บ่อเกิดและการจัดหมวดหมู่ของคาราเต้
พอผู้เขียนได้เขียนบทความเกี่ยวกับวิทยายุทธจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องคาราเต้ ก็เริ่มมีมิตรสหายส่งข้อความมาสอบถามกันอยู่ประปรายในหลายประเด็น จึงตัดสินใจว่าจะเขียนสรุปบ่อเกิดของคาราเต้ รวมทั้งการจัดหมวดหมู่ของคาราเต้เอาไว้ในบทความนี้ ส่วนคำถามของมิตรสหายบางคำถามนั้นได้รวบรวมไว้ในงานเขียนก่อน ๆ แล้ว เช่น คำถามที่ฮิตสุดคือ ‘คาราเต้ และ เทควันโด ต่างกันอย่างไร’ ได้เขียนอธิบายไว้ที่ คาราเต้ และ เทควันโด ต่างกันอย่างไร อีกคำถามที่ฮิตถามกันเข้ามาคือ ‘ทำไมญี่ปุ่นมีวิชาการต่อสู้เยอะมาก และแต่ละวิชาต่างกันอย่างไร’ ก็ได้อธิบายไว้แล้วใน ‘ศิลปะการต่อสู้ญี่ปุ่น’ ยุทธศาสตร์หลอมรวมจิตใจหลังสงคราม
ส่วนวันนี้จะขอพูดถึงการจัดหมวดหมู่ของคาราเต้ในเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปหลายเกณฑ์
เกณฑ์ ‘บ่อเกิดของคาราเต้’
บ่อเกิดที่เก่าแก่ที่สุดของวิชาคาราเต้คือ ราชอาณาจักรริวกิว (琉球王国) โดยเดิมทีศิลปะการต่อสู้โบราณชนิดนี้ในภาษาริวกิวจะเรียกว่า ‘ที (ティー)’ หรือในภาษาญี่ปุ่นมาตรฐานคือ เทะ (手) แต่ภายหลังมีการรับวิทยายุทธจากจีนในสมัยปลายราชวงศ์ถัง จึงเอาอักษร ถัง (唐) มารวมกับอักษร เทะ (手) กลายเป็นวิชา ‘โทเดะ (唐手)’
แต่แล้วในภายหลังริวกิวถูกผนวกเข้าเป็นญี่ปุ่น และเมื่อสัมพันธภาพจีน-ญี่ปุ่นแย่ลงเรื่อย ๆ จึงมีความพยายามกำจัดอักษร ถัง (唐) ออก เนื่องจากอักษร 唐手 สามารถอ่านได้ 2 แบบคืออ่านว่า ’โทเดะ’ ก็ได้ และอ่านว่า ‘คะระเทะ’ ก็ได้ จึงมีความพยายามเปลี่ยนจากอ่านโทเดะให้ไปอ่าน คะระเทะ แล้วพยายามเปลี่ยนตัวอักษรจากคะระเทะ (唐手: เพลงมวยราชวงศ์ถัง) ให้กลายเป็น คะระเทะ (空手: เพลงมวยสู้มือเปล่า) เพื่อกำจัดความเป็นจีนทิ้งไปจากสิ่งนี้ (อ่านรายละเอียดได้ที่ คาราเต้: ความเป็นมาก่อนจะกลายเป็น 1 ในกีฬาโอลิมปิก 2020 และ The Karate Kid และ Cobra Kai: พลังแห่งอารยธรรมญี่ปุ่นในอเมริกาและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในเรื่อง)
วิชาโทเดะในสมัยโบราณที่ยังเป็นราชอาณาจักรริวกิวนั้นไม่ได้มีการแบ่งประเภทหรือแบ่งสำนักไว้ชัดเจน แต่การแบ่งนี้เกิดขึ้นในภายหลังโดยผู้ศึกษาคาราเต้ โดยอาศัยเกณฑ์ถิ่นที่อยู่ของผู้ฝึกวิชาสายนั้น ๆ เป็นหลักในการแบ่ง ซึ่งเป็นเพียงแนวโน้ม ไม่ได้เป็นการแบ่งออกจากกันอย่างเด็ดขาดแต่อย่างใด (แผนที่ริวกิวโบราณจาก 首里手愛好会/Society_of_shurite_fans ) มีทั้งหมด 3 บ่อเกิดวิชาดังนี้
