เมื่อเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นติดโควิดและคำขอโทษ
ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ระลอก 3 ที่ค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากเป็นเชื้อสายพันธุ์อังกฤษ B1.1.7 ที่มีอัตราการติดเร็วและง่าย มีต้นทางการระบาดมาจากหลายแหล่ง แหล่งที่สำคัญ คือ สถานที่บันเทิงตอนกลางคืนและจากงานปาร์ตี้ต่างๆ คนที่มีชื่อเสียงในสังคมทั้งดารา นักร้อง นักการเมือง รัฐมนตรี แม้กระทั่งเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย “นายคาสุยะ นะชิดะ” ต่างก็ติดเชื้อนี้กัน
สิ่งที่น่าสนใจ คือ การที่นายคาสุยะยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าได้ไปเที่ยวคริสตัลทองหล่อวันที่ 25 มี.ค.2564 ซึ่งเป็นสถานที่ที่ทำให้รับเชื้อ หลังจากนั้นไปรับการตรวจเชื้อวันที่ 3 เม.ย. 2564 ผลเป็นบวก มีผู้ให้ข้อมูลว่าหน้าที่ของทูตนอกจากจะต้องพบปะอย่างเป็นทางการเพื่อสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับผู้มีอำนาจของรัฐแล้ว การพบปะเข้าสังคมหลังเลิกงานเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะช่วยกระชับความสัมพันธ์และหาข้อมูลเชิงลึกกับแหล่งข่าวในประเทศนั้น จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนายนะชิดะได้ทำหนังสืออย่างเป็นทางการแสดงการขอโทษและยอมรับความผิดพลาดที่ตนได้ก่อขึ้นกับผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย
คนญี่ปุ่นมีวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นกว่าชาติอื่น คือ เรื่องการขอโทษ ไม่ว่าใครก็ตามที่ทำผิดสามารถขอโทษอีกฝ่ายได้โดยไม่เป็นการเสียศักดิ์ศรี เช่น ผู้ใหญ่ขอโทษเด็กที่เผลอพูดด่าแรงไป, เจ้านายขอโทษลูกน้องที่ออกคำสั่งไม่ชัดเจนจนงานเกิดความผิดพลาด, รัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งเพราะทำผิดกฎระเบียบ คนญี่ปุ่นมีหลักคิดว่าศักดิ์ศรีของคนอยู่ที่การแสดงความรับผิดชอบ ดังนั้นการขอโทษเป็นการแสดงถึงวุฒิภาวะเรื่องการตระหนักสำนึกรู้ในการกระทำของตนเอง และการสำนึกผิดจะช่วยให้มีการพัฒนาตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น
คำขอโทษแทบจะเป็นคำติดปากคนญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ เป็นการแสดงการยอมรับผิดด้วยคำพูดไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไร ซึ่งความหมายเรื่องการขอโทษและการเผชิญหน้ากับความผิดของคนญี่ปุ่นเป็นคนละประเด็นกับการชดใช้ แต่ละสังคมมีความคาดหวังเรื่องการขอโทษที่แตกต่างกัน บางสังคมคาดหวังว่าการขอโทษต้องมาพร้อมกับการชดใช้ แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นแม้การขอโทษจะเป็นการยอมรับผิดแต่ไม่ได้หมายรวมว่าต้องชดใช้ พูดในอีกนัยหนึ่งการขอโทษทำให้เกิดทางเลือกในการตอบสนองมากขึ้น เช่น เมื่อมีเหตุการณ์ที่คนหนึ่งไปชนอีกฝ่าย ก่อนที่จะมาหาสาเหตุว่าใครเป็นคนผิด จะมีอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งที่พูดคำขอโทษนำไปก่อน ซึ่งปฏิกิริยาของอีกฝ่ายเป็นไปได้ทั้งการให้อภัยเห็นใจกันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ หรือต่อให้อีกฝ่ายโกรธเมื่อได้รับคำขอโทษจะช่วยลดความโกรธได้ ในกรณีที่แย่ที่สุดอีกฝ่ายไม่ยอมซึ่งก็ต้องมาสืบหาสาเหตุกันต่อไป แต่ถ้าไม่มีฝ่ายไหนขอโทษเลยทางเลือกที่เหลือ คือ การปะทะกันอย่างเดียว
