หลักการบริหารงานแบบตระหนักถึง “มนได (問題)” และ “คะได (課題)” สไตล์ญี่ปุ่น
ความแตกต่างระหว่างผู้บริหารชาวไทย และ ผู้บริหารชาวญี่ปุ่น ที่จะเห็นได้ชัดประการหนึ่งคือ ผู้บริหารไทยมักไม่ต้องการได้ยินได้ฟังว่างานหรือโครงการใด ๆ นั้นมี “ปัญหา” เพราะมักคิดว่า ถ้ามีปัญหา ก็แปลว่าผู้รับผิดชอบไม่เก่งพอสิ มันถึงได้มีปัญหาได้ หรือไม่ก็คิดว่า ถ้ามันจะมีปัญหาแล้วฉันจะจ้างแกไว้ทำไม ฉันจ้างแกมาเพื่อแก้ปัญหานะ ซึ่งเอาเป็นว่าต่อให้เราจะไม่เหมารวม แต่แนวโน้มข้อเท็จจริงคือ ผู้บริหารชาวไทยมักชอบที่จะฟังว่างานหรือโครงการใด ๆ นั้น “ไม่มีปัญหาครับ/ค่ะ” แล้วก็จะสบายใจ
แต่ผู้บริหารญี่ปุ่นจะค่อนข้างตรงกันข้ามกับผู้บริหารชาวไทย คือ หากงานหรือโครงการใด ๆ ไม่มีปัญหาเลย ผู้บริหารชาวญี่ปุ่นจะกังวลมากว่าผู้รับผิดชอบนั้นกำลังตั้งใจทำงานอยู่หรือเปล่า หรือผู้รับผิดชอบไม่มีความสามารถเพียงพอหรืออย่างไร ถึงทำงานแล้วไร้ปัญหา คือผู้บริหารชาวญี่ปุ่นนั้นจะไม่เชื่อว่าการทำงานใด ๆ จะราบรื่นปลอดโปร่งไร้ปัญหาได้ขนาดนั้น จึงมักมองว่าผู้รับผิดชอบที่ทำงานแล้วมองเห็นปัญหา และสามารถมารายงานปัญหาให้ฟังได้ต่างหากที่เป็นคนทำงานที่เก่ง และมองพวกที่รายงานทุกอย่างว่าไร้ปัญหาว่าเป็นพวกที่ไม่ตั้งใจทำงานมากกว่า
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารชาวญี่ปุ่นก็ไม่ได้ชอบที่จะฟังแต่ปัญหา ปัญหาและปัญหา แต่จะชอบคนที่มารายงานปัญหาพร้อมทั้งวิธีรับมือแก้ไขด้วย ซึ่งในญี่ปุ่นจะแยกกันเรียกปัญหาว่า “มนได (問題)” และเรียกวิธีรับมือกับปัญหานั้นว่า “คะได (課題)”
ในที่นี้เราจะพูดถึงคำว่า “มนได” และ “คะได” ในเชิงการบริหารจัดการในภาคธุรกิจเท่านั้น เพราะฉะนั้นจะเป็นคนละความหมายกับบริบทอื่น ๆ อย่างเช่นในสถาบันการศึกษาที่มักจะแปลคำว่ามนไดเป็น “คำถาม” และแปลคำว่าคะไดเป็น “การบ้าน” หรือ “รายงาน” โดยในเชิงการบริหารจัดการนั้น จะแปลดังนี้
1) มนได (問題): คือ ช่องว่างหรือ gap ที่เกิดขึ้นระหว่างสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน กับเป้าหมายในอุดมคติที่ตั้งไว้ ซึ่งมีทั้งมนไดเชิงปริมาณ และ มนไดเชิงคุณภาพ ตัวอย่างของมนไดเชิงปริมาณก็เช่น ตั้งเป้าจะขายสินค้าให้ได้ 10 ล้านในปี 2023 โดยเฉลี่ยจึงควรขายได้เดือนละ 8 แสนกว่าๆ แต่สิ้นเดือนกุมภาพันธ์แล้วยังขายได้แค่ 500,000 (ทั้งที่จริงควรขายได้ 1.7 ล้านไปแล้ว) แบบนี้ก็จัดว่าเป็นมนได เพราะเกิด gap หรือเกิดช่องว่างระหว่างสภาพปัจจุบัน และ เป้าหมายที่ควรจะเป็น ในขณะที่มนไดเชิงคุณภาพตัวอย่างเช่น ตั้งเป้าว่าทุกแผนกในองค์กรจะต้องมีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ แต่สภาพปัจจุบันคือหลายคนยังทะเลาะกันอยู่ แม้แต่จะทักทายกันก็ยังไม่มี อย่าว่าแต่จะสื่อสารกันเลย แบบนี้ก็จัดว่าเป็นมนได เพราะเกิด gap ระหว่างสภาพปัจจุบัน และ เป้าหมายที่ควรจะเป็น
