วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
“วิถีเดินเดี่ยว” (獨行道) ของมูชาซิ ปรัชญาชีวิตจากนักดาบซามูไร เพื่อคนไทยในยุคโควิด
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมก็ได้โอกาสมาเขียนถึงเรื่องของ ปรัชญาของ “มิยาโมโตะ มูซาชิ” เสียทีหลังจากที่ตั้งใจจะเขียนมาตั้งแต่ 2-3 เดือนก่อนแล้ว ติดอยู่ที่ว่าตอนแรกตั้งใจว่าอยากจะจบซีรีส์โอซาก้าเมืองเก่าฯ ให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยเขียนถึง เนื่องจากคราวนี้ผมต้องใช้เวลานิดนึงในการอ่านคำ (ต้นฉบับภาษาญี่ปุ่น) แล้วก็ค้นคว้าคำศัพท์เพิ่มเติมใน Dictionary Online แล้วก็ใช้ความคิดพิจารณาอีกชั้นหนึ่ง ก็เลยต้องใช้เวลานิดหน่อยในการที่จะทำให้มันตกผลึกพอที่จะเอามาเขียนถึงได้
ถ้าเอ่ยชื่อ “มิยาโมโตะ มูซาชิ” บรรดาท่านผู้อ่านที่ชอบเรื่องญี่ปุ่นอยู่แล้วก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก ถึงแม้ว่าชีวิตและวีรกรรมของเขาจะมีเรื่องให้วิพากษ์วิจารณ์กันไปได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบก็ตาม แต่เราคงปฏิเสธข้อเท็จจริงไม่ได้ว่า มิยาโมโตะ มูซาชิ นั้น เป็นนักดาบที่เป็นเลิศในเรื่องของการเอาตัวรอด คือจะเจอนักดาบทั้งสำนักมารุมก็ดี หรือเจอยอดนักดาบชื่อเสียงโด่งดังขนาดโคจิโร่ก็ดี ก็ยังเอาชนะและเอาชีวิตรอดมาได้ และก็สามารถมีชีวิตมาอยู่ได้จนถึงตอนแก่เฒ่าพอที่จะตกผลึกความคิดความอ่านตัวเองออกมาแล้วเขียนขึ้นมาเป็นหนังสือได้ นั่นคือ “คัมภีร์ห้าห่วง” (五輪書) ซึ่งเดี๋ยวผมเองจะเอามานำเสนอท่านผู้อ่านต่อไปแน่นอน (รออ่านได้เลย)
ส่วนหนังสืออีกเล่ม คือ “วิถีเดินเดี่ยว” (独行道) นั้นเป็นหนังสือ “คำปฏิญาณตน” ในการใช้ชีวิต ซึ่งมาจาก ”วิถีชีวิต” ของตัวมูซาชิเอง (ในช่วงบั้นปลายชีวิตมูซาชิเป็นอาคันตุกะของแคว้นคุมาโมโตะ) เขียนขึ้นแล้วมอบให้แก่ศิษย์คือ เทราโอะ มาโกโนะโจ (寺尾 孫之允) พร้อมกับ “คัมภีร์ห้าห่วง” เพียงเจ็ดวันก่อนมูซาชิจะสิ้นลม ซึ่งเทราโอะ มาโกโนะโจ นั้นได้กลายเป็นอาจารย์ผู้สืบทอดวิชา “นิเท็นอิจิริว” (二天一流) รุ่นที่สอง แล้วก็ได้ถ่ายทอด “คำภีร์ห้าห่วง” ให้แก่ลูกศิษย์ต่อไป ส่วน “วิถีเดินเดี่ยว” นั้นก็ได้ถูกถ่ายทอดมายังตระกูลโทโยดะ แล้วตัวแผ่นหนังสือก็ได้เปลี่ยนมือมาเรื่อยๆ จนปัจจุบันนี้เป็นสมบัติของหอศิลป์จังหวัดคุมาโมโตะ