- ชุริ-เทะ (首里手): นิยมฝึกในกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงปราสาทชุริ (首里城) ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นภูเขาและเนินสูง เนื่องจากเป็นวิชาที่ทหารในวังหลวงนิยมฝึก จึงมีวัตถุประสงค์ไว้ใช้มือเปล่าสู้กับอีกฝ่ายที่มีอาวุธเช่น ดาบ หรือ หอกและทวน จึงเน้นการทิ้งระยะห่างให้พ้นอาวุธของศัตรูแล้วเน้นพุ่งตัวจู่โจมแบบกระโจนได้ทีละหลาย ๆ เมตรเพื่อย่อระยะ จึงมี Dynamic ในการเคลื่อนไหวสูง (เคลื่อนไหวเป็นวงกว้างและรวดเร็วรุนแรง) มีท่าจู่โจมระยะไกลที่รุนแรงมีประสิทธิภาพ จึงนิยมเรียกวิชาโทเดะแนวพุ่งตัวกลุ่มนี้ว่าชุริ-เทะตามถิ่นกำเนิดอันเป็นบ่อเกิดของวิชา
- นะฮะ-เทะ (那覇手): เมืองนะฮะคือเมืองหลวงของจังหวัด Okinawa ในปัจจุบัน แต่ในอดีตเมืองนะฮะเป็นเมีองท่าเรือนานาชาติที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายของน่านน้ำสากลในเอเชีย วิชาโทเดะที่นิยมฝึกกันในบริเวณนี้เป็นวิชาของสามัญชนและพ่อค้าในบริเวณท่าเรือนะฮะ และเนื่องจากกฎหมายริวกิวเข้มงวดห้ามประชาชนพกอาวุธโดยเด็ดขาด วิชานะฮะ-เทะจึงพัฒนาเพื่อเอาไว้ทั้งต่อสู้มือเปล่าและทั้งต่อสู้กับอาวุธที่ไม่ใช่อาวุธโดยสภาพ (เช่น ไม้ มีดทำครัว จอบ เสียม โม่แป้ง ขวด ฯลฯ) รวมทั้งป้องกันการลื่นล้มบริเวณท่าเรือที่เปียกแฉะหรือมีเศษไม้เศษตะปู ต้องสู้บนโป๊ะหรือสู้บนเรืออันมีพื้นที่จำกัดในการเคลื่อนไหว วิชานะฮะ-เทะจึงตรงข้ามกับชุริ-เทะทุกอย่าง คือนะฮะ-เทะเน้นสู้ประชิดตัวมาก ๆ แบบไม่เว้นระยะห่าง และไม่พุ่งตัวหาศัตรูถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ และจะพยายามไม่เตะสูงกว่าเอวเพื่อทรงตัวให้ดีที่สุด จึงมี Dynamic ในการเคลื่อนไหวน้อยกว่าชุริ-เทะ และไม่เน้นท่าจู่โจมระยะไกล รวมทั้งมีลักษณะของมวยจีนชัดเจนกว่าของชุริ-เทะอีกด้วย เพราะเป็นท่าเรือนานาชาติจึงมีการแลกเปลี่ยนวิชากับทางจีนอยู่เยอะกว่าสายชุริ-เทะ เรียกวิชาโทเดะแนวสู้ประชิดตัวกลุ่มนี้ว่านะฮะ-เทะตามถิ่นกำเนิดอันเป็นบ่อเกิดของวิชา
- โทะมะริ-เทะ (泊手): หมู่บ้านโทะมะริก็เป็นเมืองท่าเรืออีกแห่งหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายในริวกิวโบราณ แต่อาจไม่นานาชาติเท่าท่าเรือนะฮะ โดยในปัจจุบันบริเวณหมู่บ้านโทะมะริก็ยังมีท่าเรือโทะมะริให้บริการสัญจรทางน้ำและเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวงนะฮะไปแล้ว ชาวหมู่บ้านโทะมะริสมัยก่อนได้แลกเปลี่ยนวิทยายุทธกับชุริ-เทะและนะฮะ-เทะ รวมทั้งแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าชาวจีนและพ่อค้านานาชาติ วิชาโทะมะริ-เทะจึงมีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างชุริ-เทะและนะฮะ-เทะ แต่จุดเด่นของโทะมะริ-เทะคือการทรงตัวเป็นเลิศแม้จะยืนขาเดียวก็ทรงตัวยืนขาเดียวได้นานกว่าผู้ฝึกสายชุริ-เทะและนะฮะ-เทะโดยเฉลี่ย และเรียกวิชาโทเดะที่ฝึกในบริเวณนี้ว่าโทะมะริ-เทะตามถิ่นกำเนิดของวิชา
