ทำไมญี่ปุ่นจึงพัฒนาวงการกีฬาของตัวเองไปได้ไกลระดับต้น ๆ ของเอเชีย
ระหว่างที่เขียนต้นฉบับคอลัมน์นี้ ญี่ปุ่นเพิ่งโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมในการแข่งขันฟุตบอลโลก 2022 เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายไปได้อย่างงดงาม และเป็นชาติแรกของเอเชียที่ล้มแชมป์โลกถึง 2 ชาติคือ สเปน และ เยอรมันอีกด้วย
วันนี้จะไม่ได้พูดถึงแค่ฟุตบอลโลก แต่จะพูดถึงภาพรวมของวงการกีฬาญี่ปุ่นไปเลยว่า ทำไมเขาถึงได้พัฒนาวงการกีฬาของตัวเองไปได้ถึงขนาดนี้ โดยส่วนตัวเห็นว่ามี 3 ปัจจัยที่พัฒนาวงการกีฬาญี่ปุ่นมาตลอดคือ
- ความเชื่อเรื่องสังกัดของคนญี่ปุ่น
- รัฐบาลเห็นความสำคัญของกีฬา
- และการสร้างระบบนิเวศน์ของธุรกิจกีฬาอาชีพในญี่ปุ่น
ปัจจัยแรกคือ ความเชื่อเรื่องสังกัดของคนญี่ปุ่น มีผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก อย่างเช่น Hofstede et al (2010) หรือ Makino (1996) ระบุตรงกันหมดว่าชาวญี่ปุ่นเป็นชาติที่ให้ความสำคัญกับกลุ่มอย่างมาก ที่เรียกว่า Collectivism คือเน้นความผูกพันและผูกมัดของตัวเองและกลุ่มที่ตัวเองสังกัดมากเสียยิ่งกว่าความเป็นปัจเจกของตัวเอง เด็ก ๆ ชาวญี่ปุ่นจึงจะถูกปลูกฝังให้เน้นผลประโยชน์ของกลุ่มหรือของทีมว่าอยู่เหนือผลประโยชน์ส่วนตัว และแน่นอนว่าสังคมญี่ปุ่นนิยมปลูกฝังความเชื่อเรื่องกลุ่มและสังกัดผ่านชมรมกีฬาต่าง ๆ ตั้งแต่ชั้นประถม จนกระทั่งมัธยม หรือแม้แต่มหาวิทยาลัย ก็ยังมีรูปแบบของชมรมกีฬาที่เข้มงวด ซ้อมเข้มมากอยู่ตลอด มีการเช็คชื่อเข้าซ้อม มีระบบโค้ช มีระบบฝึกซ้อมอย่างจริงจังราวกับนักกีฬาทีมชาติ มีฤดูกาลแข่งขันระหว่างโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยอย่างจริงจังมาก ทำให้ชาวญี่ปุ่นถูกปลูกฝังเรื่องกีฬามาตั้งแต่เล็ก ๆ นับว่าความเชื่อเรื่องกลุ่มนี้เข้ากันได้ดีกับแนวคิดการเล่นกีฬาเป็นทีมของญี่ปุ่น
ปัจจัยต่อมาคือรัฐบาลญี่ปุ่นค่อนข้างเห็นความสำคัญกับกีฬา โดยเฉพาะหลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 (ค. ศ. 1939-1945) ต้องเรียกว่าประเทศพินาศย่อยยับ จำเป็นต้องมีสิ่งรวมใจประชาชนให้กัดฟันสู้เพื่อฟื้นฟูประเทศจากเถ้าถ่านให้สำเร็จให้ได้ รวมทั้งอเมริกาเข้ามาวางรากฐานประเทศของญี่ปุ่นให้ใหม่ทั้งหมด ทำให้กีฬาสากลที่เคยเข้าญี่ปุ่นมาบ้างก่อนหน้านั้นแต่ยังไม่ฮิต ก็กลับมาเป็นกระแสด้วยอิทธิพลของอเมริกา นอกจากนี้กีฬาประจำชาติญี่ปุ่นอย่างพวกศิลปะป้องตัวต่าง ๆ ที่ก่อนหน้าสงครามโลกนั้นยังไม่นับว่าเป็นกีฬาเพราะเป็นศิลปะป้องกันตัวมากกว่า พอหลังสงครามโลกก็ผ่านกระบวนการทำให้เป็นสมัยใหม่ กลายร่างเป็นกีฬาในรูปแบบหนึ่งเช่นกัน
รัฐบาลญี่ปุ่นใช้กระแสกีฬาเพื่อกระตุ้นขวัญและกำลังใจของคนในชาติที่หดหู่สิ้นหวังหลังสงครามโลก หน่วยงานรัฐของญี่ปุ่นทุกภาคส่วนหันมารณรงค์การแข่งกีฬาทุกประเภท หลังจากญี่ปุ่นเริ่มฟื้นฟูประเทศขึ้นมาได้มากพอสมควร มีพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิค ณ กรุงโตเกียวเมื่อวันที่ 10 ตุลาคม ค. ศ. 1964 ทางรัฐบาลญี่ปุ่นจึงกำหนดให้วันที่ 10 ตุลาคมของทุกปีเป็นวัน “ไทอิคุ โนะ ฮิ (体育の日)” หรือวันออกกำลังกาย ให้เป็นวันหยุดราชการเพื่อให้ประชาชนญี่ปุ่นได้ออกกำลังกาย และเห็นความสำคัญของการออกกำลังกาย พอปี ค.ศ.2000 มีการเปลี่ยนวันออกกำลังกายจากวันที่ 10 ตุลาคมไปเป็นทุกวันจันทร์ของสัปดาห์ที่ 2 ของตุลาคมแทน จนเมื่อเร็ว ๆ นี้ในปี ค. ศ. 2020 มีการเปลี่ยนชื่อวันจาก “ไทอิคุ โนะ ฮิ” ไปเป็น “สุโปตสึ โนะ ฮิ (スポーツの日)” ที่แปลว่า วันกีฬา แทน โดยให้เป็นวันเดิมคือวันจันทร์สัปดาห์ที่ 2 ตุลาคมเหมือนเดิม
