ประวัติศาสตร์สงคราม 3+1 ชาติที่อยู่เบื้องหลัง “บะหมี่ถ้วยนิสชิน”
เรา ๆ ท่าน ๆ จำนวนมากทราบกันดีว่า ชาติแรกที่คิดค้นบะหมี่ถ้วยขึ้นมาบนโลกเป็นครั้งแรกนั่นคือญี่ปุ่น อย่างที่เรารู้จักบะหมี่ยี่ห้อนิสชินนั่นเอง
แต่จริง ๆ แล้วบะหมี่ถ้วยนิสชินนั้นมีเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างมาก วันนี้จึงจะไม่เล่าแบบลงลึกรายละเอียดของขั้นตอนการผลิตคิดค้นบะหมี่ถ้วย แต่จะลงลึกถึงประวัติศาสตร์ก่อนจะเกิดบะหมี่ถ้วยชนิดนี้กัน
อาหารประเภทเส้นในเอเชียนั้นเกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศจีน แต่ราเม็งแบบญี่ปุ่นนั้นเกิดขึ้นในปลายสมัยเอโดะ (ประมาณกลางคริสตศตวรรษที่ 19) ตอนที่ญี่ปุ่นเริ่มค้าขายกับต่างประเทศอย่างแพร่หลายจนเกิด China Town ขึ้นหลายแห่งในญี่ปุ่น ชาวญี่ปุ่นและชาวจีนที่อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นจึงนำเส้นบะหมี่แบบจีนมาพัฒนาต่อเป็นเมนูต่าง ๆ แบบญี่ปุ่นจนกลายเป็นราเม็งญี่ปุ่นในที่สุด
ในปี ค. ศ. 1894 ถ้าใครแม่นประวัติศาสตร์ก็จะทราบดีว่าเกิด “สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 (ค. ศ. 1894-1895)” คำว่า สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 นี่เองที่ในภาษาญี่ปุ่นจะเรียกว่า “นิสชินเซ็นโซ (日清戦争)” โดน นิส มาจาก นิจิ (日) ที่หมายถึงญี่ปุ่น และ ชิน (清) หมายถึงราชวงศ์ชิงซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของจีน ผลของสงครามนี้ทำให้จีนต้องสูญเสียดินแดนหลายแห่งรวมทั้งไต้หวันไปให้ญี่ปุ่น โดยไต้หวันตกอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่นตั้งแต่ ค. ศ. 1895-1945
ผู้คิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและเป็นผู้คิดค้นบะหมี่ถ้วย ที่ชื่อ อู๋ ไป่ฝู (呉百福) เกิดในปี ค. ศ. 1910 ที่ไต้หวันในช่วงที่ยังอยู่ภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น มีการเปลี่ยนสัญชาติถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลงใหม่ ๆ ก็เปลี่ยนสัญชาติจากไต้หวันภายใต้การปกครองของญี่ปุ่น ไปเป็นสัญชาติจีน พอปี ค. ศ. 1966 ก็เปลี่ยนสัญชาติอีกครั้งจากจีนไปเป็นสัญชาติญี่ปุ่น แลกเปลี่ยนนามสกุลจาก “อู๋ (呉)” ไปใช้นามสกุลของภรรยาคือ อันโด (安藤) ส่วนชื่อ “ไป่ฝู (百福)” นั้นคงไว้ตามเดิมเพียงแต่เปลี่ยนเสียงอ่านไปอ่านแบบญี่ปุ่นแทนคืออ่านว่า โมะโมะฟุกุ จึงมีตัวตนใหม่คือ อันโด โมะโมะฟุกุ (安藤百福) ที่เป็นชาวญี่ปุ่นผู้ก่อตั้งนิสชินไปในที่สุด
โมะโมะฟุกุ คิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปจากการสังเกตว่ามีผู้คนต้องทนอากาศหนาวเย็นต่อคิวยาวเฟื้อยรอซื้อราเม็ง ทำไมจึงไม่หาวิธีผลิตราเม็งให้ง่ายขึ้นเล่า อีกทั้งในช่วงนั้นประเทศญี่ปุ่นมีแป้งสาลีเป็นจำนวนมากที่จะเอาไปทำราเม็งได้ ในจุดนี้ยังมีความคาบเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สงครามของสหรัฐอเมริกาอีกด้วย เพราะช่วงสงครามนั้นอเมริกาทุ่มเทการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตแป้งสาลีมาทำขนมปังและเสบียงให้ทหารของตัวเอง แต่พอสงครามสงบก็เหลือแป้งสาลีอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมีนโยบายส่งแป้งสาลีมาช่วยเหลือด้านเสบียงให้ประเทศญี่ปุ่นและสนับสนุนให้ชาวญี่ปุ่นหันมาบริโภคขนมปังให้มากขึ้น โดยมีนัยยะแอบแฝงคือหวังให้ญี่ปุ่นกลายเป็นผู้นำเข้าแป้งสาลีของตัวเองในอนาคตระยะยาวอีกด้วย ซึ่งก็นับว่าประสบความสำเร็จเพราะชาวญี่ปุ่นหลังสงครามหันมากินขนมปังและกินอาหารแบบตะวันตกมากขึ้นจริง ๆ
