คาราเต้: ความเป็นมาก่อนจะกลายเป็น 1 ในกีฬาโอลิมปิก 2020
ครั้งที่แล้วพาไปชิมเหล้าอะวะโมะริของ Okinawa ไปแล้ว วันนี้ไหน ๆ กระแสโอลิมปิกก็เพิ่งจบไป แถมยังมีกีฬาประจำจังหวัด Okinawa ได้เข้าบรรจุเป็นกีฬาโอลิมปิกเป็นครั้งแรกอีกด้วย นั่นก็คือ คาราเต้ (Karate) เลยขอพูดถึง Okinawa กันอีกรอบก็แล้วกัน
เดิมทีจังหวัด Okinawa ไม่ได้เป็นประเทศญี่ปุ่น แต่เคยเป็นประเทศเอกราชประเทศหนึ่งที่ชื่อว่า “ราชอาณาจักรริวกิว (琉球王国)” โดยราชอาณาจักรริวกิวนี้มีอายุตั้งแต่ประมาณศตวรรษที่ 15 และสิ้นสุดลงในปี ค. ศ. 1879 เพราะถูกญี่ปุ่นผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศญี่ปุ่น และถูกเปลี่ยนชื่อกลายเป็นจังหวัด Okinawa ไป ศิลปะการป้องกันตัวคาราเต้ของญี่ปุ่นปัจจุบันนี่เองคือมรดกสืบทอดมาจากราชอาณาจักรริวกิวที่ค่อย ๆ เผยแพร่เข้าไปสู่ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่จนกลายเป็นกีฬาประจำชาติของญี่ปุ่นไปในที่สุด
แต่เดิมชาวริวกิวมีศิลปะการต่อสู้มาแต่โบราณที่ชื่อว่า “ที (ティー)” หรือที่ภาษาญี่ปุ่นปัจจุบันออกเสียงว่า “เทะ (手)” วิชาเทะแบบดั้งเดิมเน้นใช้มือในการต่อสู้มากกว่าใช้เท้า และมีการใช้อุปกรณ์การเกษตรหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันมาประยุกต์เป็นอาวุธด้วย เช่น การประยุกต์เหล็กขวางปากม้าและบังเหียนม้ามาเป็นกระบองสองท่อน, ประยุกต์ด้ามจับของโม่หินโบราณมาเป็นไม้ศอก, ใช้กระดองเต่ามาทำเป็นโล่, ใช้ไม้พายของเรือมาเป็นอาวุธ, และใช้ไม้พลองชนิดต่าง ๆ เป็นอาวุธ
ภายหลังมีการรับวิทยายุทธจากเมืองจีนเข้ามาผสม เพราะริวกิวเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างน่านน้ำนานาชาติ (ถึงได้รับเหล้าขาวของอยุธยามาหมักเป็นเหล้าอะวะโมะริได้) โดยสันนิษฐานว่าชาวริวกิวรับวิทยายุทธมาจากจีนในปลายราชวงศ์ถัง เมื่อเพลงมวยทีผสมกับมวยจีนราชวงศ์ถัง จึงกลายเป็นชื่อใหม่ว่า “ทูดี (トゥーディー)” หรือที่ภาษาญี่ปุ่นปัจจุบันออกเสียงว่า “โทเดะ (唐手)” แปลตามตัวอักษร โท หมายถึงราชวงศ์ถัง อักษร เดะ คือเสียงที่เพี้ยนจากเสียง เทะ ที่แปลว่าวิชาการต่อสู้เทะของชาวริวกิว ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าในริวกิวสมัยก่อน แยกวิชาเทะ กับ วิชาโทเดะ ออกจากกันหรือไม่ หรือวิชาเทะเก่ากว่าแล้วภายหลังวิชาเทะพัฒนาเป็นวิชาโทเดะ กันแน่
ต่อมาในปี ค. ศ. 1901 เริ่มมีการให้นำวิชาโทเดะเข้าไปเป็นหนึ่งในวิชาพลศึกษาของโรงเรียนบางแห่งใน Okinawa จึงมีการเปลี่ยนวิธีเรียกอักษร 唐手 จากที่เดิมอ่านว่าโทเดะ ให้อ่านแบบเสียงญี่ปุ่นว่า คะระเทะ แทน จึงกลายเป็นเสียงคาราเต้ในปัจจุบันนี่เอง แต่ยังคงใช้อักษร 唐 ที่แปลว่าราชวงศ์ถังอยู่ในตอนนั้น จนในปี ค. ศ. 1922 จึงมีชาว Okinawa คนแรกที่ได้นำคะระเทะ (唐手) ไปเผยแพร่ที่ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่อย่างเป็นทางการ นั่นก็คืออาจารย์ฟุนะโคะชิ กิชิน (船越義珍) ทำให้คะระเทะเริ่มเข้าสู่ญี่ปุ่นและวิวัฒนาการเป็นเอกเทศแยกออกจากโทเดะของ Okinawa
