“Did you find something new about yourself recently?” … หนึ่งในคำถามที่มุตะใน Space Brothers ต้องตอบเพื่อคัดเลือกเป็นมนุษย์อวกาศ เป็นคำถามเพื่อดูว่าเราติดตามสังเกตตัวเองมากแค่ไหน แล้วเพื่อนๆ ล่ะ ได้ลองถามตัวเองด้วยคำนี้กันบ้างไหม
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา (2013) ผมไปร้านการ์ตูนแถวบ้านเพื่อเช่าการ์ตูนมาอ่าน ขณะที่ผมมองไปทางไหนก็มีแต่มังงะแนวแอคชั่น กีฬา ทำอาหาร นักสืบ ซึ่งมีแนวนี้ออกมาเยอะมาก
ผมเริ่มรู้สึกอยากจะอ่านอะไรใหม่ๆ จำได้ว่าเดินหาแล้วได้มังงะเกี่ยวคุณหมอมาหนึ่งเล่ม เกี่ยวกับสัตว์อะไรสักอย่างมาหนึ่งเล่ม แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรมากมายเพราะมันก็ไม่ได้ใหม่ขนาดนั้น เวลาผ่านไปเกือบ 2 ชั่วโมงแค่กับการหามังงะมาอ่าน แต่ยังไม่ได้อะไรที่มันรู้สึกว่า “ใช่” เลย จนผมคิดว่าจะยอมแพ้ละ วันนี้คงไม่ได้อะไร แต่ผมสายตาผมก็บังเอิญไปสะดุดกับมังงะเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า Space Brothers ผมลองหยิบมาดูหน้าปกและก็ปกหลัง เฮ้ย…การ์ตูนเกี่ยวกับ มนุษย์อวกาศว่ะ!!! นี่แหละที่ผมตามหาเลย ยิ่งพอได้อ่านผมก็ยิ่ง งงว่า เฮ้ยทำไมเรื่องดีๆ แบบนี้ถึงไม่ดังนะ หลายเดือนผ่านมาเพิ่งได้ดูเรื่องนี้ในแบบอนิเมชั่น ยิ่งพอได้ดูอนิเมะเรื่องนี้ผมยิ่งชอบเลยครับดังนั้นพอได้มีโอกาสเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับการ์ตูน แน่นอนว่าผมต้องไม่พลาดที่จะเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังแน่นอน…
พูดถึงอวกาศแล้วเหตุการณ์ที่ผมได้เข้าใกล้อวกาศมากที่สุดมีอยู่ 2 เหตุการณ์ใหญ่ๆ
เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ประมาณประถมปลายๆ ผมเคยไปท้องฟ้าจำลองตอนทัศนศึกษา และพบว่ามันสนุกมาก โดยเฉพาะไฮไลท์ที่มันจะเป็นห้องมืดๆ และบนฟ้าจะมีดาวรูปนักกษัตร ต่างๆ ให้เราได้รู้ว่าไอ้กลุ่มดาวนี้คือกลุ่มดาวอะไร ผมว่ามันสวยมากครับ พอออกมาจำได้ว่าตกกลางคืนผมจะพยายามนั่งมองหากลุ่มดาวลูกไก่ที่มองหาได้ง่ายที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมองเห็นได้ยากเหลือเกิน ด้วยท้องฟ้าของเมืองกรุงที่สว่างเกินไปด้วยแสงปลอมๆ ของสีสันต่างๆ ของเมือง และนอกจากนั้นก็ยังมีหมอกควันปกคลุมกลบทั้งแสงของดวงดาวและจิตนาการของเด็กอย่างผม
ดังนั้นหมู่ดาวซากอ้อยอื่นๆ ก็อย่าหวังจะได้มองเห็น ผมจึงคิดว่าถ้าอยากเห็นดวงดาวอีกครั้งคงต้องไปท้องฟ้าจำลองอีก อยากไปดูอีกสักครั้งแบบไม่ต้องรีบร้อนแบบตอนนั้น จำได้ว่าอยากจะไปมากพยายามรบเร้าคุณพ่อคุณแม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ไป และจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยได้แวะกลับไปอีกเลย แต่ทุกครั้งที่ได้ไปต่างจังหวัดแล้วได้เห็นดวงดาวชัดๆ สวยๆ ผมจะนึกถึงท้องฟ้าจำลองเสมอ
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่มีเพื่อนผมคนนึงตอนม.ต้น มันเป็นคนที่เชื่อและคลั่งไคล้ในเรื่อง U.F.O. มากๆ ถึงขั้นตามไปดู ยูโฟ ในที่ต่างๆ และชอบมาเล่าให้เพื่อนฟังว่ามันได้สื่อสารกับเอเลี่ยนได้ด้วย บางกลางวันขณะที่เพื่อนๆ ลงไปกินข้าว มันจะนั่งสมาธิเพื่อคุยกับ U.F.O. และวันหนึ่งไอ้เพื่อนผมคนนี้อยู่ดีๆ ก็บอกเพื่อนทุกคนในห้องว่าให้รีบไปที่ห้องโสตฯ มันมีเรื่องสำคัญมากจะบอกทุกคน… ทุกคนก็คิดว่าอาจารย์เป็นคนสั่ง จึงไปรวมตัวกันในห้องโสตฯ ท่ามกลางความมืดมิด มันก็ค่อยๆ ฉายคลิปวิดีโอที่มันไปถ่ายมาจากเขากะลา!!! เป็นภาพของวัตถุอย่างนึงที่มันบอกว่าเป็น U.F.O. วัตถุนั้นมีแสงสีเขียวๆ เรียงๆ กันด้านบน กับแสงเหลืองๆ ด้านล่าง 2 จุด… เคลื่อนที่ด้วยความเร็ว ทุกคนในห้องนอกจากมัน มีความเห็นตรงกันว่า รถบรรทุกชัดๆ

