วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (86) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): เก้า การใช้ความเร็วในพิชัยสงครามอื่น
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน หลังจากที่ คราวที่แล้ว ผมได้เขียนบทความ “คั่นรายการ” ไป ก็น่าตกใจว่า ในเพจของ marumura เอง ยอดไลค์พุ่งพรวดๆ ผิดกับตอนที่เขียนคัมภีร์ห้าห่วงเยอะเลย (ฮา) แต่คงเพราะท่านที่มาอ่านนั้น หลายท่านคงไม่ใช่แฟนประจำของผม (ที่ติดตามซีรี่ส์ “คัมภีร์ห้าห่วง” และดีไม่ดีอาจย้อนไปถึง “เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู” ก็ได้) จึงได้มีคอมเมนต์หลายๆ อันที่แสดงความ “ไม่เข้าใจ” สิ่งที่ผมพยายามจะสื่อ ซึ่งก็ขอโอกาสชี้แจงดังนี้
“พระแถวบ้านยังผูกคอตายเลย” → พระคือคน ไม่ใช่หลักการหลักคิด เกิดเป็นคนไม่รู้จักเอาหลักการ หลักคิด (ที่มีในคำสอนในพุทธศาสนา) ไม่รู้จักเอาสิ่งที่ได้เรียนมาประยุกต์ใช้กับชีวิต แล้วจะแก้ปัญหาได้อย่างไร? (แล้วคนที่กดไลค์กับคอมเมนต์นี้ต้องการสื่ออะไรครับ ถูกใจที่พระผูกคอตายเหรอ?)
“ถ้าทำได้จริงคงไม่ต้องมีหมอแล้ว” → แหมพูดยังกับประเทศนี้มีหมอเยอะ หรือการหาหมอ (จิตแพทย์) เป็น “ทางรอด” เพียงหนึ่งเดียว ยังไงยังงั้นเลย ถ้าคุณจะเชื่อแบบนั้นก็ ตามใจครับ แล้วคุณจะอธิบายผมยังไงกับเคสที่เขาบอกว่าเปลี่ยนมาสาม รพ. กินยาเป็นสิบๆ ปีแล้วยังไม่พ้นจากความเป็นคนป่วย ตกลงการแพทย์แผนปัจจุบันหรือหมอ ที่รักษาบนพื้นฐานของการกินยาๆๆ เนี่ย มีประโยชน์ไหมครับ ถ้าผมเถียงคุณกลับบ้าง คุณจะว่าไง? แล้วจะพูดยังไง ถ้าผมจะบอกว่า ผมได้ยินว่าหมอจิตเวชนี่แหละ ฆ่าตัวตายก็มี หมอก็คนครับ และคนที่ “แก้ไขปัญหาให้ตัวเองยังไม่ได้เลย” คุณคิดว่าคุณจะฝากการแก้ปัญหาของคุณเองให้กับเขาได้? หัดหาทางอื่นซะบ้างนะครับ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ครับ
“ต้องดูเป็นเคสๆ บางคนอาจ trigger กับคำสอนของบางศาสนาก็ได้” → ฟังดูเหมือนเข้าที แลดูมีภูมิความรู้ แต่ใดๆ ก็ดี ผมไม่ได้บอกว่า ให้เอา “พุทธศาสนาทั้งดุ้น” มาใช้ ผมบอกว่า ให้ลองหาเอา “องค์ประกอบ” (element) บางอย่างที่เห็นว่ามีประโยชน์มาใช้ (พวกฝรั่งเขาไม่ต้องนับถือพุทธศาสนาแต่ก็เอาการนั่งสมาธิมาช่วยได้) ครับ คนเราต้องรู้จัก “หยิบยาวทิ้งสั้น” อะไรดีเอามาใช้ อะไรไม่ดีก็โยนทิ้งไป
