“วิญญาณหลังเสียชีวิต” จะไม่ได้มีความศักดิ์สิทธิ์ทันที พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 33 , 49 หรือ 50 ปี ก่อนที่จะพัฒนาตัวเองจาก “วิญญาณ” กลายเป็น “เทพเจ้าผู้ปกป้อง” พวกเขาจะได้รับการผสานเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ… ตอนนี้เองที่พวกเขาจะกลายเป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่คอยปกป้องครอบครัว หรือหากบางคนจิตใจผูกติดกับที่อื่น ก็จะไปเป็นเทพตามผู้เขา… ลำน้ำ หรือต้นไม้ เป็นต้น
ในสังคมปัจจุบัน สิ่งหนึ่งที่ค่อยๆ เลือนหายไปจากวัฒนธรรมของประเทศก็คือเรื่อง “ศาสนา”…
ปัจจุบันอัตราของคนญี่ปุ่นที่บอกว่าตนเอง “ไร้ศาสนา” เพิ่มขึ้นในระดับที่เราต้องพูดถึงและจับตามอง เหตุนี้เองทำให้ผมสนใจเรื่องนี้และพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับความเชื่อของคน ญี่ปุ่น… ผมอยากรู้ว่าในสมัยก่อนคนญี่ปุ่นยึดถืออะไรเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นอีกมุมมองหนึ่งที่สำคัญแต่ก็ไม่ค่อยมีใครได้ พูดถึง…

ดังนั้นวันนี้ผมจะพูดถึงเรื่องของ “วิญญาณ” ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น สาเหตุที่ผมมองว่ามันสำคัญก็เพราะว่ารากฐานเดิมของคนญี่ปุ่นคือชาติที่เชื่อ ถือในเรื่องของธรรมชาติ… ความว่าง… และความรู้สึกอันแข็งกล้า ถ้าพูดถึงเรื่องความเชื่อทางด้านนี้ ต้องบอกว่าญี่ปุ่นรับวัฒนธรรมของ “ชินโต”… “เต๋า”… และ “พุทธศาสนา” เข้ามาเป็นส่วนใหญ่ โดยกล่าวกันว่าความเชื่อของ “พุทธศาสนา” คือความเชื่อหลักที่จะผสานกลมกลืนในลักษณะ “คู่ขนาน” ควบคู่ไปกับความเชื่ออื่นๆ ของคนญี่ปุ่น… คนญี่ปุ่นในยุคก่อนเชื่อว่าตนถูกป้องโดยวิญญาณมากมาย ทั้งวิญญาณประจำหมู่บ้าน… วิญญาณบรรพบุรุษ หรือที่ผมจะพูดถึงในวันนี้คือวิญญาณของ “สัตว์”
พูดถึงเรื่องวิญญาณ ต้องแยกออกมาเป็น 2 อย่างเสียก่อน กล่าวคือ “วิญญาณขณะมีชีวิต” และ “วิญญาณหลังเสียชีวิต”… คนญี่ปุ่นสมัยก่อนจึงให้ความสำคัญกับ “การเลือกวิญญาณ”มากๆ นั่นเพราะพวกเขามีความเชื่อว่าวิญญาณเมื่อตายไปแล้วนั้น จะคงสภาพและความสามารถเดิมเหมือนขณะที่เขายังมีชีวิต และนอกจากนี้พวกเขายังเชื่อว่า “เมื่อเด็กเกิดมาใหม่ๆ จะเป็นช่วงที่วิญญาณยังไม่เข้าร่างโดยสมบูรณ์ และวิธีที่จะทำให้วิญญาณเข้าร่างอย่างสมบูรณ์นั้น ก็คือให้พ่อและแม่พาเด็กไปที่ศาลเจ้าเพื่อขอพร” เมื่อนั้น่วิญญาณที่ดีก็จะเข้าร่างอย่างสมบูรณ์ (เรื่องนี้สำคัญเพราะเขาเชื่อกันว่าวิญญาณจะต่อยอดไปถึงการเป็นวิญญาณ บรรพบุรุษที่ดีในภายภาคหน้า)