Space Brothers หรือชื่อไทย (ที่โคตรไม่เมคเซนส์และไม่ชวนอ่านเลยแม้แต่น้อย) ว่า “สองสิงห์อวกาศ” ของ อาจารย์ Chuya Koyama ที่เป็นเรื่องราวของสองพี่น้องตระกูลนัมบะ นั่นคือ นัมบะ ฮิบิโตะ น้องชาย และ นัมบะ มุตตะ พี่ชาย ชายที่เชื่อว่าเขาเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับดวงซวย เนื่องจากตอนที่เขาเกิดนั้นเป็นวันที่ญี่ปุ่นตกรอบคัดเลือกการไปฟุตบอลโลกซึ่งเรียกกันว่าเป็นโศกนาฏกรรมโดฮา เป็นวันที่ทั่วทั้งญี่ปุ่นเสียใจและในวันนั้นเขาก็เกิดมา

ในตอนเด็กๆ ระหว่างที่พวกเขาออกเล่นสำรวจนั่นนี่ตามประสาเด็กๆ ก็ดันไปเจอกับอะไรบางอย่างที่ดูคล้ายว่าจะเป็น U.F.O. หลังจากที่มองดูสิ่งนั้นอยู่สักพัก มันก็บินหนีไปที่ดวงจันทร์ และหลังจากเหตุการณ์นั้นทั้งคู่ก็ตั้งใจว่าจะโตไปเป็นนักบินอวกาศและไปดวงจันทร์ให้ได้!!

แค่นี้ผมก็รู้เลยว่า เรื่องนี้ต้องสนุกแน่ๆ และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ…
เวลาผ่านไปหลังจากนั้น ฮิบิโตะ น้องชายก็ได้เป็นมนุษย์อวกาศจริงๆ แต่ มุตตะ พี่ชายของเขาทำงานเป็นวิศวะกรออกแบบรถยนต์ให้บริษัทพัฒนารถยนต์แห่งหนึ่ง และขณะที่ฮิบิโตะกำลังแถลงข่าวการเดินทางไปดวงจันทร์ พี่ชายของเขา มุตตะ ก็เพิ่งจะถูกไล่ออกมาหมาดๆ เพราะเอาหัวไปโขกหัวหน้าที่ล้อเลียนน้องชายของเขา… ขณะที่คนหนึ่งกำลังรุ่งสุดๆ แต่อีกคนกำลังดิ่งเหว


แต่ทุกๆ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา ส่วนตัวผมเชื่อว่ามันมีเหตุผลที่เชื่อมโยงกันหมดโดยที่บางครั้งเราอาจจะไม่รู้ตัว เหมือนกับการที่ผมได้มีโอกาสอ่านเรื่องนี้นี่แหละ หลังจากที่โดนไล่ออก เขาก็พยายามจะหางานใหม่ทำ แต่เหมือนเขาโดน Black list จึงทำให้การกลับไปอยู่ในวงการรถยนต์นั้นยากมาก คืนหนึ่งขณะที่เขาผิดหวังจากการหางานก็มี อีเมล์จากน้องชายของเขาบอกว่าเขารู้เรื่องที่ นัมบะ ถูกไล่ออกจากงานแล้ว และถ้ายังหางานใหม่ไม่ได้ให้ลองฟังเทปที่เคยอัดไว้ตอนเด็กๆ ดู… ซึ่งเทปที่ว่าก็คือเทปตอนที่ทั้งคู่ได้เจอกับ U.F.O. นั่นเอง เขาได้ยินเสียงประหลาดบางอย่าง และข้อความสำคัญที่เขาได้ลืมไปแล้ว นั่นก็คือสัญญาที่ทั้งคู่เคยบอกว่าจะไปเป็นนักบินอวกาศด้วยกันให้ได้!