คือผมพยายามเข้าใจนะ ว่าคนสมัยนี้คงคิดว่า การได้พูดจาปฏิเสธ ด้อยค่าศาสนา (โดยเฉพาะศาสนาประจำชาติตัวเอง) เป็นการแสดงความ “เท่” “เป็นคนรุ่นใหม่” “แลดูฉลาด” เพราะกลัวว่าการที่พูดยอมรับความดี (ข้อดึ) ของศาสนา จะทำให้ตัวเองดูโง่ คร่ำครึ ล้าสมัย โดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่า พวกเขาน่าสมเพชแค่ไหนที่ตกเป็นทาสของการถูกกระแสสังคมชักนำ (ว่าต้องพูดคิดทำแบบนี้จึงจะดีจะเท่) แทนที่จะเป็น “ตัวของตัวเอง” ในการค้นหาสิ่งใดว่าดีหรือเลว “แบบพิสูจน์ผลลัพธ์ด้วยตัวเอง” ไม่ใช่ “ฟังคนอื่นเขาว่าแล้วเฮตาม”
สิ่งที่ผมเขียนขึ้นมาล้วนกลั่นกรองจาก “ประสบการณ์ชีวิต” ที่ผมได้ผ่านมาแบบผ่านมาจริงลองมาจริง (แล้วมันเวิร์ค) ถ้ายังไม่คิดว่ามันมากพอที่จะพิสูจน์ “ความถูกต้อง” ในสิ่งที่ผมพยายามเสนอให้เป็นหนทางในการแก้ไขปัญหาล่ะก็ คุณก็ทำในสิ่งที่คิดว่าดีไป แต่สุดท้าย “ผลลัพธ์” จะเป็นเครื่องพิสูจน์เองว่าอะไรถูกหรือผิด แต่บางครั้ง ผลลัพธ์จากความ “ผิด” ก็อาจทำให้คนเรา “ถึงตาย” ได้เหมือนกัน
สำหรับท่านผู้อ่านที่ติดตามงานเขียนของผมมาโดยตลอด ผมก็รู้สึกขอบคุณมากๆ ไม่รู้จะพูดไงดี เรามาศึกษาปรัชญาของนักสู้ นักดาบ เพื่อจะเอามาใช้นำพาชีวิตให้อยู่รอดได้ในยุคสมัยเช่นนี้ ผมดีใจที่ ยังมีคนเห็นคุณค่าของสิ่งนี้อยู่ จะมากน้อยสักเท่าไหร่ จากนี้ไปถึงจะจบซีรี่ส์นี้แล้วก็จะยังพยายามเขียนงานเอาเรื่องของปรัชญาญี่ปุ่นมา “ตอบแทนสู่สังคม” ต่อไปครับ ปีหน้าอาจจะขยายจักรวาลมูซาชิ ไปสู่สื่ออื่นๆ อีก อย่าลืมติดตามนะครับผม
วันนี้ก็เข้าเนื้อหาหลักกันเลยครับ
คำแปลข้อความต้นฉบับ
風の巻
คัมภีร์แห่งวาโย
九 一 他の兵法にはやきを用る事
เก้า การใช้ความเร็วในพิชัยสงครามอื่น
`兵法の `はやき `と云所実の道に非ず `はやき `と云事は物毎の拍子の間にあはざるによつて `はやき `おそき `と云ふ心也 `其道上手になりてははやく見えざるもの也
ที่เรียกว่า “ความเร็ว” ของพิชัยสงคราม (นั้น) หาใช่วิถีที่แท้ไม่ สิ่งที่เรียกว่า “ความเร็ว” นั้น อาศัยว่าไม่เข้ากับช่องระหว่างของจังหวะในสิ่งทั้งหลาย จึงเป็นจิตที่เรียกว่า “เร็ว” “ช้า” เมื่อเก่งขึ้นในวิถีนั้นแล้ว จะไม่เห็นว่าเร็ว
`縦人に `はや道 `と云て四十里五十里行ものも有 `是も朝より晩迄はやくはしるにではなし `道のふかんなるものは一日はしる様なれ共はかゆかざるもの也 `乱舞の道に上手の謡ふうたひに下手のつけてうたへば後るる心有ていそがしきもの也 `又鼓太鼓に `老松 `をうつに静なる位なれ共下手は是にもおくれさきたつ心有 `高砂 `は急なる位なれ共はやきと云事悪し `はやきはこける `と云て間に合ず `勿論おそきも悪し `是も上手のする事は緩々と見えて間のぬけざる所也 `諸事しつけたるもののする事はいそがしく見えざるもの也