เกณฑ์ ‘ชื่อสำนัก’
ปัจจุบันไม่มีวิชาชุริ-เทะ นะฮะ-เทะ และ โทะมะริ-เทะ ที่เหลือแบบเพียว ๆ ไม่มีการปนเปื้อนอีกแล้ว เนื่องจากราชอาณาจักรริวกิวถึงจุดสิ้นสุดลงในปี ค. ศ. 1879 เพราะถูกญี่ปุ่นบุกมายึดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น ราชอาณาจักรริวกิวจึงมีชื่อใหม่คือจังหวัดโอกินาวา ต่อมาในปี ค. ศ. 1922 จึงมีอาจารย์คาราเต้ชาวโอกินาวาคนแรกได้นำวิชาคาราเต้ไปเผยแพร่ที่ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่อย่างเป็นทางการ คืออาจารย์ฟุนะโคะชิ กิชิน (船越義珍) ทำให้คาราเต้เกิดการ Modernization กับอารยธรรมญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่และวิวัฒนาการเป็นเอกเทศแยกออกจากโทเดะของริวกิวโบราณ ในปัจจุบันเมื่อพูดถึงคาราเต้ญี่ปุ่นจึงนิยมแบ่งด้วยเกณฑ์ชื่อสำนักเป็นหลัก และมี 4 สำนักใหญ่ที่เป็นสำนักที่มีผู้ฝึกมากที่สุดในโลกยุคปัจจุบันเป็น Big-4 ของวงการคาราเต้โลก
- สำนักโชโตกัง (松濤館): เป็นคาราเต้ที่มีผู้ฝึกมากที่สุดในโลก มีอิทธิพลต่อวงการคาราเต้ทั่วโลกมากที่สุด มีลักษณะของชุริ-เทะเด่นเป็นพิเศษ เป็นสำนักสายตรงของอาจารย์ฟุนะโคะชิ กิชิน และมีการนำไปฝึกในกองทัพญี่ปุ่นช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่สอง จึงเผยแพร่ไปที่เกาหลี อเมริกา และเผยแพร่ไปทั่วโลกมากที่สุดในปัจจุบัน
- สำนักโกจูริว (剛柔流): มีลักษณะตรงข้ามกับสำนักโชโตกังทุกอย่าง เพราะสำนักโกจูริวมีลักษณะของนะฮะ-เทะเด่นเป็นพิเศษ เรียกว่าโชโตกังสืบทอดการสู้ระยะไกลของชุริ-เทะ ส่วนโกจูริวสืบทอดการสู้ประชิดตัวของนะฮะ-เทะ ก็ว่าได้
- สำนักชิโตริว (糸東流): มีลักษณะผสมทั้งชุริ-เทะและนะฮะ-เทะ (แต่ไม่ได้สืบทอดมาจากโทะมะริ-เทะ เพราะโทะมะริ-เทะไม่เกิดการ Modernization จึงไม่มีสำนักไหนในปัจจุบันที่สืบทอดโทะมะริ-เทะสายตรง) มีลักษณะเด่นคือมีท่าเยอะมาก เทคนิคแพราวพราวเพราะรวมท่าของทั้งชุริ-เทะและนะฮะ-เทะ และมีเทคนิคการปัดป้องแล้วโจมตีสวนกลับที่มีประสิทธิภาพ
- สำนักวะโดริว (和道流): เป็นคาราเต้ที่มีสัดส่วนของชุริ-เทะ แล้วไปผสมกับวิชาจูจุทสึ (柔術) ของญี่ปุ่น เรียกว่าสำนักวะโดริวเป็นลูกผสมระหว่างริวกิวและญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่เลยก็ว่าได้
