คั่นรายการ by Lordofwar Nick
เหตุต้น ผลกรรม ที่ทำให้ผมต้องมาเรียนที่ญี่ปุ่น (1) หนังสือ “มวยจีนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ของอาจารย์สุวินัย
การที่ผมได้ทุนมาเรียนที่ญี่ปุ่นเป็นเวลา 3 ปีนั้น ในด้านหนึ่งก็เป็นการที่เราได้มี “โอกาส” ที่จะทำความฝันให้เป็นจริง แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็เป็น “พันธกิจ” อันหนักอึ้งที่เมื่อเรารับมาแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ พูดง่ายๆ คือเขาให้ทุนคุณมาเพื่อให้คุณเรียนให้จบได้ปริญญา ยกเว้นค่าเล่าเรียนให้ จ่ายเงินเดือนให้ คุณก็ต้องเรียนให้จบได้ปริญญากลับบ้านของคุณไป
ซึ่งพอมาถึงปี 2006 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่ผมจะสำเร็จ (หรือจะไม่สำเร็จ) การศึกษา พอวันเวลาที่จะสอบวิทยานิพนธ์ใกล้เข้ามา มันก็ยิ่งเครียดนะครับ ขนาดที่ว่าบางทีก็คิดนะ ว่าทำไมชีวิตตูต้องมาเจอกับวิบากอะไรอย่างนี้ ก็อย่างว่าแหละครับ ในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ผมมาอยู่ที่โอซาก้า 3 ปีก็ได้โอกาสที่ทำอะไรหลายอย่างที่อยู่เมืองไทยไม่ได้ทำ เช่นได้เรียนวิชาดาบอิไอ ได้ท่องเที่ยว ได้โอกาสในการหาความรู้ใหม่ๆ ได้เจอคนหลากหลายต่างชาติต่างภาษา ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดีครับเพราะว่ามันเป็นการเปิดโลกทัศน์ ต่อยอดความคิดความอ่านของเราหลายอย่าง แต่สิ่งที่ต้องแลกก็คือ การที่เราต้องใช้เวลาและพลังงานในวัยหนุ่มหมดไปกับการเรียนหนังสือให้จบ ขนาดที่ว่าตอนช่วงใกล้สอบวิทยานิพนธ์นั้น เกาหัวทีผมร่วงลงมาเป็นสิบๆ เส้น เห็นจะๆ คาโถส้วมกันเลยทีเดียวครับ
สิ่งต่างๆ ทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นย่อมต้องมีเหตุ มีเหตุต้นแล้วจึงมีผลกรรม ฉะนั้นในวันนี้ผมก็ขออนุญาตท่านผู้อ่านเล่าเรื่องคั่นรายการก่อนนะครับว่า เหตุใดผมจึงต้องมาเรียนหนังสือที่ญี่ปุ่น ไม่นึกอยากไปอังกฤษ อเมริกา ออสเตรเลียกับเขาบ้างหรือ?
ก็อย่างที่พูดนั่นแหละครับว่าการได้มาเรียนที่ญี่ปุ่นนั้น สำหรับผมในตอนนั้น มันก็คือการได้ทำฝันให้เป็นจริง เพราะฉะนั้นวันนี้ก็จะมาขยายความว่า อ้าวแล้วทำไมคุณถึงฝันอยากไปเรียนที่ญี่ปุ่นล่ะ? เรื่องนี้มันมีที่มาครับ ซึ่งจะขอพรรณนาดังนี้
กาลครั้งหนึ่ง สมัยที่ผมยังเรียนหนังสืออยู่น่าจะชั้น ม.5 มีรุ่นพี่ที่โรงเรียนเขาเอาหนังสือเล่มนึงมาอวดให้ผมดู
“โห ดูดิ หนังสือเล่มนี้คนเขียนเป็นด็อกเตอร์เลยนะ จบปริญญาตรีโทเอกจากที่ญี่ปุ่นเลยนะ สุดยอด แล้วเนี่ยเขาเรียนมวยจีนด้วย”
