มาทำความรู้จัก Donburi (ดงบุริ) … วันนี้ไอซึจะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักเมนูอาหารประเภทดงบุริ (Donburi) นี้ให้มากขึ้นกันอีกสักนิดค่ะ เผื่อครั้งหน้าที่เพื่อนๆ ได้มีโอกาสรับประทานเมนูนี้อีกครั้ง เพื่อนๆ อาจจะเข้าถึงความรู้สึกของชาวญี่ปุ่นมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก็ได้ค่ะ
ประเทศญี่ปุ่นเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความหลากหลายทางด้านอาหารเป็นอย่างมาก ทั้งอาหารประจำชาติ อาหารตามท้องถิ่นต่างๆ หากจะเปรียบเทียบกันก็คงไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไรนัก ไม่ว่าจะเป็น ต้ม ผัด แกง ทอด ล้วนแล้วแต่มีความเป็นเอกลักษณ์ทั้งสิ้น หรือจะข้ามไปที่ของดิบอย่างซาซิมิ และอาหารอีกสารพัดเมนู ที่ดูแล้วก็เหมือนจะถูกปากนักท่องเที่ยวอย่างเรา ทั้งไทยและเทศ
และถ้าจะเอ่ยถึงอาหารประเภทหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ดงบุริ’ (Donburi) หรือข้าวหน้าต่างๆ น้อยคนนักที่จะไม่เคยกินหรือไม่เคยรู้จัก แต่เพื่อนๆ เคยรู้กันไหมคะว่าดงบุรินี้มีกำเนิดมาจากอะไรและมีประวัติความเป็นมาอย่างไร? วันนี้ไอซึจะพาเพื่อนๆ ไปทำความรู้จักเมนูอาหารประเภทดงบุริ (Donburi) นี้ให้มากขึ้นกันอีกสักนิดค่ะ เผื่อครั้งหน้าที่เพื่อนๆ ได้มีโอกาสรับประทานเมนูนี้อีกครั้ง เพื่อนๆ อาจจะเข้าถึงความรู้สึกของชาวญี่ปุ่นมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งก็ได้ค่ะ
ดงบุริ (Donburi, 丼) บางที่อาจจะสะกด Domburi แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย มีความหมายว่าชาม หรือ ถ้วย หากจะพูดถึงอาหารก็คือข้าวหน้าต่างๆ ของประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง โดยดงบุริ (Donburi) นั้นจะมีลักษณะเป็นข้าวสวยเสิร์ฟอยู่ในชามหรือถ้วยแล้วท็อปปิ้งด้วยหน้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปลาไหล หมูทอด ซาซิมิ หรือไก่กับไข่ เป็นต้น
ดงบุริ (Donburi) ในประเทศญี่ปุ่นนั้น มีมากมายหลายหน้าค่ะ โดยชื่อเรียกของ ดงบุริ (Donburi) ก็จะแตกต่างกันไปตามท็อปปิ้งที่ราดบนหน้าของข้าวสวยนั่นเองค่ะ โดยวิธีการเรียกก็จะใช้ชื่อของท็อปปิ้งที่ราดอยู่บนหน้าข้าวแล้วเติมคำว่า “ด้ง” (Don) ลงไป ยกตัวอย่างเช่น ข้าวหน้าหมูชุบแป้งทอดก็จะเรียกว่า คัตสึด้ง (Katsudon) ข้าวหน้าปลาไหล อุนะงิด้ง (Unagidon) หรือข้าวหน้าเนื้อกิวด้ง (Gyudon) นั่นเอง