ปัจจัยสุดท้ายที่จะพูดถึงคือการสร้างระบบนิเวศน์ของธุรกิจกีฬาอาชีพในญี่ปุ่น คือมีการผลักดันให้กีฬากลายเป็นอาชีพจริง ๆ ได้ ต่างจากเมืองไทยที่อาชีพกีฬานั้นยังมีตัวตนเบาบาง แม้นักกีฬาทีมชาติไทยบางคนยังต้องประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทตามปกติ แล้วเวลาก่อนแข่งไม่กี่เดือนถึงจะลางานไปฝึกซ้อมเตรียมแข่งได้ ในขณะที่ญี่ปุ่นนั้นนักกีฬาอาชีพคืออาชีพจริง ๆ ที่วัน ๆ ก็คือซ้อมและซ้อม แล้วรับเงินเดือน ไม่ได้ต้องประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเพื่อเลี้ยงชีพแต่อย่างใด
มีการสร้างอาชีพต่าง ๆ เกี่ยวกับกีฬา ไม่ใช่แค่นักกีฬาเท่านั้น แต่ยังมีอาชีพ โค้ช เทรนเนอร์ นักวิจัยและวิทยาศาสตร์การกีฬา นักวิจัยและพัฒนาอุปกรณ์กีฬา แพทย์ประจำตัวนักกีฬา กรรมการกีฬา นักข่าวกีฬา ช่างภาพกีฬา แม้แต่อาชีพผู้จัดกีฬาก็มีนะ แล้วก็มีอาชีพให้เช่าสถานที่เพื่อซ้อมกีฬา กับพวกดีไซน์เนอร์ออกแบบไอเท็มเกี่ยวกับกีฬาต่าง ๆ โดยเฉพาะพวกของ Limited Edition ของทีมต่าง ๆ หรือ Limited Edition ของจังหวัดหรือของเมือง เช่นกัน
การสร้างอาชีพและระบบนิเวศน์แบบนี้มีความสำคัญมากเพราะผลักดันให้เกิดเป็นวิชาชีพจริง ๆ ที่ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจของนักกีฬาพร้อมสำหรับการแข่งระดับโลกจริง ๆ เพราะมีเวลาได้ฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ ไม่ได้ต้องแบ่งเวลาไปทำงานหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพอื่น ๆ แล้วมีเวลาซ้อมเพียงไม่กี่เดือน ทำให้สภาพร่างกายและจิตใจไม่สามารถรับแรงกดดันกับการแข่งระดับโลกได้ นอกจากนี้ผู้ชมกีฬาเองก็ได้รับการหล่อหลอมให้เห็นความสำคัญของกีฬามาตั้งแต่เด็กจนโต ยินดีที่จะจ่ายค่าเข้าชมกีฬาและไอเท็มต่าง ๆ ของกีฬาหรือทีมที่ตัวเองชื่นชอบ สื่อก็ขายข่าวกีฬาได้เพราะมีผู้เสพ ทำให้เกิดระบบกีฬาอาชีพที่มั่นคง สร้างรายได้ และสร้างชื่อเสียงให้ต้นสังกัดและประเทศชาติของตัวเองได้อีกด้วย
3 ปัจจัยด้านบน จึงเป็นเหตุผลที่ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้วงการกีฬาของญี่ปุ่นก้าวมาถึงจุดที่เป็นอยู่ ณ ปัจจุบันได้ และหวังว่าวงการกีฬาของไทยเองก็จะก้าวหน้าขึ้นไปเคียงบ่าเคียงไหล่กับนักกีฬาระดับโลกในอนาคตอันใกล้นี้
ติดตามผลงานเขียนทั้งหมดของวีรยุทธได้ที่ >> https://www.facebook.com/Weerayuths-Ideas
เรื่องแนะนำ :
– อาหารญี่ปุ่น 3 ระดับ: วะโชะคุ, ชูกะเรียวริ, และโยโชะคุ
– The Karate Kid และ Cobra Kai: พลังแห่งอารยธรรมญี่ปุ่นในอเมริกาและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ในเรื่อง
– บทบาทของ J-Pop และ K-Pop ที่น่าจับตามองจากนี้ต่อไป
– กระบองสองท่อน เป็นประวัติศาสตร์ของชาติใดกันแน่? จีน, ญี่ปุ่น, หรือฟิลิปปินส์?
– ทำไมญี่ปุ่นปัจจุบันในยุคเฮเซ (Heisei) และยุคเรวะ (Reiwa) จึงไม่สามารถรุ่งเรืองได้เหมือนยุคทองอย่างยุคโชวะ (Showa) ที่ผ่านมา
หนังสืออ้างอิง
• Hofstede, G., Hofstede, G. J., & Minkov, M. (2010). Cultures and Organizations: Software of the Mind: Intercultural Cooperation and Its Importance for Survival. (3rd ed.). McGraw-Hill.
• Makino, S. (1996). The Study of Culture of In-Group and Out-Group [Uchi to Soto no Gengo-Bunka]. ALC.
#ทำไมญี่ปุ่นจึงพัฒนาวงการกีฬาของตัวเองไปได้ไกลระดับต้น ๆ ของเอเชีย