นอกจากการขอโทษจะเป็นการยอมรับผิดและเพิ่มทางเลือกในการตอบสนองแล้ว คนญี่ปุ่นใช้การขอโทษเป็นหนึ่งในวิธีการสื่อสาร เพราะแม้บางครั้งเราจะไม่ได้เป็นฝ่ายผิดแบบชัดเจน แต่เราอาจทำให้อีกฝ่ายเดือดร้อนรำคาญใจ การขอโทษจะทำให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าเรารู้สึกผิดและเป็นหลักประกันอย่างหนึ่งว่าต่อไปเราจะไม่ทำผิดพลาดซ้ำให้อีกฝ่ายต้องขุ่นข้องหมองใจอีก
การทำเรื่องที่ผิดพลาดเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้นได้ บางครั้งเราอาจตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ สิ่งสำคัญที่ต้องเรียนรู้จากการทำผิดพลาด คือ ทำอย่างไรไม่ให้ทำผิดซ้ำ และรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำ หากเราทำผิดแล้วทำให้คนอื่นไม่พอใจหรือเดือดร้อน การขอโทษเป็นวิธีหนึ่งที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ (Conflict)
การขอโทษเป็นสิ่งที่ต้องฝึกตั้งแต่เล็ก โดยมีผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างที่ดี วิธีฝึกสอนเรื่องการขอโทษต้องเริ่มจากการที่เด็กรู้ว่าทำผิดอะไร ส่งผลต่อคนอื่นอย่างไร รู้สึกสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปจริงๆ การบังคับให้เด็กพูดคำว่า “ขอโทษ” ออกมาได้ สำคัญน้อยกว่าการที่เด็กได้เรียนรู้เข้าใจความผิดพลาด และไม่ใช้วิธีเดิมๆในการแก้ปัญหาอีก
เด็กบางคนที่ไม่ยอมขอโทษเป็นเพราะเด็กคิดว่าตัวเองไม่ผิด เช่น เด็กตีเพื่อน เพราะเพื่อนมาแหย่ก่อน ผู้ใหญ่ต้องช่วยให้เด็กแยกแยะประเด็นได้ว่า การที่เพื่อนแหย่เด็กอันนี้เป็นความผิดของเพื่อน เด็กรู้สึกโกรธเพื่อนได้ แต่เด็กต้องควบคุมความโกรธให้ได้ ความผิดของเด็ก คือ การที่ตีเพื่อนกลับ เพราะเป็นการใช้ความรุนแรง
บางครั้งเด็กรู้ว่าตัวเองผิด สมควรเป็นฝ่ายขอโทษ แต่เด็กกลัวว่าถ้าพูดขอโทษออกไป คือ การเสียหน้าเสียศักดิ์ศรี เป็นการยอมแพ้ ผู้ใหญ่ต้องคุยให้เด็กเปลี่ยนวิธีคิดเรื่องการขอโทษใหม่ บอกให้เด็กรู้ว่าถ้าขอโทษไปสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นคืออะไร แล้วถ้าไม่ขอโทษมีผลเสียอย่างไร เช่น เพื่อนจะโกรธแล้วไม่ยอมเล่นด้วยอีก, คนอื่นๆคิดว่าเด็กนิสัยไม่ดี ไม่น่าคบ ทำให้เด็กไม่มีเพื่อน
• วิธีฝึกเรื่องการขอโทษ
1. หากเด็กกำลังโกรธ โวยวาย ไม่พร้อมจะรับฟังสิ่งที่ผู้ใหญ่พูด ควรช่วยให้เด็กสงบอารมณ์ได้ก่อน แล้วค่อยคุย หลีกเลี่ยงการบังคับให้เด็กพูด “ขอโทษ” ตอนที่ยังไม่พร้อม เพราะเด็กจะพูดคำนี้ออกมาเพื่อให้เรื่องจบๆไป แต่ไม่ได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นอย่างแท้จริง บางครั้งเด็กอาจโกรธอาละวาดมากขึ้นถ้าถูกบังคับ
2. ผู้ใหญ่พูดคุยกับเด็กที่ทำผิดโดยไม่ใช้อารมณ์ ถามที่มาที่ไปของพฤติกรรมที่เด็กทำผิด ฟังเด็กอย่างตั้งใจ (Active listening) เพื่อทำความเข้าใจ และลองถามให้เด็กลองคิดในมุมกลับกันว่า ถ้าเป็นคนที่ถูกกระทำเด็กจะรู้สึกอย่างไร และอยากให้คนอื่นทำกับตัวเองแบบไหน (Empathy)
3. ให้เด็กช่วยกันคิดว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ในเหตุการณ์เดิมหรือหากเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต เด็กจะทำเหมือนเดิมหรือแตกต่างจากเดิมอย่างไร เพราะอะไร