เหตุจูงใจที่ทำให้ผมตั้งใจอ่านแล้วนำมาถ่ายทอดแก่ท่านผู้อ่านก็เพราะเห็นว่า โลกเราทุกวันนี้เป็นโลกที่เต็มไปด้วยอันตราย ความขัดแย้งและการคิดเป็นศัตรูกัน เช่นภาวะโควิด เศรษฐกิจตกต่ำ ออกจากบ้านไปก็ไม่อยากเข้าใกล้ใครกลัวติดโรค ไหนจะโลกโซเชียลที่เต็มไปด้วยการยุแหย่ การแบ่งฝักฝ่ายตั้งแต่เรื่องการเมืองไปจนถึงการเรียกร้องอื่นๆ เฟมินิสต์ เฟมทวิต นอนไบนารี่ สลิ่ม สามกีบ คุกคามทางเพศ Men are trash ฯลฯ ถ้อยคำเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องบ่มเพาะความเกลียดชังความเป็นศัตรูกัน ซึ่งวันนี้อาจเป็นแค่อะไรบนหน้าจอแต่วันหน้าไม่แน่ว่าจะลงมาบนถนนวันไหน ในสังคมที่เต็มไปด้วยสิ่งเหล่านี้ เราจะประคองตัวให้อยู่รอดปลอดภัยได้อย่างไร? จะรักษาศักด์ศรี ความภาคภูมิใจในฐานะปัจเจกชนได้อย่างไร? จะยังมีชีวิตที่มีความสุขสงบทางใจได้อย่างไร?
เราต้องเอาปรัชญาของนักดาบอย่างมิยาโมโตะ มูซาชิมาใช้ครับ เอาปรัชญาชีวิต วิถีการดำเนินชีวิตของคนที่สามารถผ่านคมหอกคมดาบ ผ่านการดวล ผ่านการโดนรุมแล้วยังมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนแก่เฒ่า เราควรเรียนรู้จากเขา เพื่อที่เราจะได้เอาตัวให้รอดบ้าง
เพื่อไม่ให้เป็นการเย่นเย้อเกินไป ขอเข้าสู่คำปฏิญาณตนใน “วิถีเดินเดี่ยว” ทั้ง 21 เลยนะครับ โดยขอยกคำญี่ปุ่นขึ้นมา เพื่อเอามาแปลความแบบคำต่อคำก่อน แล้วค่อยเข้าสู่บทของการประยุกต์ใช้ในสังคมปัจจุบันนะครับ
一 世々の道をそむく事なし (โยะโยะ โนะ มิจิ โวะ โซมุคุ โคโตะ นาชิ)
ไม่ขวาง (そむく=背く) วิถีของโลกๆ (世々の道)
คำว่า “โลกๆ” ในที่นี้หมายถึงยุคสมัยก็ได้ สิ่งที่สืบต่อกันมาเป็นประเพณีหรือบรรทัดฐานในสังคมก็ได้ พูดง่ายคือ “อย่าไปขวางโลก” ข้อนี้ผมคงต้องพูดเยอะหน่อยเพราะว่า ในยุคสมัยนี้ มีคนไม่น้อยที่คิดว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่มีอยู่ ประเพณี บรรทัดฐาน ค่านิยมอะไรต่างๆ นี่ มันเลวทรามเหลือเกิน ต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง ต่อต้าน ล้มล้าง ร้องแรกแหกตะโกน ใช้ท่าทีก้าวร้าว ข่มขู่ผู้อื่น ด้วยกิริยาวาจา ต่างๆ นานา ซึ่งบอกตรงๆ ผมไม่เห็นว่าสิ่งนี้มันจะสร้างอะไรให้เราได้ นอกจากความเกลียดชังต่อกันและการใช้ความรุนแรงใส่กันมากไปเรื่อยๆ จนอาจมาถึงจุดที่ “ไม่อาจย้อนกลับไปได้”