หลังจากโมะโมะฟุกุคิดค้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (แบบซอง) ได้แล้ว เขาไม่หยุดเพียงแค่ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีความคิดจะเผยแพร่อาหารชนิดใหม่นี้ไปยังชาวโลก และหาทางทำให้บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนี้ “กลายเป็น Fast Food” ที่กินได้สะดวกมากขึ้นอีก เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปขายไอเดียบะหมี่นี้รวมทั้งหาไอเดียใหม่ ๆ ในการแปรรูปบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้กลายเป็น Fast Food เพราะอเมริกาคือประเทศมหาอำนาจแห่ง Fast Food ของโลก ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะโมะโมะฟุกุพบว่า ชาวอเมริกาในปี 1966 นั้นยังไม่ค่อยรู้จักการใช้ตะเกียบ และยังหาภาชนะมาแทนชามราเม็งไม่ได้ คู่ค้าที่เขาไปพบจึงต้องหักบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นชิ้น ๆ แล้วเทใส่ถ้วยกาแฟแทน และใช้ส้อมมากิน ทำให้โมะโมะฟุกุได้ไอเดียไปพัฒนาต่อยอดเป็นบะหมี่ถ้วยแบบมีส้อมพับได้ในอนาคตอันใกล้ต่อมา หลังจากการลองผิดลองถูกอีกระยะหนึ่งจึงได้ต้นแบบถ้วยบะหมี่ที่ใช้วัสดุคือ โฟมโพลีสไตรีน (発砲スチロール)
แต่ทว่า โฟมโพลีสไตรีน ณ ตอนนั้นยังจัดเป็นวัสดุหายากในญี่ปุ่น และเทคโนโลยีญี่ปุ่นยุคนั้นยังผลิตโฟมชนิดนี้ให้ออกมาเป็นถ้วยสำหรับบะหมี่ยังไม่ได้ เขาจึงต้องตัดสินใจนำเข้าเทคโนโลยีจากอเมริกาอีกนั่นแหละ และเปิดโรงงานผลิตถ้วยชนิดนี้เอง จนในที่สุดถึงประสบความสำเร็จในการพัฒนาภาชนะสำหรับอาหารชนิดใหม่นี้ และแน่นอนอย่างที่เรารู้กันดี ว่าบะหมี่ถ้วยนิสชินกลายเป็นต้นกำเนิดของอาหารประเภทแนว ๆ นี้อีกนานาชนิดทั่วโลก
สงครามนั้นนำมาซึ่งความสูญเสียมหาศาล แต่สำหรับกรณีของบะหมี่ถ้วยนิสชินนี้ สงครามยังเป็นจุดเริ่มต้นของอาหารชนิดใหม่อีกด้วย คือประวัติศาสตร์สงครามของ 3 ชาติคือ จีน-ญี่ปุ่น-อเมริกา + 1 คือไต้หวัน จึงเป็นฐานความคิดของโมะโมะฟุกุที่ทำให้ประสบความสำเร็จในการคิดค้นบะหมี่ถ้วยนิสชินนี้ขึ้น
แม้ว่า ปรัชญาของบะหมี่นิสชินในปัจจุบันคือ「日々清らかに豊かな味をつくる」ที่แปลว่า สร้างรสชาติอันอุดมสมบูรณ์อย่างพิสุทธิ์ในวันแล้ววันเล่า โดยเอาอักษร “วัน (日)” จาก “วันแล้ววันเล่า” และอักษร “พิสุทธิ์ (清)” มารวมกันเป็น “นิสชิน (日清)” แต่ก็ยังมีคนจำนวนมากเชื่อว่า ชื่อบริษัทนิสชิน น่าจะได้รับแรงจูงใจมาจาก “สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 1 หรือนิสชินเซ็นโซ (日清戦争)” อยู่ดี เพราะเป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิตของอันโด โมะโมะฟุกุ ที่เกิดในไต้หวันที่ตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นเพราะจีนภายใต้ราชวงศ์ชิงรบแพ้ หรือ อาจจะเพราะเป็นการอยากบอกอัตลักษณ์ของตัวเองว่าเป็นทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวจีนในราชวงศ์ชิง ก็เป็นได้ ใครเลยจะรู้ได้
เรื่องแนะนำ :
– ทำไมพระโพธิสัตว์กวนอิมในประเทศญี่ปุ่นถึงมีทั้งปางบุรุษและปางสตรี?
– องค์กรญี่ปุ่นชั้นนำหลายแห่งเริ่มผละออกจาก PDCA แล้วหันไปใช้ O-PDCA และ R-PDCA แทน
– อี้โทะโกะโดะริ (好いとこ取り): การเอาสิ่งที่ดีของชาติอื่นมาพัฒนาต่อจนกลายเป็นของญี่ปุ่น
– วะคง-โยไซ (和魂洋才): การผสมผสานจิตวิญญาณญี่ปุ่นและวิทยาการแบบตะวันตก
– ญี่ปุ่นมีมหาวิทยาลัยเฉพาะทางที่เรียกว่า “มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศ” ด้วยนะ
#ประวัติศาสตร์สงคราม 3+1 ชาติที่อยู่เบื้องหลัง “บะหมี่ถ้วยนิสชิน”