เช่นว่า เมื่อพูดว่า “วิถีเร็ว” กับคน คนที่ไปได้สี่สิบลี้ห้าสิบลี้ก็มี นี้ก็จากเช้าถึงเย็นวิ่งเร็วก็หาไม่ คนที่ไม่เก่งในวิชานั้น แม้จะวิ่งหนึ่งวัน ก็ไม่ไปข้างหน้าเลย ในวิถีเต้นระบำ หากเอาคนไม่เก่งร้องเพลงที่ต้องร้องเก่ง จะมีจิตถอยหลังวุ่นวายไป อีกทั้งกลองไทโกะ หากเล่นเพลงโออิมัตสึ (เพลงละครโนห์) แม้ตำแหน่งที่เงียบ (คน) ที่ (ฝีมือ) ห่วยนั้น จะเกิดจิตช้าบ้างไปก่อนบ้าง “ทากาซาโกะ” (บทละครโนห์เรื่องหนึ่ง) นั้น แม้เป็นตำแหน่งที่เร่งรีบ การที่เรียกว่าเร็ว (นั้น) ไม่ดี หากว่า “เร็วแล้วล้ม” ก็ไม่ทัน แน่นอนว่าช้าก็ไม่ดี นี้ก็การจะทำให้เก่ง ต้องค่อยๆ มองเห็น ไม่หลุดช่องระหว่าง สิ่งที่คนที่ทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นนิสัยกระทำนั้น ย่อมไม่เห็นเป็นสิ่งวุ่นวาย
`此たとへを以て道の理を知るべし `殊に兵法の道に於てはやきと云事悪し `其子細は是も所によりて沼ふけなどにて身足共に早くゆきがたし `太刀はいよいよはやくきる事なし `早くきらんとすれば扇小刀の様にはあらでちやくときれば少もきれざるもの也 `能々分別すべし
อาศัยตัวอย่างนี้ ควรรู้หลักการของวิถี โดยเฉพาะในวิถีแห่งพิชัยสงครามนั้น สิ่งที่เรียกว่าความเร็วนั้นไม่ดี ข้อปลีกย่อยนั้น นี้ก็แล้วแต่ที่ อย่างที่ในบึง ทั้งกายและเท้าก็ไปเร็วได้ยาก ทะจินั้นไม่มีการฟันไวๆ หากจะฟันไวๆ จะไม่ได้อย่างพัดโบกดาบสั้น หากจะฟันฉับไว จะฟันไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ควรแยกแยะให้ดีๆ
`大分の兵法にしても `はやくいそぐ心悪し `枕をおさふる `と云心にては少もおそき事はなき事也 `人のむざとはやき事などには `そむく `と云て静になり人につかざる所肝要也 `此心の工夫鍛錬有べき事也
แม้พิชัยสงครามของส่วนใหญ่ จิตที่เร็วรีบเร่งนั้นไม่ดี ด้วยจิตที่เรียกว่า “กดหัวนอน” นั้น ย่อมไม่มีสิ่งที่ช้าเลยแม้แต่น้อย ในการที่ไวอย่างไม่คิดของคนนั้น เรียกว่า “หันหลัง” กลายเป็นสงบนิ่ง ไม่ถึงตัวคน (นั้น) เป็นเรื่องใหญ่ใจสำคัญ ควรคิดให้แยบคายซึ่งจิตนี้แล้วฝึกฝน
การตีความและอภิปราย
ในการทำความเข้าใจตอนนี้ ก่อนอื่นผมอยากให้อ่านคัมภีร์ห้าห่วงในตอนที่ผ่านๆ มาที่เกี่ยวกับ “จังหวะ” ดังนี้
คัมภีร์แห่งปฐวี (ดิน): เรื่องของจังหวะแห่งพิชัยสงคราม
คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): สิบห้า การตีหนึ่งจังหวะในการตีศัตรู
คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): สิบหก เรื่องของจังหวะเอวสอง
อ่านทวนจบแล้ว ท่านผู้อ่านจะเข้าใจได้เองว่า ทำไม “เอาเร็วเข้าว่า” จึง “ไม่ดี”
อย่างที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า “คัมภีร์แห่งวาโย” มันคือการทบทวนเพื่อย้ำเตือนความสำคัญของหลักการคำสอนของมูซาชิ
ทำไมต้องย้ำเตือน?