ปัจจุบันเป็นผลของอดีต อนาคตเป็นผลของปัจจุบันซึ่งมาจากอดีต ประเพณี บรรทัดฐาน ค่านิยมอะไรต่างๆ ที่บางคนอาจชอบใจ หรือ ไม่ชอบใจนั้น มันก็เป็นผลจากเหตุปัจจัยต่างๆ ในอดีต ถ้าอยากจะให้อนาคตมันดี ลองมองดูที่ปัจจุบันสิว่า จากจุดที่เรายืนอยู่ มันพอจะมีเหตุมีปัจจัยอะไรให้เราได้อาศัยเพื่อจะแก้ไขให้มันดีขึ้นได้บ้าง และต้องดีกับทุกคนจริงๆ ไม่ใช่ดีแต่กับตัวเองเอาตามความสะใจของตนเข้าว่า คนที่คิดทำอะไรขวางโลก เห็นสิ่งต่างๆ ในโลกมันเลวไปหมดจนต้องลุกขึ้นมาอะไรต่อมิอะไรนั้น แท้ที่จริงก็แค่ทำเอาตามความคิดอ่านของตนเท่านั้น หาใช่ทำเพื่อผู้อื่นเพื่อสังคมส่วนรวมจริงๆ ไม่ และคนที่ทำตัวขวางโลก ชอบเรียกร้องนั่น ค้านโน่น ต่อต้านนี่ ชีวิตจักหาความสุขสงบมิได้
ย้ำอีกครั้ง ข้อแรก “อย่าทำตัวขวางโลก”
一 身尓たのしみをたくます (มิ นิ ทาโนชิมิ โวะ ทาคุมาสุ)
อย่ามัวคิดประดิษฐ์ประดอย (たくむ=巧む) หาความสุข(たのしみ)ใส่ตัว(身)
คนเรามีสิทธิ์ที่จะความสุขตามอัตภาพได้ กินเท่าที่มีให้กิน นอนเท่าที่จะหาที่ได้ แต่ถ้าเรามัวเอาเวลาและแรงงานไปใช้เพื่อมานั่งคิดประดิษฐ์ประดอย ว่าจะกินแบบไหนให้อร่อยเลิศ จะไปเสาะแสวงที่เที่ยวเล่นยังไงให้สนุก มัวแต่เฮฮาปาร์ตี้ มันเป็นการพร่าผลาญเวลาและแรงงานไปในทางที่ประโยชน์น้อย หรืออาจเป็นโทษแทน (เช่นกินอร่อยสรรหาตามใจปากจนอ้วน เบาหวานไขมันถามหา) ขอให้ท่านทั้งหลายพึงสังวร
一 よろす尓依怙の心なし (โยโรสุ นิ เอโคะ โนะ โคโคโร นาชิ)
อย่ามีใจลำเอียง (依怙の心) ไปพึ่งพิงอิงกับอะไร
การมีใจ “ไม่ลำเอียง” ในที่นี้คือมีใจยุติธรรม ไม่เอียงไปตามอคติ 4 คือไม่ลำเอียงเพราะชอบ เพราะโกรธเกลียด เพราะความหลง หรือเพราะความกลัว คนเราที่มีอคติเพราะเราเอาใจไปอิงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง (ชอบนี่ เกลียดนั่น กลัวโน่น) หากเราเลิกเอาใจเราไปอิงกับอะไรพวกนี้แล้วเราก็จะสามารถมองและคิดตัดสินสิ่งต่างๆ ได้อย่างยุติธรรมเอง
一 身をあさく思世をふかく思ふ (มิ โวะ อะสะคุ โอโมอิ โยะ โวะ ฟุคาคุ โอโมฮุ)
คิดถึงตัวเอง (身) ให้ตื้น (あさく思) คิดถึงโลก (世) ให้ลึก (ふかく思ふ)
คำว่า “โลก” ในที่นี้หมายถึง “สังคมส่วนรวม” ได้ด้วย
โลกนี้ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งกัน หาความสงบสุขมิได้ มาจากการที่คนเรานั้นคิดถึงแต่ตัวเอง ตัวกู ของกู กูต้องอิ่มต้องมีไว้ก่อน แนวคิดกูดี การกระทำของกูถูก นำไปสู่การเบียดเบียนผู้อื่น การแสดงความเกลียดชัง ต่อต้าน ต่อคนที่คิดไม่เหมือนตัวเอง แต่ชอบอ้างว่าทำเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม นั่นโน่นนี่ คนเราถ้ามัวแต่ยึดถือว่ากูถูก มึงผิด