คือในยุคก่อนเมื่ออายุประมาณ 20 กว่าปี 30 กว่าปีก่อน สำหรับเด็กมัธยมหัวเกรียนคนนึงอย่างผมนั้น การที่ใครสักคนหนึ่งได้เป็นนักเรียนนอกก็ถือว่าเริ่ดแล้ว ยิ่งเป็นนักเรียนทุนก็ยิ่งสุดยอด แถมจบดอกเตอร์ก็ยิ่งยอดมนุษย์เข้าไปอีก ยิ่งมีวิชามวยจีนเหมือนอย่างในหนังกำลังภายในที่เราเคยดูด้วย โอ้นี่มันมหาบุรุษชัดๆ
นั่นแหละครับ คือหนังสือ “มวยจีนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ของ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ฉบับพิมพ์ครั้งแรกที่ผมเห็น หน้าปกสุดเท่แบบนี้เลยครับ
พอยิ่งได้อ่านเนื้อในหนังสือ ก็ยิ่งเกิดความนับถือเลื่อมใสในตัวผู้เขียน (คืออาจารย์สุวินัย) เป็นอย่างยิ่ง อ๋อเขาต้องเป็นคนเก่งมากๆ แน่ๆ เลย ฝึกคาราเต้ตั้งแต่เด็ก เรียนจบเตรียมอุดม สอบได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ไปเรียนระดับปริญญาตรีจนจบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเกียวโต โอ้โฮ โอ่โฮ ไหนจะชีวิตต้องสู้ ไปทำงานพิเศษหาเงินล้างจานในร้านอาหารจีนเพื่อเก็บเงินส่งให้ทางบ้าน ในหนังสือเล่มดังกล่าวยังมีการพูดถึงเรื่องของความแตกต่างระหว่างมวยภายในกับมวยภายนอก (ทำนองว่ามวยจีนที่มีวิชาพลังภายในนั้นดีกว่าวิชามวยภายนอกอย่างมวยสากล) เรื่องของพลังภายใน ไปจนถึงคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็น ฯลฯ
วูบหนึ่ง เกิดความคิดแวบขึ้นมาในหัวว่า อยากจะได้ไปเรียนต่อญี่ปุ่นเหมือนอย่างอาจารย์สุวินัยบ้าง แต่ผลการเรียนในโรงเรียนผมก็ไม่ใช่ว่าดีเด่นอะไรมากพอที่จะไปสอบชิงทุนกับเขาได้ สิ่งเดียวที่ผมพอจะทำให้เข้าใกล้ “ความฝัน” และ “ฮีโร่ในฝัน” ได้ ณ ตอนนั้น ก็คือแค่การสอบเข้ามหาลัยได้ไปเรียนในคณะที่อาจารย์สอนอยู่เท่านั้นเอง
ผมจำได้ว่าตอนผมเรียนอยู่ปีหนึ่งนั้นครั้งแรกที่ผมได้เห็นอาจารย์สุวินัยตัวจริง ขนาดผมมองไกลๆ ตอนที่อาจารย์แกมาสอนในห้องใหญ่ๆ ยังรู้สึกตื่นเต้นเลย มันคงจะเหมือนกับเวลาที่แฟนเพลงได้มาเจอ Rockstar ที่ตัวเองชื่นชอบแบบตัวเป็นๆ ในคอนเสิร์ตนั่นแหละครับ
แน่นอนว่าพออาจารย์ออกผลงานต่อมา อย่างเรื่อง “ความรักกับจอมยุทธ” (ซึ่งฉีกแนวไปเป็นนิยายรักเศร้าเคล้าน้ำตาผสมฉากบู๊แอ็กชั่นกำลังภายใน ต่างจากหนังสือเล่มแรกที่เป็นอัตชีวประวัติของอาจารย์เอง) แล้วก็ “มูซาชิฉบับท่าพระจันทร์” (ซึ่งเป็นการนำเอานิยายของ โยชิคาวะ เอจิ มาเล่าใหม่ในสไตล์สุวินัย วลีในเรื่องที่ว่า “เด็ดเดี่ยวแม้โดดเดี่ยว” สำหรับผมในตอนนั้น มันเป็นอะไรที่โคตรเท่เลยครับ) ผมก็ไม่พลาดที่จะไปซื้อไปหามาอ่าน