แต่แล้วในช่วงเวลาใกล้กันนี้สัมพันธภาพระหว่างญี่ปุ่นและจีนไม่ดีเอาเสียเลย เกิดสงครามจีน-ญี่ปุ่น (日清戦争) ครั้งที่ 1 ในปี ค. ศ. 1894-1895 ระหว่างราชวงศ์ชิงของจีนและจักรวรรดิญี่ปุ่นเพื่อแย่งดินแดนในคาบสมุทรเกาหลี และเกิดสงครามจีน-ญี่ปุ่น (日中戦争) ครั้งที่ 2 ในปี ค. ศ. 1937-1945 ทางญี่ปุ่นจึงมีความพยายามเปลี่ยนอักษร คะระเทะ (唐手: เพลงมวยราชวงศ์ถังผสมวิชาเทะ) ให้กลายเป็นอักษร คะระเทะ (空手) ที่แปลว่าศิลปะการต่อสู้มือเปล่าไปแทน เพื่อกำจัด “ความเป็นจีน” ทิ้งไปจากวิชานี้ และโปรโมตเต็มที่ว่าเป็น “ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น” ตั้งแต่ช่วงนั้น นอกจากนี้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังมี Side Story อีกด้วยคือญี่ปุ่นไปยึดเกาหลีและเผยแพร่คาราเต้ให้ชาวเกาหลี แต่วิชาที่เผยแพร่ให้ชาวเกาหลียังเขียนด้วยอักษรโทเดะ พอบวกกับอักษรว่า “วิถีแห่ง…(道)” ชาวเกาหลีเลยเรียกศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้ตามเสียงเกาหลีว่า ทังซุโด (당수도) ที่เป็นเสียงอ่านของอักษร 唐手道 (วิถีแห่งโทเดะ) ก่อนจะวิวัฒนาการไปเน้นการใช้เท้าเตะมากกว่าการใช้มือและกลายเป็น เทควอนโด (태권도) ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติเกาหลีในเวลาต่อมา
(ประเด็นนี้คุยกับชาวเกาหลีไม่ได้นะเพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก ว่าศิลปะป้องกันตัวประจำชาติเกาหลีรับมาจากญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลก)
วิชาโทเดะของ Okinawa วิวัฒนาการกลายเป็น “Okinawan Karate” ส่วนคาราเต้ของญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ก็วิวัฒนาการแยกออกไปเป็น “Japanese Karate” โดยผสมกับมวยจีนบ้าง มวยเส้าหลินบ้าง ผสมกับเทควอนโดบ้าง ผสมกับมวยสากลหรือมวยไทยอีกบ้าง เกิดเป็นสำนักต่าง ๆ มากจนนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว และสร้างอิทธิพลกลับไปเป็นคาราเต้แบบฉบับญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่เผยแพร่ Reverse Pattern กลับไปที่ Okinawa ก็มี ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังมีกลุ่มทหารอเมริกันที่ได้เรียนคาราเต้ตอนมาประจำการญี่ปุ่น พอกลับอเมริกาก็ไปผนวกกับศิลปะการต่อสู้ต่าง ๆ ของกองทัพอเมริกันแล้วสถาปนากลายเป็น “American Karate” ไปอีก
จะเห็นได้ว่าคาราเต้กลายเป็นสิ่งที่มีความหลากหลายสูงมาก และต่างคนต่างก็เชิดชูคาราเต้สายของตัวเอง ทำให้การตกลงมาตรฐานกลางทำได้ยากมาก และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ไม่สามารถบรรจุกีฬาชนิดนี้เข้าไปในโอลิมปิกได้สักทีเพราะยังคุยกันไม่ลงตัวว่าจะใช้มาตรฐานกลางของค่ายไหนมาตัดสินโอลิมปิก จนกระทั่งโอลิมปิก 2020 ที่จะจัดที่ญี่ปุ่นจึงตกลงกันได้ว่าจะให้บรรจุ แต่ก็ยังลุ้นกันว่าอีก 4 ปีข้างหน้าจะยังมีกีฬาประเภทนี้ในโอลิมปิกอยู่หรือไม่?
