The Karate Kid และ Cobra Kai: พลังแห่งอารยธรรมญี่ปุ่นในอเมริกาและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในเรื่อง
ใครจะคิดว่าภาพยนตร์เรื่อง The Karate Kid ต้นฉบับทั้ง 3 ภาคอันโด่งดังระดับที่ทำให้วัยรุ่นอเมริกันแห่กันไปเรียนคาราเต้ในยุคนั้น จะกลับมาทำภาคต่อเป็นซีรีส์เรื่อง Cobra Kai แล้วยังได้รับเสียงตอบรับในทางที่ดีอย่างล้นหลามจนกระทั่งจบ Season 5 ไปเรียบร้อยแล้วในขณะที่ผู้เขียนกำลังเขียนต้นฉบับคอลัมน์นี้อยู่ เรียกว่าอนาคตสดใสเตรียมรอ Season 6 กันได้เลย
พอดีเคยเขียนเรื่องความเป็นมาของคาราเต้ ( https://www.marumura.com/karate-in-tokyo-olympics-2020/ ) ไว้ครั้งก่อนโน้น วันนี้จึงจะมาพูดเรื่องคาราเต้กันอีกครั้งในมุมมองของอเมริกาบ้าง ผู้ชมหลายคนอาจจะสงสัยมากว่าทำไมตัวละครพูดถึงคาราเต้ แต่ตัวร้ายในเรื่องกลับมีการไปฝึกคาราเต้ที่เกาหลี มีการฝึกกับคนเกาหลี แล้วก็มีการเชิญครูฝึกเกาหลีมาฝึกคาราเต้ให้ที่อเมริกาอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการพูดถึงศิลปะป้องกันตัวเกาหลีคือ ทังซุโด (당수도) ว่าเป็นคาราเต้อีกประเภทหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่คาราเต้มันเป็นของญี่ปุ่นนี่นา (เอ๊ะ ชักงงแล้วใช่หรือไม่)
เมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงต่าง ๆ ของศิลปะการต่อสู้ในเรื่องนี้จึงพบว่าทั้งภาพยนตร์ The Karate Kid และซีรีส์ Cobra Kai นั้นทำการบ้านมาดีมากในแง่ของประวัติศาสตร์และการศึกษาวิทยายุทธในเรื่อง แต่เดิมจริง ๆ นั้นในราชอาณาจักรริวกิว (琉球王国) มีศิลปะการต่อสู้ที่ชื่อว่า “ที (ティー)” หรือที่ภาษาญี่ปุ่นปัจจุบันออกเสียงว่า “เทะ (手)” วิชาเทะแบบดั้งเดิมเน้นใช้มือในการต่อสู้มากกว่าใช้เท้า แม้จะมีการใช้อุปกรณ์การเกษตรหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันมาประยุกต์เป็นอาวุธอยู่บ้างแต่ก็ยังเน้นการใช้มือในการต่อสู้เป็นหลัก ภายหลังมีการรับวิทยายุทธจากเมืองจีนเข้ามาผสม เพราะริวกิวเป็นศูนย์กลางการค้าระหว่างน่านน้ำนานาชาติในสมัยก่อน โดยสันนิษฐานว่าชาวริวกิวรับวิทยายุทธมาจากจีนในปลายราชวงศ์ถัง เมื่อเพลงมวยทีผสมกับมวยจีนราชวงศ์ถัง จึงกลายเป็นชื่อใหม่ว่า “ทูดี (トゥーディー)” หรือที่ภาษาญี่ปุ่นปัจจุบันออกเสียงว่า “โทเดะ (唐手)” แปลตามตัวอักษร “โท” หมายถึงราชวงศ์ถัง ส่วนอักษร “เดะ” คือเสียงที่เพี้ยนจากเสียง เทะ ที่แปลว่าวิชาการต่อสู้เทะของชาวริวกิว “โทเดะ” จึงแปลตรงตัวว่า เพลงมวยริวกิวผสมเพลงมวยราชวงศ์ถัง
