การ์ตูนไม่ใช่สื่อที่สนใจเรื่องเงินจนมองข้ามจริยธรรมไป พวกเขาเชื่อว่าหาก “ผู้ปกครอง” ช่วยกันดูแลบุตรหลาน ไม่ให้เข้าใจเรื่องที่ปรากฏในหนังสือผิดไป คุณประโยชน์ของการ์ตูน ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าหนังสือเรียนเลย
ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ผมมักได้รับคำวิจารณ์เกี่ยวกับการ์ตูนญี่ปุ่นเป็นอย่างมาก บ้างก็ว่ามันเป็นสิ่งที่เหมาะสำหรับเด็กเท่านั้น บ้างก็ว่ามันเป็นสิ่งที่นำพาความชั่วร้ายมาสู่จิตใจของเด็ก และเป็นสาเหตุของการเกิดอาชญากรรม
ผมคิดว่าเรื่องนี้ไม่จริงเลยครับ การ์ตูน (และอาจรวมไปถึงเกมส์) มักกลายเป็นเหยื่อของสถานการณ์อยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นวันนี้ผมอยากหยิบประเด็นเรื่องของ “ธุรกิจการ์ตูน” ในญี่ปุ่นออกมาพูดถึงกันสักหน่อย หวังว่าจะทำให้ผู้อ่านได้เห็นมุมมองและความสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า “การ์ตูน” มากยิ่งขึ้นครับ

ธุรกิจการ์ตูนปัจจุบันนั้นจะแยกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. การ์ตูนทั่วไป เจาะตลาดทุกเพศทุกวัย 2. การ์ตูนที่เจาะตลาดโอตาคุ (เรื่องอาจจะสุดโต่งไปในทางใดทางหนึ่ง) และ 3. ไลท์ โนเวล ซึ่งแม้จะไม่ใช่การ์ตูนโดยตรง แต่ก็จัดอยู่ในโครงสร้างเดียวกันเนื่องจากมีความเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องอย่าง ชัดเจน…
ปัจจุบันธุรกิจการ์ตูนญี่ปุ่นยังเป็นรากฐานหลักๆที่สำคัญ ของธุรกิจหนังสือในภาพรวมอีกด้วย หลายๆ บริษัทพยายามสร้างการ์ตูนเป็นของตัวเอง บ้างสำเร็จ บ้างล้มเหลว แต่ความพยายามเหล่านี้ไม่เคยหมดไป ทั้งนี้เพราะธุรกิจหนังสือในด้านอื่นๆ ล้วนมียอดขายที่ตกลง และยากต่อการจัดจำหน่ายไปต่างประเทศ แต่การ์ตูนนั้นหากเราทำสำเร็จสักเรื่องหนึ่ง มันสามารถกระจายไปในนานาประเทศอย่างง่ายดาย และมันจะช่วยเรื่องความอยู่รอดขององค์กรได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด

พูดถึงธุรกิจการ์ตูนแล้ว ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตราส่วนในเรื่องของ “การจัดพิมพ์การ์ตูน” สูงที่สุดในโลก กล่าวคือเทียบเป็น 25% ของจำนวนหนังสือทั้งหมด หรือเปรียบเทียบง่ายๆ ว่าในการพิมพ์หนังสือ 4 เล่ม จะมีหนังสือการ์ตูน 1 เล่ม และประเทศที่มีอัตราการพิมพ์รองลงมาก็คือ “ฝรั่งเศส” อยู่ที่ 10% ของอัตราหนังสือทั้งหมด ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ไม่เลวเลยล่ะครับ

ทีนี้ทำไมญี่ปุ่นถึงมีการ์ตูนมากมาย?
ทำไมญี่ปุ่นถึงมีอัตราคนชื่นชอบอ่านการ์ตูนเยอะขนาดนี้?
จากการค้นคว้าประวัติศาสตร์การพิมพ์จะพบว่าสาเหตุสำคัญคือ “สงครามโลกครั้งที่ 2” ตอนนั้นญี่ปุ่นไม่เหลือทรัพยากรเพียงพอต่อการทำกิจใดๆ เลย แน่นอนสำหรับคนที่เป็นใหญ่เป็นโต หรือคนที่พอมีเส้นสายอยู่บ้าง การทำธุรกิจบันเทิงของพวกเขาไม่ใช่เรื่องยาก แต่สำหรับคนที่เป็นศิลปินหน้าใหม่ หรือเป็นเด็กนักเรียนสายบันเทิงที่มีไฟในการทำงาน พวกเขาไม่สามารถทำได้ ประเทศไม่มีทรัพยากรพอที่จะสนับสนุนพวกเขา ดังนั้นคนที่เรียนการละคร การกำกับภาพยนตร์ ก็หมดหนทางในการแสดงออกไปโดยปริยาย
ดังนั้นวิธีที่เขาจะทำได้ดีที่สุดก็คือ “การวาดการ์ตูน” ซึ่งตรงนี้มีรากฐานมาจากการวาด Storyboard นั่นเองครับ และจากนั้นเองเมื่อมีคนหันมาวาดการ์ตูนมากขึ้น มันก็กลายเป็นกระแสอย่างรวดเร็ว ด้วยมันเป็นสื่อสิงพิมพ์ที่คนเข้าถึงได้ในราคาไม่แพง (และแน่นอนสามารถเก็บสะสมไว้ได้ ต่างจากสื่อโทรทัศน์ที่ได้แต่ดูและปล่อยผ่านไป) ตอนนั้นเองที่คนวาดการ์ตูนกลายเป็นอาชีพทำเงินอย่างรวดเร็ว เด็กมากมายมอง “นักวาดการ์ตูน” เป็นไอดอล คนญี่ปุ่นถึงกับเรียกการ์ตูนว่า “ความฝันของคนญี่ปุ่น” (The Japanese Dream) …
ลองนึกภาพนะครับ ในยุคหลังสงครามนั้นญี่ปุ่นเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ คนหมดหวังมากๆ ตอนนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่ “สร้างความเชื่อมั่นให้กับคนในชาติ” คนญี่ปุ่นต้องการแรงบันดาลใจกลับมา (สิ่งที่เกิดขึ้นในยุคนั้นอื่นๆ ก็เช่นวงการมวยปล้ำ ที่เอาคนอเมริกามาแพ้คนญี่ปุ่น หรือขบวนการซุปเปอร์ฮีโร่ที่เหมือนพยายามบอกคนในชาติว่าพวกเขาแข็งแกร่ง) ว่ากันว่าวงการญี่ปุ่นจะไม่แข็งแกร่งแบบนี้เลย หากไม่ได้รับแรงส่งมาจากปัญหาสงครามจนกลายเป็นวาระแห่งชาติแบบนี้ครับ