เกณฑ์ ‘สัญชาติ’
คาราเต้เป็นของนานาชาติมานับศตวรรษแล้วจากตอนที่อธิบายเรื่องบ่อเกิดของคาราเต้ ว่าเป็นสิ่งที่ผสมผสานระหว่างริวกิวและจีนและญี่ปุ่น พอเดินทางไปที่ญี่ปุ่นก็ไปผสมอะไรอีกหลายอย่าง จนในปัจจุบันคาราเต้เป็นวิชาที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและสัญชาติสูงมาก ดังนี้
- Japanese Karate: คือวิชาโทเดะที่วิวัฒนาการขึ้นที่ญี่ปุ่น จนฉีกออกไปจากโทะเดะของ Okinawa ดังที่ได้กล่าวว่ามี Big-4 ของวงการคาราเต้โลกคือ โชโตกัง โกจูริว ชิโตริว และ วะโดริว
- Okinawan Karate: คือวิชาโทเดะที่วิวัฒนาการขึ้นที่โอกินาวาหลังเปลี่ยนจากริวกิวเป็นโอกินาวาแล้ว ที่ไม่เหมือนวิชาคาราเต้ของญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ โดยคาราเต้แบบโอกินาวานั้นจะมี Big-3 คือ สำนักมัตสึบะยะชิริว (松林流) สำนักโกจูริว (剛柔流) และสำนักอุเอะชิริว (上地流) จะสังเกตได้ว่าสำนักโกจูริวเองก็แยกเป็นโกจูริวแบบญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ และ โกจูริวแบบโอกินาวา ซึ่งโกจูริวทั้ง 2 สายก็วิวัฒนาการแยกออกจากกันจนต่างกันพอสมควร
- Korean Karate: ช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นมีการไปยึดเกาหลีและเผยแพร่คาราเต้สำนักโชโตกังให้ชาวเกาหลี แต่วิชาที่เผยแพร่ให้ชาวเกาหลียังเขียนด้วยอักษรโทเดะ พอบวกกับอักษรว่า ‘วิถีแห่ง…(道)’ ชาวเกาหลีเลยเรียกศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้ตามเสียงเกาหลีว่า ทังซุโด (당수도) ที่เป็นเสียงอ่านของอักษร 唐手道 (คะระเทะโด = วิถีแห่งโทเดะ) ก่อนจะวิวัฒนาการไปเน้นการใช้เท้าเตะมากกว่าการใช้มือ ในเกาหลีเองยังถกเถียงกันอยู่ว่าทังซุโดเป็นต้นฉบับของเทควันโด หรือเป็นคนละสิ่งกับเทควันโดกันแน่
- American Karate: ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ชาวอเมริกันได้มีการเรียนรู้ทั้ง Japanese Karate และ Korean Karate แล้วชาวอเมริกันก็นำคาราเต้ของทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีมาผสมกับศิลปะการต่อสู้ของกองทัพอเมริกันหลายประเภท แล้วพัฒนาเป็นวิชาของตัวเองเรียกว่า American Karate โดยเน้นการใช้ในกองทัพสหรัฐอเมริกาที่เน้นใช้จริงในสงคราม จึงมีวัฒนธรรมการฝึกแบบทหารอเมริกัน
เกณฑ์ ‘ปรัชญาของวิชา’
เกณฑ์ข้อนี้จะข้ามพ้นบ่อเกิด ชื่อสำนัก หรือสัญชาติ ของคาราเต้ แต่จะเป็นเรื่องของแนวคิดคือ วัตถุประสงค์ของการฝึกคาราเต้ว่าฝึกไปทำไม