แบบนี้ก็จะมีแต่ฆ่ากันตาย ฉะนั้นจะคิดทำอะไร “คิดถึงโลกให้ลึก” คิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นแก่ส่วนรวมให้มากๆ ใคร่ครวญให้ดีๆ เอาผลดีที่จะเกิดแก่สังคมเป็นหลัก เอาผลประโยชน์ส่วนตนเป็นรอง (“คิดถึงตัวเองให้ตื้น”) เราอิ่มบ้างอดบ้างช่างมัน ถ้าการที่เราอดเสียบ้าง จะช่วยให้คนอื่นอีกหลายๆ คนได้อิ่ม หากคนเราคิดและทำให้ได้อย่างนี้มากๆ ไม่เพียงชีวิตเราที่สงบสุข สังคมส่วนรวมก็จะมีความสงบสุขไปด้วย โชคดีที่เท่าที่เห็น ในสังคมไทยระดับประชาชนด้วยกัน ก็ยังมีเรื่องของน้ำใจ การช่วยเหลือ ในภาวะโควิดเช่นนี้อยู่ ผมขอให้เอาข้อนี้เป็นคติธรรมประจำใจกันให้มากๆ นะครับ
一 一生の間よくしん思はす (อิชโช โนะ ไอดะ โยคุชิน โอโมฮาสุ)
ชั่วชีวิต (一生の間) อย่ามีจิตคิดละโมบ (よくしん(欲心)思はす)
อันนี้คือหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนาเลย เพราะโลภะ (ความโลภ) นี่หละจะเป็นเครื่องจูงเราให้หลุดจากหนทางแห่งความดี ไปสู่การทำความชั่ว โลภะนั้นเกิดขึ้นโดยมีตัณหา (ความอยาก) โดยเฉพาะ “กามตัณหา” คือความอยากได้ในรูปรสกลิ่นเสียงนั่นแหละเป็นตัวจุดระเบิด ข่าวปล้นฆ่า ผัวพังบ้านเมียเพราะไม่ยอมให้เอาเมียน้อยเข้าบ้าน ฯลฯ เหล่านี้ควรเป็นเครื่องเตือนใจว่าอย่าได้คิดละโมบ อยากได้อยากมีเสียจนหลุดจากความดี
一 我事尓おゐて後悔をせす (วะงะโคโตะ นิ โออิเตะ โคไค โวะ เซสุ)
ไม่หวนมานึกเสียใจ (後悔をせす) ในเรื่องราวของตน (我事尓おゐて=我が事において)
ผมขอยกคำนี้มาละกันนะครับ “บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังไม่มาถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว” เพราะว่าการมานั่งคิดถึง “สิ่งที่ล่วงไปแล้ว” นั้น ไม่มีประโยชน์อะไรหากจะมาคิดด้วยจิตเศร้าหมอง (เสียใจ) คนเราไม่มีใคร “ทำดี ทำถูก” ไปได้หมดทุกเรื่อง ทุกคราวหรอก สิ่งที่เราเคยคิดว่าดีบางทีอาจจะเลวก็ได้ เราควรจะเอาสติกำลังของตัวเองไปใส่ใจว่า จากนี้ไปจะทำอะไรอย่างไรได้บ้างดีกว่า ถ้ามัวแต่มานั่งเสียใจ ชีวิตก็ไปข้างหน้าต่อไม่ได้
一 善惡尓他をねたむ心なし (เซ็นอะคุ นิ โฮคะ โวะ เนะทามุ โคโคโระ นาชิ)
คนอื่น (他) จะดีเลว (善惡) อย่างไร อย่าไปมีจิตริษยา (ねたむ=妬む)
เราควรเอาเวลาและแรงงานไปทำตัวเองให้ดีขึ้นดีกว่าที่จะมานั่งอิจฉาริษยาคนอื่น
一 いつれの道尓もわかれをかなします (อิทสึเระ โนะ มิจิ นิโมะ วาคาเระ โวะ คานาชิมาสุ)
ไม่ว่าจะในหนทางใด (いつれの道尓も=何れの道にも) อย่าเศร้าใจกับการแยกจาก (わかれをかなします =別れを悲しまず)