มีการแบ่งกลุ่มวิชาโทเดะต้นฉบับที่ Okinawa ออกเป็น 3 สายหลัก ซึ่งการแบ่งนี้แต่ดั้งเดิมคือไม่ได้แบ่งไว้ แต่พอตอนหลังเมื่อคาราเต้เริ่มมีความหลากหลายสูงมาก ผู้เชี่ยวชาญจึงตกลงแบ่งถิ่นกำเนิดดั้งเดิมคร่าว ๆ ตามบริเวณที่มีความนิยมฝึกกระบวนท่านั้น ๆ คือ
1) ชุริ-เทะ (首里手): เป็นวิชาของกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในบริเวณปราสาทชุริ (首里城) คาราเต้ในยุคปัจจุบันที่มีลักษณะเด่นแบบชุริ-เทะชัดที่สุด คือคาราเต้ของสำนักโชโตกัง (松濤館) ซึ่งเป็นสายของคาราเต้ที่แพร่หลายที่สุดในโลกในปัจจุบัน มี Dynamic ในการเคลื่อนไหวสูง (เคลื่อนไหวเป็นวงกว้างและรวดเร็วรุนแรง) มีท่าจู่โจมระยะไกลที่รุนแรงมีประสิทธิภาพ
2) นะฮะ-เทะ (那覇手): เมืองนะฮะคือเมืองหลวงของจังหวัด Okinawa ในปัจจุบัน แต่ในอดีตเมืองนะฮะเป็นเมีองท่าเรือที่เป็นศูนย์กลางการค้าขาย เพลงมวยชนิดนี้แพร่หลายในบริเวณเมืองนะฮะในปัจจุบัน คาราเต้ในยุคปัจจุบันที่มีลักษณะเด่นแบบนะฮะ-เทะมากที่สุด คือคาราเต้ของสำนักโกจูริว (剛柔流) ซึ่งเป็นสายของคาราเต้ที่แพร่หลายระดับโลกมากอีกสายหนึ่ง มี Dynamic ในการเคลื่อนไหวน้อยกว่าของโชโตกัง ไม่เน้นท่าจู่โจมระยะไกล แต่เน้นประสาทสัมผัสและการระเบิดพลังในระยะสั้นรวมทั้งการฝึกเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อมากเป็นพิเศษ เน้นการต่อสู้ประชิดตัวมาก ๆ มีลักษณะของมวยจีนชัดเจนกว่าของโชโตกังอีกด้วย เช่น ท่าการก้าวเดินพื้นฐาน “ซันจิน (三戦)” ยังมีความคล้ายกับเพลงมวยกระเรียนขาว (白鶴拳) ของจีน
3) โทะมะริ-เทะ (泊手): หมู่บ้านโทะมะริก็เป็นเมืองท่าเรืออีกแห่งหนึ่งที่เป็นศูนย์กลางการค้าขายในริวกิวโบราณ ปัจจุบันบริเวณหมู่บ้านโทะมะริก็ยังมีท่าเรือโทะมะริให้บริการสัญจรทางน้ำและเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวงนะฮะ ชาวหมู่บ้านโทะมะริสมัยก่อนได้แลกเปลี่ยนวิทยายุทธกับชุริ-เทะและนะฮะ-เทะ รวมทั้งแลกเปลี่ยนกับพ่อค้าชาวจีนและพ่อค้านานาชาติ คาราเต้ในยุคปัจจุบันที่ยังมีลักษณะเด่นแบบโทะมะริ-เทะ คือ คาราเต้สำนักโมะโตะบุริว (本部流) และสำนักโอกินะวะเค็มโป (沖縄拳法) บางสายวิชา โดยโทะมะริ-เทะมีลักษณะใกล้เคียงกับชุริ-เทะมากกว่าทางนะฮะ-เทะ แต่โทะมะริ-เทะมีจุดเด่นที่สามารถจู่โจมศัตรูได้จากท่าทางที่ดูเหมือนเสียหลักการทรงตัว เช่น การฝึกเพลงมวยไนฮันจิ (ナイハンチ) เพื่อสร้างสมดุลย์การยืนขาเดียวให้เคยชิน เป็นต้น น่าเสียดายที่โทะมะริ-เทะมีกระบวนการผ่าน Modernization น้อยมาก จึงไม่แพร่หลายและนักคาราเต้ส่วนใหญ่ทั่วโลกมีน้อยคนที่รู้จักวิชาโทะมะริ-เทะนี้
จะเห็นว่าคาราเต้มีความหลากหลายสูง ถ้าจะแบ่งสายหรือสำนัก น่าจะหลายพันหรือถึงขั้นหลายหมื่นสำนัก และส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยจะยอมรับการดำรงอยู่ของสำนักอื่นด้วย ต่างจากกีฬาประเภทยูโด, เทควอนโด ที่มีมาตรฐานกลาง ทำให้บรรจุโอลิมปิกได้ง่ายกว่า เพราะผ่านการ Modernized มาแล้ว ในขณะที่ชาวคาราเต้ทุกวันนี้ก็ยังคงถกเถียงกันอยู่ว่าของใครเลิศกว่ากัน
เรื่องแนะนำ :
– อะวะโมะริ (泡盛) เหล้าเชื่อมสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น
– ทำไมเรียนปริญญาเอกสายศิลป์ที่ญี่ปุ่นถึงจบยากกกกกกก!?
– ทำไม Manga และ Anime ญี่ปุ่นถึงโด่งดังถึงเพียงนี้?
– สุกี้ยากี้ และเที่ยวบิน JL123
#คาราเต้: ความเป็นมาก่อนจะกลายเป็น 1 ในกีฬาโอลิมปิก 2020