และเมื่อเอ่ยถึงประวัติความเป็นมา ดงบุริ (Donburi) นี้ เริ่มปรากฏขึ้นตั้งแต่สมัยเอโดะ (ค.ศ. 1603-ค.ศ. 1868) โดยดงบุริ (Donburi) ชามแรกที่เกิดขึ้นก็คือข้าวหน้าปลาไหลย่าง หรืออุนางิด้ง (Unagidon) โดยเสิร์ฟให้ระหว่างการชมการแสดงละครในโรงละครสมัยก่อน ซึ่งในระยะแรกนั้น ดงบุริ (Donburi) ถือเป็นอาหารที่ทานได้ง่ายๆ ถูกเสิร์ฟมาในชามขนาดเล็ก ทำได้เร็ว เพื่อรองรับกับวิถีชีวิตที่เร่งรีบจึงทำให้ดงบุริ(Donburi) ได้รับความนิยมเสิร์ฟในโรงละคร และตามงานเทศกาลต่างๆ และเริ่มแผ่ขยายวงกว้างตั้งแต่นั้น
ในสมัยเมจิ (ค.ศ. 1868 – ค.ศ. 1912) เป็นต้นมา ดงบุริ(Donburi) เริ่มได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้น เนื่องด้วยการเปิดรับวัฒนธรรมของชาติตะวันตกเข้ามาและได้เริ่มมีการปรับขนาดชามให้ใหญ่ขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มช่างฝีมือและกลุ่มชนใช้แรงงาน ที่มีพฤติกรรมการกินอาหารที่ต้องการอาหารที่สะดวก รวดเร็ว อร่อย ปริมาณเยอะ ซึ่งในช่วงนี้นอกจากข้าวหน้าปลาไหลย่างแล้ว ก็มีการเพิ่มเนื้อวัว ไก่ และไข่ ทำให้ดงบุริ (Donburi) มีความหลากหลายมากขึ้นอีกด้วยโดยสันนิษฐานว่า ข้าวหน้าไก่และไข่ เริ่มมีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1891 และในสมัยไทโช (ค.ศ. 1912 – ค.ศ. 1926) ก็เริ่มมีการนำเนื้อหมูมาทำเป็นหน้าของดงบุริ (Donburi) อีกด้วย
หลังจากนั้นก็เริ่มมีการพัฒนาหน้าของดงบุริ (Donburi) ออกมาอย่างมากมาย โดยทั้งกรรมวิธีการทำตัวหน้าท็อปปิ้งก็เริ่มหลากหลายมากขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และความต้องการของผู้คนทั่วไปมากขึ้น จนกระทั่งปัจจุบัน ดงบุริ (Donburi) เปรียบได้กับอาหารจานด่วนที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นนั้นเองค่ะ
ถึงแม้ ดงบุริ (Donburi) จะเปรียบได้กับอาหารจานด่วน แต่เวลาเสิร์ฟก็มักจะมาพร้อมกับน้ำซุป หรือเครื่องเคียงที่ช่วยเพิ่มรสชาติให้กับอาหารจานนั้นมากขึ้น โดยส่วนประกอบหลักของ ดงบุริ (Donburi) ก็คือ ข้าวสวยและท็อปปิ้ง ซึ่งตัวท็อปปิ้งบนข้าวนั้น ส่วนมากจะใช้วัตถุดิบที่ทำได้ง่าย มีรสชาติที่เข้มข้น โดยมักจะมีส่วนผสมของน้ำซอสหรือน้ำราดเป็นส่วนประกอบอยู่เสมอ
น้ำซอสที่ใช้ในการปรุงรส ดงบุริ (Donburi) นั้น ก็จะมีแตกต่างกันออกไปตามแต่ละชนิดค่ะ แต่โดยส่วนมากมักจะมีส่วนผสมของ “ดาชิ” หรือน้ำสต็อกปลาของญี่ปุ่น รวมไปถึงโซยุและมิริน เป็นส่วนประกอบหลัก
โดยเครื่องเคียงที่มักเสิร์ฟพร้อมกับ ดงบุริ (Donburi) ส่วนมากจะเป็น ซุปมิโสะ และผักดองประเภทต่างๆ ในบางที่อาจจะมีไข่ต้ม ผักสด สาหร่ายชนิดแผ่น หรืออาจจะรวมไปถึงนัตโตะ ให้กินคู่กันเพื่อเพิ่มรสชาติอีกด้วยค่ะ