ทุกวันนี้เราอ่านข่าวฟังข่าวมีแต่เรื่องสะเทือนใจ ความสูญเสียจากโรคโควิด พี่ชายต่างแม่ของผมที่อยู่ที่อเมริกาจนเป็นพลเมืองที่นั่นไปแล้ว ติดโควิดทั้งครอบครัว ลูกเมียไม่ตาย แต่พี่ชายผมตาย ถึงจะพบกันแค่สองครั้งในชีวิต ผมก็เสียใจ เพราะนั่นคือเลือดเนื้อเชื้อไขสายตรงของพ่อผมที่ยังเหลืออยู่คนสุดท้าย ผมขอให้ท่านผู้อ่านเอาข้อนี้ไว้เป็นเครื่องเตือนใจ ในภาวะเช่นนี้
一 自他共尓うらミをかこつ心なし (จิทะ โทโมะ นิ อุรามิ โวะ คะโคทสุ โคโคโระ นาชิ)
อย่ามีจิต กล่าวโทษ (かこつ=託つ) โกรธแค้น (うらミ=恨み) ทั้งเราเขา (自他共尓(=に))
โทษคนอื่นไปได้อะไร โทษตัวเองไปได้อะไร โทษไปแล้วแก้ไขปัญหาได้ไหม ขอจงตริตรองให้ดี
一 れんほの道思ひよるこヽろなし (เร็มโบะ โนะ มิจิ โอโมฮิโยรุ โคโคโระ นาชิ)
อย่าเอาใจไปฝักใฝ่ (思ひよる) เรื่องรักเรื่องใคร่ (れんほ=恋慕) จนเกินควร
ผมไม่ได้คัดค้านเรื่องการมีความรักความสัมพันธ์ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม พอถึงวัยหนึ่งธรรมชาติก็จะผลักดันให้เราต้องหาคู่ แต่ว่าการมัวแต่ฝักใฝ่กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ โดยเฉพาะในเวลาที่เรายังมีกิจการงานอื่นๆ ที่ยังต้องทำนั้น เป็นสิ่งที่ “ไม่แนะนำ” ครับ เพราะชีวิตไม่ได้มีแค่ด้านเดียวครับ
一 物毎尓すきこのむ事なし (โมโนะโกโตะ นิ สึคิโคะโนมุ โคโตะ นาชิ)
อย่ารักชอบ (すきこのむ=好き好む) สิ่งใดๆ (物毎=物事) ให้มากไป
เราอาจรักชอบอะไรก็ได้ แต่การรักชอบสิ่งใดมากไป รักมาก ชอบเป็นพิเศษ เป็นสิ่งที่ไม่ควร เพราะมันนำพาเราไปสู่ความโลภและอคติ และเกิดความยึดติดผูกพันซึ่งจะสร้างความเศร้าใจเสียใจเมื่อเราต้องจากมันเสียเปล่าๆ
一 私宅尓おゐてのそむ心なし (ชิทาคุ นิ โออิเตะ โนโซมุ โคโคโระ นาชิ)
ไม่มีใจปรารถนา (のぞむ=望む) ในบ้านส่วนตัว (私宅尓おゐて)
วิถีแห่งนักดาบที่แท้ มีความถือสันโดษคล้ายนักบวช นอนไหนนอนได้
一 身ひとつ尓美食をこのます (มิ ฮิโตะทสึ นิ บิโชคุ โวะ โคโนมาสุ)
ไม่ติดในรสอาหารอร่อย (美食)
ข้อนี้ตรงกับ “โภชเนมัตตัญญุตา” (ความรู้จักประมาณในอาหาร) ขอยกบทสวดมาเพื่อความเข้าใจดังนี้
ปิณฑะปาตัง ปะฏิเสวามิ (เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วฉันบิณฑบาต (อาหาร))
เนวะ ทะวายะ (ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเพลิดเพลิน สนุกสนาน)
นะ มะทายะ (ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามันเกิดกำลังพลังทางกาย)
นะ มัณฑะนายะ (ไม่ให้เป็นไปเพื่อประดับ)
