จากประสบการณ์ที่เคยทำงานกับทั้งบริษัทญี่ปุ่น อเมริกันและยุโรป หากจะถามว่าแบบไหนดีกว่ากันคงต้องตอบว่าแล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลเพราะทุกข้อดีย่อมมีข้อเสียค่ะแล้วแต่เราจะเลือก เรามาเริ่มเปรียบเทียบกันเป็นข้อต่อข้อไปเลยนะคะ
สวัสดีค่า จากประสบการณ์ที่เคยทำงานกับทั้งบริษัทญี่ปุ่น อเมริกันและยุโรป วันนี้เลยอยากจะมาเล่าให้ฟังถึงความเหมือนและความต่างของบริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรที่ต่างกัน
แต่ต้องออกตัวไว้ก่อนว่าสิ่งที่เขียนเป็นเพียงแค่ข้อมูลส่วนตัวและไม่ได้มีเจตนาจะเหมารวมว่าทุกบริษัทเหมือนกัน หากจะถามว่าแบบไหนดีกว่ากันคงต้องตอบว่าแล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลเพราะทุกข้อดีย่อมมีข้อเสียค่ะแล้วแต่เราจะเลือก เรามาเริ่มเปรียบเทียบกันเป็นข้อต่อข้อไปเลยนะคะ

1) เวลาทำงาน
ในเรื่องของเวลาเข้าออกงาน จริงๆแล้วอาจจะแล้วแต่กฏระเบียบของแต่ละบริษัท แต่โดยทั่วไปบริษัทญี่ปุ่นจะเคร่งครัดเรื่องเวลาการเข้าออกงานมากกว่า ยกเว้นตำแหน่งที่ต้องออกไปพบลูกค้าข้างนอกบ่อยๆเช่น เซลล์ ก็อาจจะไม่ต้องเข้าออกตรงเวลามากนัก
บริษัทญี่ปุ่นบางบริษัทยังมีระบบ Flexible Hour คือเข้ากี่โมงก็ได้ตามใจเรา แล้วก็นับไป 8 ชั่วโมงก็เลิกงานได้ เช่น หากมาทำงาน 7 โมงเช้าก็เลิกงาน 4 โมงเย็นได้ อย่างไรก็ตามบริษัทญี่ปุ่นก็คาดหวังให้ทำงานหนักมากกว่า
ส่วนบริษัทฝรั่งที่ดิฉันเคยทำมานั้น เจ้านายจะไม่เคร่งครัดเรื่องเวลามากนัก ขอแค่ไม่ได้มาสายหรือขาดงานบ่อยจนน่าเกลียด บางบริษัทยังมีระบบให้ทำงานจากที่บ้านได้เดือนละครั้ง ในเรื่องวันลาประจำปี แน่นอนบริษัทฝรั่งมีวันลาพักร้อนมากกว่ามาก เพราะฝรั่งเน้นเรื่องความสมดุลระหว่างเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว (Work Life Balance) ส่วนใหญ่พอเริ่มเข้าไปทำงานปุ๊บก็ได้วันลาพักร้อนสองอาทิตย์ปั๊บ ดังนั้นจึงมักจะเห็นเพื่อนร่วมงานไปเที่ยวต่างประเทศลากันทีแบบหายไปเลย แต่บริษัทญี่ปุ่นมีวันลาน้อยกว่า และอาจไม่ได้รับการอนุญาตให้ลาเลยหากเริ่มทำงานปีแรก พอปีถัดมาก็อาจมีวันลาพักร้อนเพียงแค่ 6 วัน
2) การแต่งกาย
โดยทั่วไปบริษัทฝรั่งจะยึดหยุ่นในเรื่องการแต่งกายมาก เจ้านายเองหากไม่ได้ไปพบลูกค้าก็แต่งตัวสบายๆ ไม่เป็นทางการ บางบริษัทยังอาจมีการกำหนดวันเช่น ทุกวันศุกร์พนักงานสามารถใส่ชุดอะไรก็ได้มาทำงาน บริษัทญี่ปุ่นเน้นระเบียบวินัย จึงมักมีกฏให้พนักงานแต่งตัวเรียบร้อย เช่น ห้ามใส่รองเท้าแตะ เสื้อแขนกุด หรือกางเกงที่ไม่สุภาพมาทำงาน หลายบริษัทอาจมีให้ใส่ชุดยูนิฟอร์มของบริษัทด้วยเช่นกัน