ดงบุริ (Donburi) นั้นเกิดจากความต้องการอาหารที่รวดเร็ว สำหรับคนที่ไม่ค่อยจะมีเวลา และบางครั้งดงบุริ (Donburi) ก็ถือเป็นอาหารที่ช่วยให้คนญี่ปุ่นประหยัดได้มากขึ้น เพราะถ้าหากว่ามีของที่เหลือในตู้เย็นก็สามารถเอามาผัดกับซอสรสชาติเข้มข้นแล้วนำมาโปะบนข้าวก็สามารถอิ่มอร่อยกับดงบุริ (Donburi) แบบโฮมเมดได้ง่ายๆ อีกด้วย
ถึงแม้ประเทศญี่ปุ่นจะขึ้นชื่อเรื่องวัฒนธรรมของอาหารญี่ปุ่นแบบไคเซกิ (Kaiseki) แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ผู้คนเร่งรีบมากขึ้น การที่จะต้องพิถีพิถันในการทำอาหารแต่ละมื้อนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการทำที่ค่อนข้างนาน ซึ่งสวนทางกับชีวิตคนเมืองที่ต้องเร่งรีบอยู่เสมอ อาหารจานเดียวจึงมักเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ผู้คนที่เร่งรีบมักจะนึกถึงอยู่เสมอ และดงบุริ (Donburi) ก็ถือเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ทั้งมีความหลากหลาย และใช้เวลาไม่นาน หากจะเปรียบเทียบก็คงจะคล้ายๆ ข้าวราดแกงหรืออาหารตามสั่งในบ้านเรานั่นเองค่ะ
และทั้งหมดนี้ก็เป็นประวัติความเป็นมาของอาหารยอดนิยมอย่างดงบุริ (Donburi) นะคะ ยุคสมัยเปลี่ยนอะไร อะไรก็เปลี่ยน ด้วยวิถีการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงทำให้เกิดการพัฒนาและการจางหายของวัฒนธรรมอยู่ตลอดเวลา ดังเช่นดงบุริ (Donburi) ที่ถ้ามองให้ดีก็ดูเหมือนจะมาแทนที่วัฒนธรรมการกินอาหารแบบไคเซกิ (Kaiseki) แต่ด้วยการอนุรักษ์และสามารถปรับให้วัฒนธรรมการกินอาหารทั้งสองแบบยังสามารถคงอยู่ร่วมกันได้ เรื่องนี้ไอซึถือว่าเป็นจุดแข็งของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียวค่ะ
เรื่องแนะนำ :
– ตามรอย 60 ปีแห่งความสำเร็จ ทุกย่างก้าวที่สำคัญของบริษัท Nissin ตอนจบ
– ตามรอย 60 ปีแห่งความสำเร็จ ทุกย่างก้าวที่สำคัญของบริษัท Nissin ตอนที่ 1
– Namiki Yabusoba ร้านโซบะ 100 ปีที่ต้องหาโอกาสไปลองสักครั้ง
– Coca-Cola ส่ง Coca-Cola Clear สู้ตลาดเครื่องดื่มไร้สี Exclusive เฉพาะที่ญี่ปุ่นเท่านั้น
– HANAO SHOES สนีกเกอร์สายพันธุ์ใหม่หัวใจมีความเกี๊ยะ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก :
https://en.wikipedia.org/wiki/Donburi
https://taiken.co/single/all-about-donburi
http://the-japanese-cuisine.weebly.com/donburi.html
http://gogen-allguide.com/to/donburi.html
https://www.japanhoppers.com/en/features/food/371
https://tabelog.com/gifu/A2103/A210301/21001486/dtlmenu/
https://cookpad.com/recipe/4371145