นะ วิภูสะนายะ (ไม่ให้เป็นไปเพื่อตกแต่ง)
ยาวะเทวะ อิมัสสะ กายัสสะ ฐิติยา (แต่ให้เป็นไปเพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้)
ยาปะนายะ (เพื่อความเป็นได้ของอัตภาพ)
กินอาหารเพื่อให้เลี้ยงร่างกายให้อยู่ได้ด้วยดี อย่าเอาแต่กินตามใจปากจะยากนาน กินของหวานของมัน กินเกินพอดีที่ร่างกายต้องการ โรคภัยจะถามหา ครับ คนที่เป็นโควิดตาย โดยมากมักเป็นพวกมีโรคจำพวก โรคอ้วน เบาหวาน ไขมัน รู้แล้วก็ขอให้นำเอาข้อนี้ไปเตือนใจเพื่อปฏิบัติตนให้พ้นภัยจากโรคกันด้วยนะครับ
一 末々代物なる古き道具所持せす (สุเอะซุเอะ ไดบุตสุ นารุ ฟุรุกิ โดกุ โมเซสุ)
อย่าถือ เครื่องใช้เก่า (古き道具) เอาไว้แทนใช้ (代物なる) ในวันข้างหน้าโน้น (末々)
คนบางคนมีจิตใจยึดติด ชอบสะสมข้าวของที่คิดว่าจะใช้ในวันหน้า (เมื่อไหร่ก็ไม่รู้) ไม่อยากทิ้ง เสียดาย ท่านผู้อ่านทราบไหมครับว่าถ้ามีอาการแบบนี้มากๆ เขาเรียกว่าโรคเก็บสะสมของ (hoarding disorder) เป็นความเจ็บป่วยทางจิตอย่างหนึ่งที่เกิดจากความคิดยึดติดจำพวก “กลัวทิ้งไปไม่มีใช้” “ของนี้ฉันรักมาก” คนเราต้องรู้จักคิดทำสิ่งต่างๆ ให้เป็นเหตุเป็นผล ของทุกสิ่งอย่างมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์อย่างหนึ่งๆ ในเวลาหนึ่งๆ เท่านั้น อะไรที่เก่าแล้วไม่ใช้แล้วก็อย่าเก็บไว้ให้รก บ้านเรายิ่งรกเท่าไหร่ใจเรายิ่งรกตาม แล้วจะหาความสงบสุขได้อย่างไร
一 わか身尓いたり物いミする事なし (วาคามิ นิ อิตาริ โมโนะอิมิ สุรุ โคโตะ นาชิ)
อย่า บำเพ็ญเพียร (物いミ=物忌み) จนผ่ายผอม (わか身=嫩✕身)
การบำเพ็ญเพียรประเภททรมานตนให้ลำบาก พุทธศาสนาเรียกว่า “อัตตกิลมถานุโยค” เป็นหนึ่งในสอง “ความสุดโต่ง” ที่ไม่มีประโยชน์ (คือมิได้ทำให้รู้แจ้ง) ควรละเว้นเสีย
一 兵具ハ各別よの道具たしなます (เฮียวกุ วะ คาคุเบ็ตสึ โยโนะ โดกุ ทาชินามาสุ)
อาวุธ (兵具) นั้น อย่าไปหลงใหล (たしなます=嗜まず) มีเครื่องมือ (道具) ไว้มากเกินพอดี (よの=余の)
เครื่องมือต่างๆ เราควรมีไว้แค่พอไว้ วิชาต่างๆ เราควรเรียนรู้ไว่แค่เท่าที่จำเป็น (เพราะคนเรามีเวลาและแรงงานจำกัด ไหนจะมีข้อจำกัดทางร่างกาย ทักษะ และนิสัยจิตใจอีก) การไปหลงใหลอยากได้วิชาเยอะๆ อยากได้เครื่องมือเครื่องใช้มากเกินพอดี จะทำให้เรากลายเป็นคนทำทุกอย่างได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ เสียเปล่าๆ ไปไม่สุดสักทาง เลือกสิ่งที่ใช่แล้วไปให้สุดดีกว่า
一 道尓おゐてハ死をいとはす思う (มิจิ นิ โออิเตะ วะ ชิ โวะ อิโตวาสุ โอโมอุ)