ความซับซ้อนเริ่มบังเกิดเมื่อราชอาณาจักรริวกิวถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของญี่ปุ่นและกลายเป็นจังหวัด Okinawa เพลงมวยโทเดะเลยวิวัฒนาการเข้าไปสู่ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ มีการเติมคำว่า “วิถี…(道)” เข้าไปด้วย และเริ่มมีความพยายามกำจัด “ความเป็นจีน” ทิ้งไป จึงมีการเปลี่ยนวิธีอ่านอักษร 唐手 จากที่เดิมอ่านว่า “โทเดะ (ที่เป็นเสียงจีนโบราณในภาษาญี่ปุ่น)” ให้อ่านแบบเสียงญี่ปุ่นแท้ว่า “คะระเทะ” แทน บวกกับคำว่า “วิถี…” จึงกลายเป็น “คะระเทะโด (唐手道)” หรือ วิถีแห่งคาราเต้ ในปัจจุบันนี่เอง แต่ยังคงใช้อักษร 唐 ที่แปลว่าราชวงศ์ถังอยู่ในตอนนั้น
ต่อมา ญี่ปุ่นยังคงไม่พอใจ และต้องการกำจัดความเป็นจีนออกไปจากวิชาคาราเต้ให้สิ้นซาก (เพราะปลายศตวรรษที่ 19 จนถึงต้นศตวรรษที่ 20 นั้นสัมพันธภาพระหว่างจีนและญี่ปุ่นคือแย่มาก) ญี่ปุ่นจึงมีความพยายามเปลี่ยนอักษร คะระเทะโด (唐手道: เพลงมวยราชวงศ์ถังผสมวิชาเทะ) ให้กลายเป็นอักษร คะระเทะโด (空手道) ที่แปลว่า “ศิลปะการต่อสู้มือเปล่า” ไปแทน เพื่อกำจัด “ความเป็นจีน” ทิ้งไปจากวิชานี้ และโปรโมตเต็มที่ว่าเป็น “ศิลปะการต่อสู้ของญี่ปุ่น” ตั้งแต่ช่วงนั้น
ความซับซ้อนไม่ได้มีเพียง จีน-ริวกิว-ญี่ปุ่น เท่านั้น ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นมีการไปยึดเกาหลีและเผยแพร่คาราเต้ให้ชาวเกาหลี แต่วิชาที่เผยแพร่ให้ชาวเกาหลียังเขียนด้วยอักษรโทเดะ พอบวกกับอักษรว่า “วิถีแห่ง…(道)” ชาวเกาหลีเลยเรียกศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้ตามเสียงเกาหลีว่า ทังซุโด (당수도) ที่เป็นเสียงอ่านของอักษร 唐手道 (วิถีแห่งโทเดะ) ก่อนจะวิวัฒนาการไปเน้นการใช้เท้าเตะมากกว่าการใช้มือ และหลังจากนั้นอีกจึงจะเกิดวิชา เทควอนโด (태권도) ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติเกาหลีในเวลาต่อมา ประวัติศาสตร์ของวิถีแห่งโทเดะนั้นสรุปง่าย ๆ ดังนี้
唐手 (โทเดะ)—เกิดที่ Okinawa เน้นต่อสู้ด้วยมือมากกว่าใช้เท้า
唐手道 (คะระเทะโด) — วิวัฒนาการเป็น 空手道 (คะระเทะโด) ที่ญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ ออกเสียงเหมือนเดิมแต่แอบเนียนเปลี่ยนอักษรตัวแรกทิ้งไปเพื่อกำจัดความจีนราชวงศ์ถัง มีการใช้เท้าในการต่อสู้มากขึ้น
唐手道 (คะระเทะโด) — วิวัฒนาการเป็น 唐手道 (ทังซุโด) ที่เกาหลี เขียนอักษรเหมือนกันแต่อ่านแบบเกาหลีเท่านั้น เน้นการใช้เท้าต่อสู้เป็นหลักมากกว่าใช้มือ