3) โต๊ะทำงาน
บริษัทญี่ปุ่นกับบริษัทฝรั่งจะมีลักษณะแตกต่างของโต๊ะทำงาน บริษัทญี่ปุ่นโดยทั่วไปจะวางโต๊ะพนักงานติดๆ กันทั้งแผนก โดยแต่ละโต๊ะจะไม่มีอะไรกั้น เจ้านายคนญี่ปุ่นก็อาจจะนั่งหัวโต๊ะ หรือมีห้องทำงานเล็กๆ ห้องทำงานจะโล่งๆ มองเห็นทั่วถึงกันหมด แต่บริษัทฝรั่งโดยทั่วไปโต๊ะอาจจะใหญ่กว่าและมีที่กั้นเพราะเน้นความเป็นส่วนตัวมากกว่า ยิ่งหากเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดมากๆ ก็อาจจะเป็นห้องที่สงบมากๆ
4) การสื่อสารภายในองค์กร
จากประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา ดิฉันพบว่าลักษณะของคนที่ทำงานบริษัทฝรั่งส่วนใหญ่จะนิยมแสดงความคิดเห็นในที่ประชุมแบบตรงไปตรงมามากกว่าคนที่ทำงานบริษัทญี่ปุ่น ส่วนหนึ่งดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพราะการศึกษา เพราะคนที่ทำงานบริษัทฝรั่งอาจจบการศึกษาจากประเทศตะวันตกซึ่งมีระบบการเรียนการสอนแบบให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นในห้องเรียนมากกว่าชาวเอเชีย
ดิฉันพบว่าคนที่ทำงานบริษัทญี่ปุ่น นอกจากคนที่มีตำแหน่งบริหารงาน พนักงานส่วนมากมักจะค่อนข้างสงบเสงี่ยมและไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นมากเท่ากับบริษัทฝรั่ง ซึ่งอาจเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่แตกต่างกัน ความแตกต่างในเรื่องการสื่อสารยังส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายและลูกน้อง ดิฉันพบว่าเจ้านายฝรั่งมักจะย้ำแล้วย้ำอีกว่าหากมีประเด็นหรือความเห็นใดๆ ให้สามารถบอกได้ทันที เจ้านายจะรับฟังแม้ว่าจะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ซึ่งเจ้านายคนญี่ปุ่นอาจจะรับไม่ได้
บริษัทฝรั่งยังเน้นการประเมินหัวหน้าคือ ลูกน้องสามารถประเมินเจ้านายได้ และถ้าเจ้านายคนไหนถูกประเมินไม่ดีแล้วละก็ต้องหนาวเลยค่ะ เพราะถือว่าเป็นข้อบกพร่องในการบริหารงาน ส่วนบริษัทญี่ปุ่นบางที่มีระบบการให้ประเมินเจ้านายก็จริง แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรมากนักเพราะอย่างไรก็ตามการตัดสินใจเลือกผู้บริหารมาจากสำนักงานใหญ่ที่ประเทศญี่ปุ่น
5) ระบบการบริหาร
ดิฉันคิดว่าบริษัทฝรั่งมีระบบการบริหารงานแบบแนวราบมากกว่า คือพนักงานแต่ละคนอาจขึ้นกับเจ้านายแค่คนเดียว ซึ่งมีอำนาจตัดสินใจเรื่องส่วนใหญ่ได้เลย แต่บริษัทญี่ปุ่นอาจมีผู้จัดการหลายๆ ระดับ ซึ่งอาจทำให้ต้องใช้เวลานานในการตัดสินใจแต่ละเรื่อง เพราะต้องยื่นเรื่องเป็นลำดับขั้นไป บางทีก็แอบเซ็งเล็กน้อยเพราะแม้แต่การเบิกค่าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ ก็อาจต้องยื่นเรื่องไปจนถึงระดับบนสุด