ทีนี้ศิลปินการ์ตูนคนสำคัญของประเทศในตอนนั้นที่ถือว่ามีอิทธิพลสูงสุด ก็คือ “เท็ดสึกะ โอซามุ” (Tezuka Osamu) ศิลปินชื่อดังจากเรื่อง “เจ้าหนูอะตอม” นั่นเอง เรื่องราวของเขาคือ เขาเป็นคนที่ชิ่นชอบงานของดิสนีย์มากๆ ครับ ความฝันของเขาคือการทำอนิเมชั่นแบบดิสนีย์ในญี่ปุ่น แต่เมื่อเขาไม่สามารถทำได้ในตอนนั้น เขาก็เลยหันเอามาใส่ในการ์ตูนแทน และกลายเป็นจุดเด่นตรงที่การเล่าเรื่องของเขาเหมือนกับผู้อ่านกำลังดู ภาพยนตร์ มีการใส่สาระความรู้เข้าไปอย่างมากมาย อย่างเช่นเรื่องของวิทยาศาสตร์ ซึ่งถือเป็นของใหม่ และนอกจากนี้เขายังใส่เรื่องของความเป็นความตาย หรือสิ่งที่เหมือนกับคนในชีวิตจริง มีอารมณ์ความรู้สึก (แม้จะ based on การ์ตูนก็เถอะ) ตรงจุดนี้ก็กลายเป็นกระแสและกลายเป็นที่นิยมอย่างสูงครับ
ปี 2015 ถือเป็นปีที่สำคัญของวงการการ์ตูนญี่ปุ่นครับ เพราะเป็นการครบรอบ 70 ปีที่สงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง (วงการสิ่งพิมพ์ญี่ปุ่นถือว่าการจบสงครามโลก เป็นจุดเริ่มต้นของวงการการ์ตูนอย่างเป็นทางการครับ) สิ่งที่ทางวงการการ์ตูนญี่ปุ่นต้องการมากที่สุดในวาระครบรอบนี้ ก็คือการเผยแพร่การ์ตูนญี่ปุ่นออกไปให้มากขึ้น และต้องการ “เปลี่ยนทัศนคติ” ของคนที่มองการ์ตูนเข้ามาครับ พวกเขารู้เสมอว่าในการ์ตูนทุกอย่างนั้น ล้วนสร้างมาเพื่อ “ตอบสนองความต้องการ” ของผู้อ่าน แน่นอนว่าอาจมีเรื่องความรุนแรง เรื่องเพศ ฯลฯ ซึ่งอาจสร้างความไม่สบายใจให้กับผู้ปกครอง เพียงแต่สิ่งเหล่านี้พวกเขาก็ควบคุมอย่างชัดเจน
การ์ตูนคงไม่ใช่สื่อที่สนใจเรื่องเงินจนมองข้ามจริยธรรมไป พวกเขาเชื่อว่าหาก “ผู้ปกครอง” ช่วยกันดูแลบุตรหลาน ไม่ให้เข้าใจเรื่องที่ปรากฏในหนังสือผิดไป คุณประโยชน์ของการ์ตูน ก็ไม่ได้น้อยไปกว่าหนังสือเรียนเลยครับ บางครั้งเรามีชีวิตที่ต้องการเหตุผลมากเกินไป ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเราลองใช้ชีวิตแบบไม่ต้องมีเหตุผลรองรับมากก็ได้ การ์ตูนเองก็เป็นอีกสื่อหนึ่งที่ทำให้เราผ่อนคลายเหมือนหลุดไปอยู่อีกโลก หนึ่ง

ดังนั้นผมอยากฝากทุกคนว่าอย่าเพิ่งตัดสินการ์ตูน โดยที่คุณยังไม่รู้จักเลยครับ ผมเชื่อว่าวันหนึ่งคุณเคยเป็นเด็กที่หัวเราะและยิ้มไปกับการ์ตูนตรงหน้า แล้วทำไมพอเวลาผ่านไปเราต้องให้การ์ตูนเป็นเหยื่อของอายุที่เพิ่มมากขึ้น ด้วยล่ะครับ ? ทำความเข้าใจกับมัน คัดกรองมัน แล้วเราจะพบอะไรดีๆ อีกเยอะในสิ่งเหล่านี้ครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า หรือทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