2) คะได (課題): สามารถแปลแบบกำปั้นทุบดินได้ว่า what to do คือหมายถึง สิ่งที่ควรทำ หรือสิ่งที่ต้องทำเพื่อลบช่องว่างหรือ gap ที่เกิดขึ้นระหว่างสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบันกับเป้าหมายในอุดมคติที่ตั้งไว้ อย่างมนไดเชิงปริมาณเมื่อสักครู่คือขายได้ต่ำกว่าเป้า ดังนั้น คะไดก็คือ “ต้องทำอย่างไรให้ขายได้ตามเป้าให้ได้” ส่วนมนไดเชิงคุณภาพที่ว่าทุกแผนกในองค์กรจะต้องมีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์ ก็จะมีคะไดคือ “ทำอย่างไรให้ทุกแผนกในองค์กรเลิกทะเลาะกัน และสื่อสารกันมีประสิทธิภาพและสร้างสรรค์” นั่นเอง
สำหรับธุรกิจญี่ปุ่นนั้น ความสามารถในการระบุทั้งมนไดและคะได นั้นเป็นความสามารถที่ได้รับการยอมรับว่าจำเป็น และเป็นดัชนีวัด “ความเก่ง” ของพนักงานคนนั้นอีกด้วย สำหรับคนที่ต้องร่วมงานกับบริษัทญี่ปุ่นก็ควรจะปรับแนวทางการทำงานของตัวเอง อย่าทำงานแบบทุกอย่างไร้ปัญหาสไตล์ไทย ๆ ใส่คนญี่ปุ่น เพราะคนญี่ปุ่นจะกังวลมากเมื่อเจอคนไทยบอกว่า “ทุกอย่างไม่มีปัญหา”
แต่อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า เวลาร่วมงานกับนักธุรกิจญี่ปุ่น ก็ไม่ควรรายงานแต่ปัญหา แต่ควรแจ้งไปตามจริงว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้น และได้ลงมือแก้ หรือ วางแผนที่จะลงมือแก้ปัญหานั้นเมื่อไร อย่างไร ซึ่งก็คือการรายงานคำว่า มนได และ คะได ให้ชาวญี่ปุ่นที่เป็นเพื่อนร่วมงานงานหรือโครงการ ได้รับทราบ จะทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพราบรื่นขึ้นอย่างแน่นอน
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– ปรากฏการณ์ “เทอิน-วะเระ (定員割れ)” ของระบบการศึกษาญี่ปุ่น
– การเรียนการสอนวิชา “มังงะ เกมส์ อนิเมะญี่ปุ่น” ที่คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
– ทำไมญี่ปุ่นจึงพัฒนาวงการกีฬาของตัวเองไปได้ไกลระดับต้น ๆ ของเอเชีย
– อาหารญี่ปุ่น 3 ระดับ: วะโชะคุ, ชูกะเรียวริ, และโยโชะคุ
– The Karate Kid และ Cobra Kai: พลังแห่งอารยธรรมญี่ปุ่นในอเมริกาและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในเรื่อง
#หลักการบริหารงานแบบตระหนักถึง “มนได (問題)” และ “คะได (課題)” สไตล์ญี่ปุ่น