เหมือนกับว่า ฮิบิโตะ น้องชายของเขาจะบอกว่าให้เขารักษาสัญญานี้ หนึ่งเดือนต่อมาขณะที่เขากำลังคิดว่าคงไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะรักษาสัญญานั้นได้ มุตตะกลับมาบ้านก็พบว่ามีจดหมายตอบจาก JAXA หรือ องค์การสำรวจอวกาศญี่ปุ่น




ตรงนี้ผมว่ามันน่ารักมาก เพราะคุณแม่เขาก็รู้ว่านับบะเองก็อยากจะเป็นนักบินอวกาศแต่ด้วยความคิดว่าเขาคงจะเป็นไม่ได้จึงยอมแพ้ไปแล้ว สุดท้ายผมก็ยังเชื่ออยู่ดีว่า ครอบครัวเป็นพื้นที่ ที่มีความเข้าใจให้เราเสมอ แน่นอนครับว่า นัมบะ ดีใจมากๆ อย่างที่ผมบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุผลที่เชื่อมโยงกันเสมอ เหมือนการที่เขาต้องออกจากงาน สุดท้ายมันกลับกลายเป็นโอกาสให้ให้เขาได้กลับมาเริ่มต้นทำความฝันที่เขาเคยละทิ้งไว้ นั่นคือการเป็นมนุษย์อวกาศ ซึ่งเรื่องราวของพี่ชายที่ตามหลังน้องชายอยู่หนึ่งก้าวก็เริ่มจากตรงนี้แหละครับ
ผมเองไม่เคยมีความฝันว่าอยากจะเป็นนักบินอวกาศ หรือมนุษย์อวกาศ เพราะมันเป็นเรื่องที่ดูไกลตัวเหลือเกิน และเคยได้ยินมาว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ต้องมีพร้อมทั้งพลังกาย ความรู้ และพลังใจ
ผู้เขียนถ่ายทอดเรื่องนี้ได้ละเอียดดีมากเลยครับ ทั้งขั้นตอนและความยากลำบาก ยิ่งอ่านยิ่งนับถือคนที่ได้เป็นนักบินอวกาศจริงๆ อีกหนึ่งตัวละครที่ผมชอบมากในเรื่องนี้คือ “คุณป้าชารอน”

คุณป้าชารอนเป็นนักดาราศาสตร์ ผู้ซึ่งมีบ้านที่ซ่อนลึกอยู่ในป่าแต่ที่พี่น้องคู่นี้ ออกตามหาเพราะได้ยินมาว่าที่บ้านของป้าชารอนมีกล้องดูดาวขนาดใหญ่ที่มองเห็นดวงจันทร์ได้อยู่

หลังจากนั้นก็สนิทกันเพราะทั้งคู่ชอบมาขอดูดาวจากกล้องส่องอันนั้นเป็นประจำและเวลาที่มุตตะมีเรื่องกลุ้มใจมักจะไปหาป้าชารอนเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน หลังจากที่เขาผ่านรอบคัดเลือก เขานึกถึงป้าชารอนจึงแวะไปหา และเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟัง ว่าเขาผ่านรอบคัดเลือกแล้วต่อไปก็คือข้อเขียน อีกครั้งที่คุณนัมบะของเราก็คิดว่าจะไม่ไปสอบเพราะยังไงก็คงไม่ได้

อ่านไปก็หงุดหงิด แต่นี่ก็พอจะเข้าใจนะครับ เพราะนัมบะ เชื่อว่าเขาเป็นคนที่เกิดมาพร้อมกับดวงซวย เป็นธรรมดาที่เขาจะคิดว่าเขาคงจะไม่ถูกเลือก แต่ป้าชารอน แทนที่จะใช้คำพูดบิวท์ว่า ไปเถอะ เธอต้องทำได้ บลาๆๆ เธอกลับชวนให้นัมบะเล่นดนตรีครับ…

ซึ่งเมื่อตอนเด็กๆ พอชวนให้เล่นดนตรี นัมบะเขาเลือกเล่นแทรมเป็ต ด้วยเหตุผลที่ว่า มันเล่นยากที่สุด ป้าชารอนชวนเขาเล่นก็เพื่อจะบอกว่าเขาเคยเป็นคนอย่างนั้น