- Traditional Karate: วัตถุประสงค์ดั้งเดิมคือใช้ต่อสู้จริง ใช้ป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองและคนที่ตัวเองห่วงใย จึงใช้ฆ่าหรือใช้ทำร้ายได้จริง รวมท่าโหดทุกท่าเท่าที่สมองมนุษย์จะจินตนาการได้ ในปัจจุบันคือบ้านเมืองมีขื่อแปจึงไม่สามารถฆ่ากันได้เหมือนหลายศตวรรษก่อน แต่คนที่ฝึกสายนี้ก็จะยังคงฝึกท่าต่าง ๆ เหล่านั้นผ่านหุ่นหรือเป้าซ้อม และฝึกแบบ Image Training แทน
- Sport Karate: หลังญี่ปุ่นแพ้สงคราม มีการรณรงค์ให้เอาศิลปะป้องกันตัวของญี่ปุ่นโบราณมาแปลงร่างให้เป็นกีฬา จึงเกิดคาราเต้เพื่อการกีฬา มีกติกาที่ป้องกันการบาดเจ็บของนักแข่ง ท่าโหดร้ายอันตรายทุกท่าถูกห้ามใช้ในกีฬา เวลาประลองก็ต้องใช้ระบบหยุดเมื่อถึงตัว (ที่เรียกว่า ‘ซุนโดะเมะ: 寸止め’) หากจงใจทำร้ายคู่ต่อสู้ ฝ่ายเราเองจะถูกปรับแพ้แทน เรียกว่าแปลงสิ่งที่คนโบราณใช้ฆ่ากันให้กลายเป็นกีฬาที่ห้ามทำร้ายคู่ต่อสู้ได้สำเร็จ
- Full Contact Karate: จัดว่าเป็นสิ่งที่อยู่ก้ำกึ่ง คือไม่ได้ให้ฆ่าหรือทำร้ายกันแบบ Traditional Karate แต่ก็ไม่ได้ปกป้องนักแข่งมากเท่า Sport Karate เพราะ Full Contact Karate สามารถอัดกันเต็มแรงได้ไม่ต้องใช้หลักหยุดเมื่อถึงตัว เพียงแต่ก็จะมีกติกาบางอย่างห้ามทำให้คู่ต่อสู้พิการหรือเสียชีวิต และห้ามใช้ท่าอันตรายบางท่า ผู้เขียนเองมองว่า Full Contact Karate มีความคล้ายมวยไทยอาชีพคือทำร้ายคู่ต่อสู้ได้พอสมควรในระดับที่รับได้ คือห้ามทำร้ายจนพิการหรือเสียชีวิต แต่ไม่ได้ต้องป้องกันคู่ต่อสู้ห้ามให้บาดเจ็บเหมือน Sport
ผู้เขียนได้แจกแจงทั้งบ่อเกิดของคาราเต้ เกณฑ์ชื่อสำนัก เกณฑ์สัญชาติ และ เกณฑ์ปรัชญาของวิชา ไว้ในบทความนี้ เนื่องจากเท่าที่ค้นคว้ายังไม่พบงานเขียนที่เป็นภาษาไทยที่อธิบายสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ไว้ จึงหวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ต่อผู้ฝึก, ผู้สนใจ, นักประวัติศาสตร์, ผู้ที่สนใจในศิลปะป้องกันตัวของเอเชียตะวันออกแนวนี้
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– หมัดดาวเหนือและหมัดดาวใต้ มีจริง?
– วัฒนธรรมกินเนื้อวัวของญี่ปุ่น มาจากตะวันตก? – สุกี้ยากี้เป็นอาหารฝรั่ง?
– ญี่ปุ่นไม่เคยหยุดพัฒนา ด้วยแนวคิด คะจิ-สึสึเคะรุ (勝ち続ける) ที่แปลว่าต้องชนะอย่างต่อเนื่องครั้งแล้วครั้งเล่า
– ช็อกโกแลตวาเลนไทน์ของญี่ปุ่น ที่จริงเป็นอิทธิพลจากอเมริกา?
– การคำนึงถึง “ลูกค้าของลูกค้า” ในธุรกิจญี่ปุ่น
#บ่อเกิดและการจัดหมวดหมู่ของคาราเต้