สถานการณ์ยังซับซ้อนไม่พอ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น ชาวอเมริกันได้มีการเรียนรู้คาราเต้ญี่ปุ่นและเรียนรู้ทังซุโดของเกาหลี และเรียกทั้งสองสิ่งว่าเป็นคาราเต้ทั้งคู่ โดยเรียกคาราเต้ญี่ปุ่นว่า Japanese Karate และเรียกทังซุโดเกาหลีว่าเป็น Korean Karate แล้วชาวอเมริกันก็นำคาราเต้ของทั้งญี่ปุ่นและเกาหลีมาพัฒนาเป็นวิชาของตัวเองเรียกว่า American Karate โดยเน้นการใช้ในกองทัพสหรัฐอเมริกา (ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง ยิปมัน ภาค 4 จะเห็นว่าทหารอเมริกันเชิดชูวิชา American Karate ของตัวเองมาก) เน้นเพลงมวยสังหารที่รุนแรงเหี้ยมโหด ปัจจุบันคาราเต้จึงแบ่งเป็น 4 สายหลักคือ Okinawan Karate (วิชาโบราณที่สุด), Japanese Karate (คาราเต้ที่ชาวญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่พัฒนาขึ้น), Korean Karate (ทังซุโด ที่เป็นการเอาคาราเต้ญี่ปุ่นไปเน้นเพลงเตะมากขึ้น), และ American Karate (เน้นสังหาร ใช้ในสงคราม)
ความเป๊ะสุด ๆ ของเรื่อง The Karate Kid และเรื่อง Cobra Kai คือการเล่นกับ “คู่เทียบ 2 ฝ่าย” ที่อิงจากประวัติศาสตร์โลกจริง ๆ
วิชาคาราเต้ในเรื่องมีอยู่ 2 สำนักหลัก คือสำนัก Cobra kai ซึ่งอ้างอิงจากวิชา American Karate ดังนั้น เซ็นเซของฝ่ายตัวร้ายจึงเป็นทหารผ่านศึกที่โหดเหี้ยม ก้าวร้าวรุนแรง วิทยายุทธจึงมีความเป็น American Karate ที่ผสมผสานระหว่าง Japanese Karate สายโชโตกัง (松濤館) ที่เคลื่อนไหวรวดเร็วรุนแรง และผสมกับวิชาทังซุโดของเกาหลีที่มีเพลงเตะที่เด่นกว่าคาราเต้ญี่ปุ่นแท้ ๆ ในขณะที่สำนัก Miyagi-Do นั้นอ้างอิงจาก Okinawan Karate ของสำนักโกจูริว (剛柔流) ในโลกแห่งความจริงที่ไม่เน้นการเคลื่อนไหวรวดเร็วรุนแรงแต่เน้นประสาทสัมผัสและการต่อสู้ประชิดตัวมากกว่า แล้วก็ไม่ค่อยเตะมากนัก อีกทั้งจริง ๆ แล้วบิดาของสำนักโกจูริวในโลกแห่งความจริงก็คือ มิยะงิ โชจุน (宮城長順) เรียกว่าเรื่อง The Karate Kid และ Cobra Kai ขอยืมชื่อของปรมาจารย์มิยะงิมาสมมุติเป็น Mr. Miyagi กันเห็น ๆ เลย (ถ้าใครเคยดูภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่อง Kuro-obi ก็จะเจอคู่เทียบแนวเดียวกันเปี๊ยบคือตัวร้ายใช้คาราเต้โชโตกังเพื่อแสดงความก้าวร้าวรุนแรง และพระเอกจะใช้คาราเต้โกจูริวเพื่อแสดงความ “ป้องกันตัวอย่างเดียว ไม่ได้มีไว้รังแกใคร”) (อ่านรายละเอียดจุดเด่นของแต่ละสำนักได้ที่ https://www.marumura.com/karate-in-tokyo-olympics-2020/ )