แม้ตอนนี้เขาอาจจะเล่นได้ไม่ดี แต่ยังไงก็ลองเป่าดู เพราะ “เครื่องดนตรีถ้าไม่เล่นก็ไม่เกิดดนตรี” สุดยอดครับชอบตรงนี้มาก สิ่งที่ยากที่สุดของทุกๆ ความฝันผมว่ามันคือตอนเริ่มต้นที่จะทำนี่แหละครับ… ผมจะจำคำนี้ไว้ให้ขึ้นใจเลย


แน่นอนครับว่าเขาก็ผ่านจนในที่สุดมาสู่สอบรอบที่2 เป็นการสัมภาษณ์ เพื่อคัดเลือกให้เหลือผู้เข้าสมัครเพียง 8 คนจาก 45 คนที่ผ่านการสอบรอบแรกมา
Did you find something new about yourself recently?
ช่วงนี้เจออะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับตัวเองบ้าง?

หนึ่งในคำถามที่มุตะต้องตอบเพื่อคัดเลือกเป็นมนุษย์อวกาศ เป็นคำถามเพื่อดูว่าเราติดตามสังเกตตัวเองมากแค่ไหน
และเป็นคำถามที่ผมชอบมาก พอมานั่งคิดตามแล้ว ผมพบว่าตัวเองพบเจออะไรใหม่ๆ แทบจะทุกวันเลย แต่เราไม่ได้สนใจมันมากพอจนทำให้การพบอะไรใหม่ๆ กลายเป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งผมว่ามันคงน่าเศร้ามาก ถ้าเราไม่รู้สึกถึงอะไรใหม่ๆ อีกแล้ว ความตื่นเต้นในการใช้ชีวิตของเราคงน้อยลงจนทำให้ทุกวันเป็นวันที่น่าเบื่อ
อีกตอนหนึ่งที่ผมชอบคือ ตอนที่มุตตะไปเยี่ยมฮิบิโตะที่อเมริกาหลังการสอบคัดเลือกผ่านพ้นไปครบแล้ว คณะกรรมการกำลังจะพิจารณาเลือกคนที่จะเข้าสู่รอบสุดท้าย นัมบะ กำลังอาจจะไม่ได้รับเลือกเพราะว่าเขาเคยเอาหัวโขกหัวหน้าจนทำให้เขาถูกไล่ออกจากงาน
แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่เขาได้จับคนร้ายที่ใช้เครื่องดับเพลิงเป็นอาวุธปล้นร้านอาหารได้ จนกลายเป็นฮีโร่ของอเมริกา แม้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นคนที่ทำให้จับคนร้ายได้แต่เป็นเพราะ อาโป หมาของฮิบิโตะ แต่ในร้านนั้นก็เต็มไปด้วยควันจากเครื่องดับเพลิงทำให้กล้องจับภาพเห็นแค่ตอนที่คนร้ายโดนมุตตะโขกหัว และนัมบะก็รู้สึกไม่ดีที่ไม่ได้พูดความจริงในส่วนนั้น คุณลุงเพื่อนข้างบ้านบอกกับนัมบะว่า
“เขาเองก็เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่เขาอยากจะลองพนันกับสิ่งที่อาจเป็นผลดีต่อตัวมุตตะ ดังนั้น…ความจริง ก็คือ ดวงก็เป็นความสามารถอย่างนึง”

และเหตุการณ์นี้นี่เองที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขาได้รับการคัดเลือกเป็นหนึ่งใน 8 ผู้ที่สอบผ่าน และเข้าสู่รอบสุดท้าย
ดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกคิดถึงน้องชายชะมัด… ตอนนี้เรื่องนี้ยังไม่จบนะครับ แต่อยากบอกว่าอนิเมชั่นสนุกมาก ดูแล้วรู้สึกฮึกเหิมดีเลยล่ะครับ และที่สำคัญผมชอบเพลง OP ของเรื่องนี้มากชื่อว่าเพลง Feel So Moon จากวง Unicorn
ซึ่งเป็นวงที่ผู้เขียนชอบมากเมื่อได้ทำเป็นอนิเมชั่นผู้เขียนจึงให้วงนี้ทำเพลงเปิดให้และมันก็เจ๋งมากครับ MV ก็เท่
ก่อนไปอยากฝากคำถามที่มาจากเรื่องนี้ว่า
Did you find something new about yourself recently?
ให้ทุกคนลองไปคิดและตอบตัวเองดูเล่นๆ ในทุกๆ วันนะครับ ผมเชื่อครับว่าแค่สังเกตตัวเองแค่วันละนิดก็ทำให้ชีวิตคุณสนุกขึ้นอีกเยอะแน่นอนครับ…:)


เรื่องแนะนำ :
– ฮีโร่…
– เรื่องของเด็กๆ กับอนิเมชั่น “Laputa”
– แรงบันดาลใจ
– ราเม็งแห่งความฝัน