แล้วพอหลังจากขึ้นปี 2 เป็นต้นมาผมก็ยังได้มีโอกาสเจอกับอาจารย์สุวินัยอีก บางทีได้ทักทายกันใต้ตึกคณะ บางทีผมก็ไปเยี่ยมหาพูดคุย ถามปัญหาข้อข้องใจบางเรื่องกับอาจารย์บ้าง เกี่ยวกับเรื่องปรัชญา เรื่องการพัฒนาตนเองพัฒนาจิต ไปจนกระทั่งเรื่องของอนาคตการศึกษาต่อของผม ว่าควรจะเรียนต่อด้านญี่ปุ่นศึกษา ซึ่งต่อมาภายหลังผมก็ได้ทำตามที่อาจารย์แนะนำ
อย่างไรก็ดีเมื่อวันเวลาผ่านไป ถ้าเปรียบผมเป็นแฟนเพลงแล้วอาจารย์สุวินัยเป็น Rockstar เมื่อจู่ๆ เกิดมาวันหนึ่ง Rockstar ของผมแทนที่จะทำเพลงแนวเฮฟวี่เมทัลแบบที่ผมเคยหลงใหลคลั่งไคล้ ดันเริ่มจากกลายพันธุ์มาแนว Alternative Rock แล้วไปๆ มาๆ ชักเริ่มหลุดโลก ไปแนว World Music บ้าง ลูกทุ่งหมอลําบ้าง (ดีไม่ดีโผล่ไปทำเพลงอนิเมะอีกด้วย) ผมในฐานะแฟนเพลงก็คงจะเริ่มรู้สึกว่า “นี่ไม่ใช่ Rockstar คนเดิมของผมแล้วล่ะ” ก็นั่นแหละครับความรู้สึกของผมที่มีต่ออาจารย์สุวินัยในฐานะ (คนเคยเป็น) แฟนหนังสือ ก็จากแนวญี่ปุ่น ซามูไร หลังๆ มากลายเป็นแนวพลังจิตบ้าง เรื่องราวเหนือธรรมชาติบ้าง โอ้ นี่มันไม่ใช่ละ (ฮา) งานเขียนรุ่นหลังๆ ของอาจารย์ผมก็เลยไม่ได้ติดตามอ่านเลย
แล้วหลังจากผมจบปริญญาตรี ผมก็ไม่เคยได้เจอกับอาจารย์สุวินัยอีกเลย
แต่ถึงแม้ว่าอดีต Rockstar ของผมจะเปลี่ยนแนวไปจากเฮฟวี่กลายเป็นหมอลำจนผมเลิกฟังเพลงของแกไปแล้ว แต่บางทีนานๆ ครั้งผมก็ยังติดตามข่าวหรือความเคลื่อนไหวของอาจารย์บ้างนานๆ ที เช่นเรื่องที่อาจารย์ไปตั้งสำนักมวยจีนในห้าง บางทีก็ได้มีโอกาสอ่านคำให้สัมภาษณ์ของอาจารย์ในเว็บต่างๆ ภาพของความเป็น Rockstar ในอดีตก็คงยังมีอยู่ในใจของผมอยู่เสมอแหละครับ ต่อให้ทุกวันนี้ผมอาจจะมีทัศนคติมุมมองอะไรหลายๆ อย่างที่เปลี่ยนไปมากจนอาจถึงขั้นปฏิเสธคุณค่าบางอย่างที่เราเคยให้ราคากับมัน เช่น…
มวยจีน แต่ก่อนเราโตมากับการดูหนังจีนกำลังภายใน หนังบู๊ฮ่องกง บรูซลี เฉินหลง หงจินเป่า เราก็เลยคิดว่ามวยจีน วิชากังฟู มันต้องเจ๋งเหมือนอย่างในหนัง แต่พอโตมาเราเรียนวิชาต่อสู้จริงๆ เราจะรู้ว่าอะไรที่เราเห็นในหนังบู๊น่ะมัน fake ยิ่งทุกวันนี้ลองถามความเห็นของชาวโลกโซเชียล ลองพูดคำว่า “มวยจีน” อาจจะเบะปากมองบน หรือหัวเราะเอาเลยก็ได้ (โดยเฉพาะใครก็ตามที่ดูคลิปวีดีโอจำพวกปรมาจารย์กังฟูโดนนักมวย MMA ต่อยร่วงใน 30 วินาที) ส่วนตัวผมใครยังอยากจะเรียนมวยจีน กังฟู ก็เชิญครับ แต่ผมว่า BJJ นั้นทำให้ชีวิตผมดีกว่าเดิมได้มากกว่า อย่างน้อยก็ทำให้ผมลดความอ้วนได้สำเร็จ
วุฒิด็อกเตอร์ / คนจบด็อกเตอร์ แต่ก่อนสังคมไทยจะยกยอคนจบด็อกเตอร์มากเสมือนเป็นเจ้าคนนายคน ตามค่านิยมที่ล้าหลังซึ่งอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่าคนเราไม่เท่าเทียมกัน เอาวุฒิการศึกษาไปผูกติดกับสถานะของคน แต่ถ้าเป็นสมัยนี้ ด็อกเตอร์มันก็แค่คนที่เรียนจบปริญญาเอกป่ะ?