บางครั้ง คนเรา พอเก่งมากถึงจุดหนึ่ง ฝึกมานาน ก็อาจ “หย่อนยาน” ได้ ประมาณว่า ก็ไงล่ะ ทำแบบนี้ก็ชนะได้ อะไรประมาณนั้น หย่อนไปยานมาบางทีก็หลงลืมหลักการได้เหมือนกัน
นั่นแหละครับ เราถึงต้องมาทบทวนกันในที่นี้
เขียนเพิ่ม ณ วันที่ 4 ตุลาคม: ในที่สุดสังคมไทยก็มีเรื่องให้ผมต้องเขียน เพื่อย้ำเตือนถึงสิ่งสำคัญมากๆ อีกสิ่ง นอกจากการที่เราจะต้องรักษาตนให้พ้นภัยนั้น ในขณะที่สังคมมันเลวร้ายขึ้นทุกที เราจะต้องไม่คิดแค่รักษาตนให้พ้นภัยเท่านั้น แต่ต้องติดว่า ทำอย่างไรจะให้สังคมที่กำลังเลวร้าย หยุดยั้งไม่ให้มันเลวร้ายไปมากกว่านี้ นี่ก็เป็นหนึ่งในคำสอน “วิถีเดินเดี่ยว” ของมูซาชิเช่นกัน ดังคำที่ว่า 身をあさく思世をふかく思ふ (มิ โวะ อะสะคุ โอโมอิ โยะ โวะ ฟุคาคุ โอโมฮุ) “คิดถึงตัวเองให้ตื้น คิดถึงโลกให้ลึก”
เหตุการณ์ที่เด็กชายอายุไม่ถึงสิบห้า พ่อแม่เป็นถึงคนมีความรู้เรียนจบปริญญาถึงเมืองนอกเมืองนา ฐานะร่ำรวยพอจะส่งลูกไป “โรงเรียนทางเลือก” ที่พวกเสรีนิยมฝ่ายซ้ายพร่ำบอกว่า โรงเรียนแบบนี้สิดิ เป็นโรงเรียนในฝันของพวกเรา คุยโอ่โฆษณาว่า โรงเรียนนี้ดีแน่ ไม่ต้องสอบข้อเขียนเพื่อเข้าเรียน ไม่ต้องใส่เครื่องแบบ ไว้ผมทรงอะไรก็ได้ เรียนเฉพาะวิชาที่ใช้สอบ (อันไหมไม่ต้องสอบก็ไม่ต้องเรียน)
ครับ…
ไม่ต้องสอบข้อเขียนเพื่อเข้าเรียน → ไม่มีการคัดกรองระดับความรู้ ทั้งที่จริงๆ การมีความรู้ มันก็บ่งบอกถึงบุคลิก ทัศนคติได้ ว่ามีความตั้งใจเรียน มีความพยายามหรือขยันขันแข็งไหม
ไม่ต้องใส่เครื่องแบบ ไว้ผมทรงอะไรก็ได้ → ไม่รู้จักเรียนรู้การปฏิบัติตัวตามกฎระเบียบของสังคม ขาดจิตสำนึกการเคารพกฎต่างๆ ไปจนถึงกฎหมายบ้านเมือง กลายเป็นแบบที่เสรีนิยมชอบ กูอยากจะทำอะไรก็ “ตามใจกู” พอเขาบอกให้ทำตามระเบียบก็ “มึงมากดทับกู” “อำนาจนิยม” จะพูดแบบนี้ใช่ไหม?