ในวิถีนั้นให้นึกถึง (思う) ความตาย (死) มิหน่ายแหนง (いとはす=厭わず)
ข้อนี้ตรงกับ “มรณานุสสติกรรมฐาน” คือการหมั่นระลึกถึงความตาย ใช้ชีวิตที่มีอยู่ทำสิ่งที่ควรทำ เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมวันที่ความตายจะมาเยือน ทนความทุกข์ความเจ็บเวลาตายได้ ไม่มีอะไรติดค้างในใจว่าไม่ได้ทำขณะยังมีชีวิตอยู่ อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว รีบทำความเพียรเสียแต่วันนี้ ใครเล่าจะรู้ว่าพรุ่งนี้ความตายจะมาเยือนหรือไม่
一 老身尓財寳所領もちゆる心なし (โรชิน นิ ไซโฮ โชะเรียว โมจิยุรุ โคโคโระ นาชิ)
อย่ามีจิต ถือเอาทรัพย์สมบัติที่ดิน (財寳所領) ไว้ในกายเฒ่า (老身)
อันนี้เป็นคำสอนซื่อๆ ง่ายๆ ว่าคนเราแก่เฒ่ามา อย่ายึดถือทรัพย์สมบัติที่ดินแก้วแหวนไว้ไม่ละไม่วาง
一 佛神は貴し佛神をたのます (บุชชิน วะ ทัตโตชิ บุชชิน โวะ ทาโนมาสุ)
พระพุทธและเทพยดา (佛神) เป็นของสูง (貴し) ไม่อ้อนวอน (たのます=頼まず) พระพุทธและเทพยดา
ผมคิดว่าการที่คนไทยชอบไหว้พระไหว้เจ้าเพื่อขอนั่นขอนี่ เป็นทัศนคติที่ไม่ดีอย่างหนึ่ง นั่นคือแสดงความอยากได้อยากมีของตนเป็นที่ตั้ง ไหว้เพราะอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ไหว้เพราะเห็นว่าไหว้แล้วจะได้สิ่งที่ต้องการ เท่ากับที่ว่าการไหว้นั้นมิใช่การแสดงความเคารพนับถือหรือให้ความสำคัญอย่างจริงใจ แต่ไหว้เพราะต้องการ “ผลตอบแทน” เท่านั้น ซึ่งทัศนคติแบบนี้ถ้าปล่อยไปมากๆ เข้าก็อาจถึงขั้นว่าไหว้อะไรก็ได้ที่ให้ประโยชน์กับตน ต่อให้สิ่งนั้นจะเลวทรามแค่ไหนก็ตาม (ขนาดฆาตกรฆ่าผู้หญิงเอาศพใส่หีบเหล็กยังมีการตั้งศาลให้คนกราบไหว้) เราไม่ควรสมาทานเอาความคิดและการกระทำอย่างนี้เข้ามาในชีวิตของเรา
一 身を捨ても名利はすてす (มิ โวะ สุเตโมะ เมียวริ วะ สุเตสุ)
แม้ต้องทิ้งกาย (身を捨ても) ก็อย่าทิ้งเกียรติทิ้งคุณความดี (名利はすてす)
ทุกวันนี้ มีคนมากมายที่ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์อย่างที่ไม่สนใจเกียรติยศศักดิ์ศรีหรือคุณธรรมความดี เช่นยูทูปเบอร์บางคนที่ผลิตคอนเทนต์อะไรก็ได้ขอแค่ยอดวิวเยอะๆ โดยไม่คำนึงถึงผลทางสังคม หรือคนทำช่อง TikTok อยากถ่ายรูปหวาดเสียวจนตกลงไปตาย หรือวัยรุ่นโชว์กินขี้ไก่เรียกยอดไลค์ ถึงแม้ข้อนี้จะฟังดูสุดโต่งไปหน่อยสำหรับคนสมัยนี้ (ที่มิใช่อยู่ในยุคซามูไร) แต่ผมคิดว่าข้อนี้น่าจะเอามาเป็นเครื่องเตือนใจ ทบทวนว่าทุกวันนี้คนเราจดจ่อกับผลประโยชน์มากไปจนลืมคุณธรรมความดีหรือไม่?