อย่างไรก็ตาม “วิญญาณหลังเสียชีวิต” จะไม่ได้มีความศักดิ์สิทธิ์ทันที พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อย 33 , 49 หรือ 50 ปี ก่อนที่จะพัฒนาตัวเองจาก “วิญญาณ” กลายเป็น “เทพเจ้าผู้ปกป้อง” พวกเขาจะได้รับการผสานเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ… ตอนนี้เองที่พวกเขาจะกลายเป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่คอยปกป้องครอบครัว หรือหากบางคนจิตใจผูกติดกับที่อื่น ก็จะไปเป็นเทพตามผู้เขา… ลำน้ำ หรือต้นไม้ เป็นต้น
อย่างไรก็ตามหากคนที่ตายด้วยความโกรธหรือ เคียดแค้น คนญี่ปุ่นสมัยก่อนจะมีพิธีกรรมทันที เพื่อให้ทันท่วงทีก่อนที่วิญญาณเหล่านั้นจะนำพา “โชคร้าย” มาสู่ผู้อื่น แม้จะเป็นครอบครัวของตนเองก็ตาม (บางตำรากล่าวว่าอาจต้องทำพิธีกรรมข้ามปีกันเลย)

มากันถึงเรื่องของ “วิญญาณสัตว์” … คนญี่ปุ่นสมัยก่อนเชื่อว่าวิญญาณของสัตว์แต่ละชนิดมีพลังแตกต่างกัน ซึ่งขอบอกไว้ก่อนว่าเป็นเพียง “ความเชื่อ” เท่านั้นนะครับ ไม่ควรคิดจะลองทำตามวิธีการต่างๆตามตำนานที่เล่ากันมาอย่างเด็ดขาด เพราะบางอันก็ค่อนข้างอันตรายและสร้างความลำบากต่อสิ่งรอบข้างมากๆ ครับ
เริ่มกันที่ “วิญญาณหมา”… วิธีที่จะได้วิญญาณที่สมบูรณ์ของหมามานั้น ตามตำนานบอกว่าต้อง “ตัดหัวฝังดิน” เอาไว้ วิญญาณของหมานั้นจะมีพลังสูงสุดเมื่ออยู่กับผู้หญิง และจะทำหน้าที่สองอย่างคือ “ส่งเสริม และปกป้อง” โดยเฉพาะช่วงหลังจากแต่งงาน วิญญาณหมาจะช่วยปกป้องหญิงสาวจากคนในครอบครัวสามีที่อาจจะคิดร้าย และจะช่วยปกป้องเด็กที่เกิดมาอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม “มิโกะ” (เรียกง่ายๆ ว่าผู้ดูแลศาลเจ้า) สมัยก่อนชอบที่จะหากินจากความเชื่อนี้ โดยการจับหมาฝังทั้งเป็นให้เสียชีวิตและตัดคอให้คนซื้อไปเป็นของตนเอง ถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากครับ

วิญญาณต่อมาที่คนญี่ปุ่นยุคก่อนให้ความสำคัญมากก็คือวิญญาณของ “สุนัขจิ้งจอก” ที่เชื่อกันว่าเป็นวิญญาณที่มีพลังสูงที่สุดในบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหมด วิญญาณของจิ้งจอกจะช่วยในเรื่องการเพาะปลูก บางคนก็มองว่าจิ้งจอกคือสัญลักษณ์แห่งความร่ำรวย เพราะพวกเขาเชื่อว่าบ้านที่มีวิญญาณจิ้งจอกไว้ครอบครอง จะสามารถหาเงินได้ตลอด โดยเฉพาะในเวลาที่มีคนติดหนี้ หรือต้องการเงินเร่งด่วนสำหรับทำการเกษตร

วิญญาณต่อมาก็คือ “วิญญาณงู” วิญญาณชนิดนี้ส่วนใหญ่จะใช้กันในหมู่ผู้ชาย มีความสามารถคือการทำให้ผู้อื่นได้รับความอับจนหรืออุบัติเหตุอันตราย แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็เป็นสัญลักษณ์ของ “ความแข็งกร้าว, ความเจ้าเล่ห์. ความเลว แต่จะส่งผลดีต่อมนุษย์” (หรือจะตีความไปว่าการปกป้อง ด้วยวิธีการที่อันตรายหรือไม่ดีเท่าไรนัก)
เรื่องราวของวิญญาณ และคนทรงของญี่ปุ่นยังมีอีกมาก ไว้จะมาพูดถึงในโอกาสต่อๆ ไปครับ