยู่ในโปรโมชั่นด้วย สั่งซื้อสามชิ้นตามแบบที่เขาว่าขายดี ผมได้กินคำเดียว นอกนั้นเมียผมกินเรียบ เรื่องข้าวไม่ค่อยเท่าไหร่แต่เรื่องขนมขอให้บอก
ข้าวผัด ราเม็ง คาราอะเกะ ร้านเทมปูโด
มิสเตอร์โดนัทเรียงกันในตู้กระจก
เสร็จแล้วก็พากันไปดูร้าน UNIQLO อยากจะบอกว่า ซื้อที่เมืองไทยก็ราคาพอๆ กันนั่นแหละ (ฮา) นั่งรถไฟฟ้ากลับไปเอซะกะ แวะ MaxValu ที่นี่ของเยอะ เกี๊ยวซ่าแช่แข็งสามสิบชิ้นแค่ร้อยเยน ถูกกว่าเมืองไทยหลายเท่า (เมืองไทยถูกสุดของแม็คโครสามสิบชิ้นราวร้อยกว่าบาท เห็นราคานี้ถ้าไม่กลัวเน่าว่าจะซื้อหอบกลับมาเมืองไทย) ซื้อขนมป๊อกแป๊กฝากเด็กๆ แถวบ้านเมีย และซื้อไว้กินเอง แล้วจะแบกยังไงหมดเนี่ย
เสร็จแล้วก็กลับไปโรงแรม เมียคุยสไคป์กับลูก สไคป์นี่ดีจริงๆ เห็นหน้ากันไปได้ด้วย ดีว่ามีไวไฟฟรีให้ใช้ไม่ต้องเสียเงิน (ฮา) แล้วก็ นอนดีกว่า
ตอนหน้า ไปเที่ยวนารา แล้วย้อนกลับมาอุเมะดะ คืนสุดท้ายในญี่ปุ่นแล้วนะครับ อย่าลืมติดตามนะครับ
เรื่องแนะนำ :
– ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (2) หนึ่งวันในโอซาก้า เยี่ยมบ้านคุณป้าเซ็ตสึโกะ
– ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (1) กว่าจะถึงโอซาก้า
– “บะหมี่สาวจ้าวนักสู้” (そばっかす!) จงหา “ข้อดี” ในตัวเรา แล้ว “เอาดี” ให้ได้!!!
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (8) “ล้มให้เป็น” ว่าด้วยความหมายที่แท้ของคำว่า “สุเตมิ” 捨て身
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (7) ประชุมวิทยายุทธแมว
#ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (3) เกียวโต วันเดียวก็เที่ยวได้ (จริงเหรอ)