นอกจากนี้ความน่าทึ่งของการใช้สัญลักษณ์ก็ดีมาก เพราะผู้ร้ายเป็นอสรพิษ (งู) เพราะชื่อสำนักคือ Cobra โดยในคติชนแบบเอเชียตะวันออกนั้นศัตรูของงูก็คือนกกระเรียนนั่นเอง การใช้คาราเต้ของโกจูริวจึงเป๊ะในความเป็นนกกระเรียนมาก เพราะมีท่าการก้าวเดินพื้นฐาน “ซันจิน (三戦)” ซึ่งกล่าวกันว่าวิวัฒนาการมาจากเพลงมวยกระเรียนขาว (白鶴拳) ของจีน ซึ่งก็ตรงกับเนื้อเรื่องใน The Karate Kid และ Cobra Kai อีกนั่นแหละที่ว่า “วิชาของสำนัก Miyagi-Do นั้นมาจากจีน ถ่ายทอดมาที่ Okinawa”
นอกจากคู่เทียบดังกล่าวแล้ว ยังพบลักษณะเด่นของมังงะประเภทโชเน็นมังงะ (少年漫画: การ์ตูนสำหรับวัยรุ่นผู้ชาย) และ โชโจะมังงะ (少女漫画: การ์ตูนสำหรับวัยรุ่นผู้หญิง) แบบจัดเต็มมากโดยเฉพาะในซีรีส์ Cobra Kai
ลักษณะเด่นของโชเน็นมังงะคือ
- แสดงให้เห็นมิตรภาพ (友情)
- แสดงให้เห็นความวิริยะอุตสาหะของตัวละคร (努力)
- แสดงให้เห็นชัยชนะที่ได้มาจากความวิริยะอุตสาหะนั้น (勝利)
ส่วนลักษณะเด่นของโชโจะมังงะคือ
- เกี่ยวกับความรัก (恋愛)
- มีอุปสรรคหรือความขัดแย้ง (葛藤)
- การเติบโตของตัวละครหลังจากผ่านอุปสรรคหรือความขัดแย้งนั้น (成就)
แม้ว่าทั้ง The Karate Kid และเรื่อง Cobra Kai จะเป็นสื่อของอเมริกา แต่ก็มีความเป็นญี่ปุ่นแบบจัดเต็มจัดหนักมากดังกล่าว อีกทั้งยังกล่าวถึงปัญหาสังคมในแง่อื่นอีกมากมายแบบที่ผู้ชมไม่ได้รู้สึกว่าถูกยัดเยียด เช่น ความหลากหลาย (Diversity) ต่าง ๆ ทั้งความหลากหลายทางเพศและความหลากหลายทางชาติพันธุ์, ปัญหาการแกล้ง (Bully) ในโรงเรียน, ประเด็น Coming of Age ของวัยรุ่น, และ Midlife Crisis ของตัวละครหลายตัว, และการที่มิตรและศัตรูต้องมาร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายเดียวกันตามแบบฉบับการ์ตูนโชเน็นหรือโชโจะมังงะ ก็ชัดเจนมาก ทั้ง The Karate Kid และเรื่อง Cobra Kai จึงเป็นสื่อที่แนะนำให้ทุกคนในครอบครัวดูได้ ได้รับทั้งความประเทืองอารมณ์และประเทืองปัญญาแน่นอน
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– บทบาทของ J-Pop และ K-Pop ที่น่าจับตามองจากนี้ต่อไป
– กระบองสองท่อน เป็นประวัติศาสตร์ของชาติใดกันแน่? จีน, ญี่ปุ่น, หรือฟิลิปปินส์?
– ทำไมญี่ปุ่นปัจจุบันในยุคเฮเซ (Heisei) และยุคเรวะ (Reiwa) จึงไม่สามารถรุ่งเรืองได้เหมือนยุคทองอย่างยุคโชวะ (Showa) ที่ผ่านมา
– การตั้งคำถามกับ “ครอบครัวร่วมสายเลือด” และ “ครอบครัวต่างสายเลือด” ในการ์ตูนญี่ปุ่น
– ประวัติศาสตร์สงคราม 3+1 ชาติที่อยู่เบื้องหลัง “บะหมี่ถ้วยนิสชิน”
#The Karate Kid และ Cobra Kai: พลังแห่งอารยธรรมญี่ปุ่นในอเมริกาและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในเรื่อง