6) ระบบในการทำงานและการวัดผล
สำหรับดิฉันบริษัทฝรั่งจะเน้นที่การพัฒนาบุคลากรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ และความสามารถเฉพาะตัว หรืออาจมีการใช้ระบบคอมพิวเตอร์หลายๆ ระบบเข้ามาบริหารงาน และให้พนักงานคุ้นเคยกับระบบต่างๆ บริษัทฝรั่งโดยมากจะไม่ค่อยย้ายแผนก แต่บริษัทญี่ปุ่นมักจะให้เปลี่ยนความรับผิดชอบไปส่วนงานอื่นๆ บ่อยกว่า
การวัดผลงานของบริษัทฝรั่ง เน้นที่ผลงานล้วนๆ และหากทำไม่ได้ตามเป้าที่ตั้งเอาไว้เป็นระยะเวลาหนึ่งก็อาจจะต้องเสียวสันหลัง แต่บริษัทญี่ปุ่นจะประนีประนอมมากกว่า ตอนที่ดิฉันอยู่บริษัทฝรั่งขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เซลล์จะมีเป้าวัดกันเป็นรายอาทิตย์ หากอาทิตย์ไหนที่เซลล์คนไหนขายได้ยอดน้อยที่สุด ก็ต้องอธิบายเหตุผลให้คนทั้งบริษัทฟังเสียยกใหญ่เลยค่ะ หากขายตามเป้าไม่ได้หลายๆ เดือน ก็อาจถูกเรียกพบหัวหน้าและถูกพิจารณาว่าจะได้ทำงานต่อหรือไม่
7) ความสัมพันธ์ระยะสั้น ระยะยาว
ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ดิฉันคิดว่าเป็นความแตกต่างจุดที่ใหญ่ที่สุดระหว่างบริษัททั้งสองวัฒนธรรมนี้ เพราะหมายถึงทั้งความสัมพันธ์ของบริษัทต่อลูกค้าและความสัมพันธ์ต่อพนักงาน ในเรื่องความสัมพันธ์กับลูกค้า
บริษัทฝรั่งจะเน้นการได้กำไรสูงสุดในระยะเวลาที่สั้นที่สุดมากกว่าการมองเรื่องความสัมพันธ์ระยะยาว ในยามวิกฤตที่ต้องทำกำไรอย่างเร่งด่วน บริษัทฝรั่งอาจปฏิเสธลูกค้าเก่าๆ หลายๆ รายเพื่อไปรับลูกค้าใหม่ๆ ที่ให้ผลประโยชน์เยอะกว่า
ส่วนบริษัทญี่ปุ่นจะเน้นการไว้เนื้อเชื่อใจกันและการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ยั่งยืน ในส่วนความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทกับพนักงานนั้น บริษัทญี่ปุ่นจะดูแลเหมือนเป็นครอบครัว และจะไม่ให้ใครออกง่ายๆ หากบริษัทไม่ได้อยู่ในสภาวะเลวร้ายจริงๆ ซึ่งสิ่งนี้ก็อาจสร้างปัญหาทำให้หลายคนทำงานไปวันๆ แบบไม่มีพัฒนาการ เนื่องจากรู้ว่ายังไงบริษัทก็ไม่ไล่ออกอยู่แล้ว
แต่บริษัทฝรั่งที่ดิฉันเคยทำมานั้น จะเน้นที่ผลงานมากกว่า หากพนักงานไม่สร้างผลงานที่น่าพึงพอใจในระยะเวลาที่กำหนดก็อาจจะโดนให้ออกเลยทีเดียว ทำให้พนักงานต้องมีความกระตือรือร้นมากขึ้น หรืออย่างเวลามีการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร บริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็จะย้ายพนักงานจากแผนกที่ถูกยุบไปฝ่ายอีก แต่บริษัทฝรั่งส่วนใหญ่อาจจะจ้างให้ออกไปเลยค่ะ
#ทํางานบริษัทญี่ปุ่น