ที่พูดมานี้มิได้มีเจตนาจะลบหลู่ดูหมิ่นการศึกษา หรือวุฒิการศึกษาแต่อย่างใด ผมยอมรับว่าคนเรียนจบด็อกเตอร์ในยุคของอาจารย์สุวินัยนั้นน่าจะต้องเก่งต้องมีความพยายามมากกว่าคนเรียนจบด็อกเตอร์ในยุคศตวรรษที่ 21 เพราะตอนที่ผมยังอยู่ที่ญี่ปุ่นในปี 2006 ผมได้ยินข่าวมาว่า ปีนั้น ม.เกียวโต ปล่อยคนให้เรียนจบด็อกเตอร์เป็นร้อยเลยครับ ก็เข้าใจว่าในสมัยก่อนการเรียนจบด็อกเตอร์ที่ญี่ปุ่นนั้นยากมาก เขาว่ายากกว่าขอตำแหน่งวิชาการเป็นศาสตราจารย์ซะอีก แต่ว่าในภายหลังได้ยินว่ามหาลัยต่างๆ ถูกกระทรวงศึกษาธิการของญี่ปุ่นกดดันว่าให้ปล่อยนักเรียนให้จบ เพราะการที่ให้ทุนนักเรียนมาเรียนแล้วเรียนไม่จบเนี่ยมันก็เป็นความสูญเสียอย่างหนึ่ง อันนี้ก็พูดในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาจากนักเรียนไทยในญี่ปุ่น ณ ตอนนั้นนะครับ จริงเท็จอย่างไรไม่ขอรับรอง อีกอย่างนึงสมัยก่อนเทคโนโลยียังไม่ก้าวไกล นักศึกษาก็ได้แต่ต้องพึ่งห้องสมุด ถึงต่อมาจะมีเครื่องถ่ายเอกสารก็ยังต้องพึ่งห้องสมุดอยู่ดี แต่พอเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ทุกอย่างเริ่มมาออนไลน์ มีอินเทอร์เน็ต มี Google เทคโนโลยีพวกนี้มันก็ช่วยประหยัดเวลาและแรงงานได้มากถ้าจะพูดกันจริงๆ นะครับ
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นผมก็ยังจะขอยืนยันคำเดิมนะครับว่า ด็อกเตอร์มันก็แค่คนที่เรียนจบปริญญาเอกป่ะ? ก็แค่คนที่เรียนจบปริญญาเอกจริงๆ ซึ่งอาจจะเพราะว่ามีโอกาสมีสติปัญญามีเวลาที่จะอำนวยให้เรียนจบตามหลักสูตรได้ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าความเป็นมนุษย์ในด้านอื่นๆ ไม่ได้แปลว่าจบด็อกเตอร์แล้วจะกลายเป็นเทพเหนือมนุษย์หรือเป็นคนดีวิเศษสุดก็หาไม่ แล้วก็ไม่ได้เป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดินด้วย เคยมีอาจารย์คนนึงพูดให้ผมฟังว่าคนจบด็อกเตอร์เหมือนกัน ความรู้ยังไม่เท่ากัน ความรับผิดชอบต่องานยังไม่เท่ากันเลย
เอาเป็นว่า อย่างน้อย ผมก็ได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังถึงเรื่องราวในอดีต หนังสือเล่มหนึ่งที่เรียกได้ว่าทำให้ชีวิตของผมหักเหหลุดมาไกลมากเลยทีเดียว โอกาสต่อไปจะขอเล่าเรื่องที่ว่า คนที่ไม่ได้เรียนภาษาญี่ปุ่นในสถาบันการศึกษาเลยมาตั้งเค้าเรียนภาษาญี่ปุ่นได้อย่างไรในยุคที่ยังไม่มีอินเตอร์เน็ต อย่าลืมติดตามอ่านกันนะครับ วันนี้ก็ขอลาแต่เพียงเท่านี้ก่อน สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– ยามว่าง เดินชมบ้านแถวโอโนฮาระ แล้วไปต่อคิตะเซ็นริ ต่อด้วยเซ็นริจูโอ (เอาให้จบ)
– ยามว่าง เดินชมบ้านแถวโอโนฮาระ แล้วไปต่อคิตะเซ็นริ ต่อด้วยเซ็นริจูโอ
– เที่ยวนารา ไปแค่วัดโคฟุคุจิกับไปดูของใหญ่วัดโทไดจิ แค่นั้นเองแหละ
– เที่ยวเกียวโตแบบกระท่อนกระแท่น (3) วังหลวงเกียวโต (จริงๆ แล้วนะ)
– เที่ยวเกียวโตแบบกระท่อนกระแท่น (2) คินคาคุจิศาลาทอง และวังหลวงเกียวโต
#เหตุต้น ผลกรรม ที่ทำให้ผมต้องมาเรียนที่ญี่ปุ่น (1) หนังสือ “มวยจีนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า” ของอาจารย์สุวินัย