4. ถ้าเด็กเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้น อยากจะขอโทษอีกฝ่าย และอยากทำอะไรเพื่อเป็นการแก้ไขผลเสียที่เกิดขึ้น เช่น ทำของเล่นเพื่อนพัง เด็กต้องการจะซื้อชดใช้ ผู้ใหญ่ต้องช่วยซ้อมบทบาทสมมุติกับเด็กก่อนลงมือทำจริงว่าจะขอโทษอีกฝ่ายอย่างไร (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการแสดงออกของภาษากาย) และลองสมมุติสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้หลังจากเด็กไปขอโทษแล้ว เช่น เพื่อนโกรธ ต่อว่ากลับ บอกว่าไม่ยกโทษให้ เพื่อให้เด็กเตรียมรับมือ
5. วิธีการพูดขอโทษมีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ บอกให้จำเพาะ (Get specific) ว่าพฤติกรรมไหนของเด็กที่คิดว่าทำผิดไป, แสดงการยอมรับสำนึกผิด, วิธีการป้องกันไม่ให้ทำผิดซ้ำ และเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้พูด คนที่เราไปขอโทษมีสิทธิที่จะยกโทษให้หรือไม่ยกโทษให้ในตอนนี้ บางอย่างต้องใช้เวลาในการทำใจให้อภัย แต่อย่างน้อยเราได้แสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ตัวเองทำผิดไปแล้ว
6. หากเด็กยืนกรานว่าจะไม่ขอโทษในตอนนั้น ผู้ใหญ่ต้องให้เวลาเด็กในการคิดไตร่ตรองข้อดีข้อเสียว่าจะไปขอโทษหรือไม่ขอโทษ ค่อยๆพูดกับเด็กเป็นระยะ
7. ให้การชื่นชมความกล้าหาญถ้าเด็กยอมไปขอโทษ
8. หากผู้ใหญ่อยู่ในเหตุการณ์ที่เด็กทะเลาะกัน ได้พยายามคุยด้วยเหตุผลกับเด็กที่เป็นฝ่ายทำผิดว่าให้ขอโทษอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่สำนึกผิดจริงๆแต่เด็กยังไม่ยอมขอโทษและยืนยันอยู่ว่าไม่ผิด ให้ผู้ใหญ่เลิกให้ความสนใจกับเด็กที่ทำผิด แต่ไปให้ความห่วงใยและการดูแลอีกฝ่าย (Extra attention to the hurt party)
9. เรื่อง “ขอโทษ” กับ “การลงโทษ” เป็นคนละเรื่องกัน หากมีการตกลงกติกากันไว้แล้วว่า “ถ้า…สิ่งที่จะตามมา คือ…” เช่น ถูกหักค่าขนม, ถูกลดเวลาเล่นเกม ผู้ใหญ่ต้องให้เด็กได้รับผลที่ตกลงกันไว้ ไม่นำเรื่องขอโทษมาเป็นข้อยกเว้น เช่น ถ้าเด็กยอมขอโทษจะไม่ทำโทษ เพราะเด็กจะพูดคำว่า “ขอโทษ” เพื่อให้ไม่ต้องถูกลงโทษ แต่เด็กจะไม่ได้เรียนรู้ว่าตัวเองทำผิดอะไรไป และจะแก้ไขอย่างไร
10. ผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีเรื่องการขอโทษ หากผู้ใหญ่ทำสิ่งที่ผิดพลาด ผู้ใหญ่ก็ขอโทษเด็กได้ ไม่ได้แปลว่าการขอโทษนั้นจะทำให้ผู้ใหญ่สูญเสียอำนาจในการปกครอง
ถ้าสังคมไทยมีการฝึกเด็กเรื่องการขอโทษและการรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำไป เพื่อที่จะเรียนรู้และพัฒนาไม่ให้เกิดความผิดซ้ำซาก โดยผู้ใหญ่เป็นแบบอย่างที่ดี สิ่งแวดล้อมต่างๆ จะน่าอยู่มากกว่านี้ :))
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– คอสเพลย์นี้…ช่างดีต่อใจ
– โนมิไกดื่มเหล้าให้จงหนัก: ผลเสียที่ตามมา
– Maison Kitsuné จิ้งจอกญี่ปุ่นที่กลมกลืนไปกับชาวฝรั่งเศส: ความสามารถในการปรับตัว
– มูจิความเรียบง่ายที่ดีต่อใจ
– นกกระเรียนแทนคุณ: การทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304
#เมื่อเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นติดโควิดและคำขอโทษ