เรียนเฉพาะวิชาที่ใช้สอบ → เป็นการลดทอนคุณค่าและความหมายของ “การเรียน” อย่างเลวทรามที่สุด การเรียนรู้เรื่องต่างๆ เป้าหมายคือให้ทันคน ทันโลก อย่างที่ว่า “รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี” แล้วไอ้การลดทอนแบบนี้ มันจะผลิตคนแบบไหนได้ นอกจากคนรู้แค่ในตำราเอาพอสอบได้ แต่ไม่มีความคิดอ่านอะไรอย่างอื่น อย่างที่เขาว่า “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” ไม่ต้องไปถามเลยว่า จริยธรรม จิตสำนึกเพื่อผู้อื่น เพื่อสังคม จะมีไหม?
ครับ ผลผลิตจากโรงเรียนที่เด็กก็ชอบ พ่อแม่ก็ถูกใจ ว่าให้ลูกได้อยู่ในโลกแบบเสรีนิยมซ้ายจัดที่ใฝ่ฝัน ผลผลิตนั้นคือ เราได้เด็กอายุไม่ถึงสิบห้าที่เอาปืนไปไล่ยิงคนเจ็บตายในห้างครับ!
ถ้าสังคมไทย ยังหลงใหลใฝ่ฝัน ที่จะเป็นเสรีนิยมจ๋าอย่างพวกตะวันตก (ต้องใส่หมวกลายธงชาติอเมริกันแล้วยิงคนจีนด้วยนะ) มันจะไม่จบแค่นี้ครับ
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราจะต้องกลับมาสำนึกถึงคุณค่าบางอย่าง ที่พวกฝ่ายซ้ายมันกำลังดูถูกเหยียบย่ำ เช่น “ความมีวินัย” “ความเคารพต่อกฎระเบียบ/กฎหมาย” “การคำนึงถึงส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว (เอาความถูกต้องมาก่อนความถูกใจ)” ความมีสัมมาคารวะ เรื่อยไปจนจุดสูงสุด คือ “ความรัก (จงรักภักดีต่อประเทศ) ชาติ” ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึง “บูชิโด” หลักศีลธรรมที่กำเนิดจากชนชั้นซามูไรซึ่งไหลผ่านจนซึบซาบไปถึง “มหาชน” จนเป็นสิ่งที่สร้างจิตนิสัย (ในด้านดี) ของชนชาวญี่ปุ่น ทำให้คนญี่ปุ่น “สร้างชาติ” ขึ้นมาจนเป็นที่รู้จักของชนชาวโลก และได้กลายเป็นแบบอย่าง แรงบันดาลใจในเรื่องศีลธรรม จริยธรรม ในระดับสากล
ผมพูดได้แค่ว่า เพื่อจะไม่ให้สังคมไทยเลวร้ายไปกว่านี้ เราจำเป็นต้องนำเอาคุณค่าเหล่านี้ กลับมาทำให้เกิดจริงในสังคม มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้นครับ
พบกับซีรี่ส์ “บูชิโด” ได้ ธันวาคมนี้ แน่นอนครับ หวังว่าท่านผู้อ่านที่ติดตาม “คัมภีร์ห้าห่วง” มาตลอด จะยังไม่ทิ้งกันไปไหน รักน้อยๆ แต่ขอให้รักนานๆ นะครับ (ฮา)
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สู้ๆ ครับทุกคน เดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายของ “คัมภีร์ห้าห่วง” แล้วนะครับ ไปด้วยกันครับทุกคน
เรื่องแนะนำ :
– โรคซึมเศร้า สังคมญี่ปุ่น สังคมไทย เราควรเอาพุทธศาสนามาช่วยบำบัดดีไหม?
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (85) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): แปด การมีการใช้เท้าในสายสำนักอื่น
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (84) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): เจ็ด สิ่งที่เรียกว่าการจับตาดูในสายสำนักอื่น
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (83) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): หก การใช้การตั้งท่าทะจิในสายสำนักอื่น
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (82) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): ห้า การมีทะจิจำนวนมากในสายสำนักอื่น
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (86) คัมภีร์แห่งวาโย (ลม): เก้า การใช้ความเร็วในพิชัยสงครามอื่น