一 常尓兵法の道をはなれす (ทสึเนะ นิ เฮียวโฮ โนะ มิจิ โวะ ฮานาเระสุ)
อย่าได้ออกห่างจากวิถีแห่งพิชัยสงคราม (兵法の道) อยู่เป็นนิจ (常尓=常に)
เป็นนักรบก็ต้องไม่ออกห่างจากวิถีแห่งพิชัยสงคราม สิ่งใดก็ตามที่มันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตคงอยู่ อย่าทิ้งมัน สิ่งที่แย่ที่สุดที่ผมเป็นในช่วงอายุ 30-40 ปี คือการออกห่างจากวิถีของการฝึกฝนกายใจ ปล่อยตัวไปกับวิถีชีวิตมนุษย์เงินเดือนจนอ้วนฉุ กว่าจะกลับมาฟื้นฟูได้ก็ใช้เวลาถึงสามสี่ปี คนเรานั้นหากเราทิ้งหรือออกห่างจากอะไร การหวนคืนกลับมานั้นไม่ง่าย ดังนั้นขอให้ท่านรักษามันไว้ให้ดี
正保弐年 ปีที่สองแห่งศักราชโชโฮ (พ.ศ. 2189)
五月十二日 新免武藏 เดือนห้า วันที่สิบสอง ชินเม็ง มูซาชิ
“วิถีเดินเดี่ยว” ของมูซาชิ ก็เป็นอันจบแต่เพียงเท่านี้ครับ บอกตรงๆ ว่าเขียนเหนื่อยมาก ใช้กำลังภายในแทบจะหมดตัวแล้วครับ (ฮา) มันไม่ง่ายเลยกับการถ่ายทอดสาส์นจากคนเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อนเพื่อสื่อสารกับคนในอีกยุคสมัยหนึ่ง อีกชนชาติหนึ่ง เพื่อหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์สำหรับคนในยุคนี้สมัยนี้ การตีความต่างๆ ที่ผมเขียนเป็นอรรถกถาเพิ่มเติมนั้นเป็นความคิดส่วนตัวของผม ส่วนการแปลของผมนั้นหากมีอะไรที่ขาดตกบกพร่องก็ขอท่านให้อภัยผมด้วย (ฮา)
ฝากรูปวาดรูปนี้ซึ่งวาดโดยตัวมูซาชิเองให้ดูกันนะครับ หากศิลปะเป็นเครื่องบ่งบอกนิสัยใจคอความคิดของศิลปินผู้สร้างผลงานแล้วไซร้ ภาพนี้ก็คงบ่งบอกตัวตนของมูซาชิได้เป็นอย่างดีครับ ภาพนี้ชื่อว่า “โกะโบคุเมย์เกจิซุ” (“ภาพนกโมสุบนไม้แก่” 枯木鳴鵙図)
สำหรับวันนี้ขอตัวลาไปก่อน พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ
เรื่องแนะนำ :
– “ลุยแหลกเกินหลักสูตร” การ์ตูนที่เขาว่าทำให้เด็กไทยถึงกับนิ้วหักมาแล้ว!!
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (5) แมวสามตัว กับการจัดการกับ Ego ของตัวเองในการเรียน BJJ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (4) กาย เทคนิค ใจ จากซามูไรถึงยูยิตสู
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (3) เรียนรู้การ “ทะลวงชีวิต” เมื่อพบกับ “วิกฤติวัยกลางคน”
#“วิถีเดินเดี่ยว” (獨行道) ของมูชาซิ ปรัชญาชีวิตจากนักดาบซามูไร เพื่อคนไทยในยุคโควิด