บางคนไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็จริง แต่กลับคบแต่เพื่อนคนไทย กินอาหารไทย ดูละครไทย ฟังข่าวไทย อ่านกระทู้พันทิป หรือแม้กระทั่งไปร้องคาราโอเกะเพลงไทย ก็คงไม่ต่างจากการอยู่ประเทศไทย
วันนี้ได้นั่งคุยกับอาจารย์วี อาจารย์พิเศษภาควิชาภาษาญี่ปุ่นหลายมหาวิทยาลัย อาจารย์วีจบปริญญาตรี เอกภาษาญี่ปุ่น คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบปริญญาโทจาก International Christian University ประเทศญี่ปุ่น ด้านการสอนภาษาญี่ปุ่น ดิฉันจึงสอบถามอาจารย์วีถึงวิธีการเรียนภาษาญี่ปุ่นในไทยให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด

อาจารย์วีบอกว่าการเรียนภาษาญี่ปุ่นและการใช้ในการทำงานก็เปรียบเสมือนกับต้นไม้ใหญ่ต้น หนึ่ง ที่จำเป็นจะต้องมีลำต้นและรากที่แข็งแรง ก่อนที่จะแตกกิ่งก้านสาขาออกไปได้ ไวยากรณ์ คำศัพท์ และคันจิพื้นฐานเปรียบเสมือนลำต้นและรากของต้นไม้ เมื่อก้าวเข้าสู่การทำงาน นักศึกษาแต่ละคนก็จะสามารถเพิ่มความรู้ภาษาญี่ปุ่นที่เกี่ยวข้องกับสาขาและวงการที่ตัวเองทำงานเพิ่มเติมเหมือนกับกิ่งก้านของต้นไม้ เช่น วิศวกร บัญชี การเงิน การค้าระหว่างประเทศ เลขานุการ การผลิต การบริการ ฯลฯ หากลำต้นและรากไม่แข็งแรงแล้ว ก็จะแตกกิ่งก้านสาขาได้ยาก
การเก่งภาษานั้นเป็นทักษะที่ต้องอาศัยการได้ใช้บ่อยๆ อาจารย์วีบอกว่าการเรียนภาษาญี่ปุ่นในประเทศไทยจะต้องใช้ความพยายามในการเพิ่มโอกาสในการได้ใช้ให้มากที่สุด เพราะถึงแม้จะเรียนเป็นวิชาเอก นักศึกษาก็จะมีเวลาเรียนภาษาญี่ปุ่นแค่ประมาณ 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และอาจจะได้ฝึกพูดและฟังแค่กับอาจารย์และเพื่อนร่วมห้อง แน่นอนนักศึกษาที่ไปเรียนที่ญี่ปุ่นย่อมได้เปรียบกว่า เพราะนอกจากเวลานอน 8 ชั่วโมงแล้ว อีก 16 ชั่วโมงที่เหลือในหนึ่งวันจะได้ใช้ชีวิตที่แวดล้อมไปด้วยภาษาญี่ปุ่น เช่น ดูทีวี ฟังวิทยุ ไปซื้อของร้านค้า เจอเพื่อน ขึ้นรถโดยสาร ไปร้องคาราโอเกะ สั่งอาหาร เข้าเรียน ซักผ้าหรือแม้แต่เข้าห้องน้ำ ฯลฯ
ดังนั้นการเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ไทยที่จะทำให้มีประสิทธิภาพมากเท่ากับการไปเรียนที่ ญี่ปุ่นก็คือ การจำลองสถานการณ์ให้เหมือนเราอยู่ที่ญี่ปุ่นให้มากที่สุด อาจารย์วีบอกว่า ปัจจุบันมีอินเตอร์เนตและข้อมูลมากมายให้เราค้นหา คนที่เรียนเก่งจะเก่งมากๆ เพราะข้อมูลมีให้เรียนรู้อย่างเหลือเฟือ วิธีการที่จะทำตัวให้เหมือนอยู่ญี่ปุ่นก็เช่น การดูทีวี ฟังเพลงญี่ปุ่น ฟังข่าว อ่านการ์ตูน ดูหนังญี่ปุ่น ดูวีดีโอที่เป็นบทเรียนภาษาญี่ปุ่น หัดอ่านเมนูอาหารภาษาญี่ปุ่น หาเพื่อนญี่ปุ่นเพื่อฝึกสนทนา ฯลฯ
นอกจากนี้การเรียนไวยากรณ์ และท่องศัพท์จะช่วยได้เยอะ วิธีที่จะทำให้เก่งได้ก็คือการฝึกๆๆ และก็ฝึกค่ะ ยิ่งคุณสามารถทำตัวให้เหมือนอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ประเทศญี่ปุ่นได้มากเท่าไร ความสามารถด้านภาษาของคุณก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น หลายๆ คนเรียนที่ไทยเพียงอย่างเดียวแต่กลับเก่งมากกว่าคนที่เคยไปเรียนที่ญี่ปุ่น มาด้วยซ้ำ เพราะในทางกลับกันบางคนไปเรียนที่ญี่ปุ่นก็จริง แต่กลับคบแต่เพื่อนคนไทย กินอาหารไทย ดูละครไทย ฟังข่าวไทย อ่านกระทู้พันทิป หรือแม้กระทั่งไปร้องคาราโอเกะเพลงไทย ก็คงไม่ต่างจากการอยู่ประเทศไทยเลยล่ะค่ะ นอกจากนี้ความยากของภาษาญี่ปุ่นก็คือไวยากรณ์ ดังนั้นการศึกษาไวยากรณ์ให้แม่นยำเป็นการย่นระยะเวลาในการเข้าใจภาษาญี่ปุ่น
ภาควิชาภาษาญี่ปุ่นของแต่ละมหาวิทยาลัยยังมีความร่วมมือระหว่างสถาบัน และมีทุนการศีกษาหรือทุนแลกเปลี่ยนกับมหาวิทยาลัยในประเทศญี่ปุ่น ทั้งระยะยาวและระยะสั้น เช่น 3 เดือน 6 เดือน หากมีโอกาสก็ควรจะปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษาหรือผู้รับผิดชอบโครงการแลกเปลี่ยน เพื่อให้ได้มีโอกาสไปสัมผัสการใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่น และได้มีโอกาสการใช้ภาษาญี่ปุ่นมากขึ้น
ในภาคธุรกิจยังมีความต้องการคนที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้เป็นจำนวนมาก นอกจากภาคการผลิต และภาคอุตสาหกรรม ชาวญี่ปุ่นยังมาลงทุนในด้านการบริการมากขึ้น เช่น สถาบันการเงิน การประกันภัย ธุรกิจเพื่อสุขภาพ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ
ถึงแม้ในปัจจุบันคนญี่ปุ่นจะพูดภาษาอังกฤษได้มากขึ้นแล้ว แต่ก็อาจจะสะดวกใจกว่าในการพูดเรื่องสำคัญๆ เป็นภาษาของตัวเอง จึงนิยมใช้ล่ามในการแปล ในการประชุมในเรื่องสำคัญๆ ชาวญี่ปุ่นยังนิยมพูดภาษาญี่ปุ่น ดังนั้นคนที่พูดญี่ปุ่นได้ย่อมมีภาษีดีกว่าหากทำงานบริษัทญี่ปุ่นค่ะ