“อย่าพยายามหาไอเดียดีๆเลย เพราะถ้าเราเอาแต่คิดแบบนั้นด้วยตัวคนเดียว เราจะไม่มีทางได้ไอเดียที่โคตรเจ๋งหรอก” หรือถ้าจะสรุปง่ายๆ ด้วยประโยคของเขาคือ “ไอเดียดีๆ มีอยู่ทั่วโลก แต่ไอเดียโคตรเจ๋งมีนิดเดียว”
ตอนนี้มีหนังสือญี่ปุ่นอยู่เล่มหนึ่งชื่อ ว่า Don’t Try To Come Up With Good Ideas เป็นหนังสือที่มีชื่อเสียงและได้รับการแปลไปในหลายๆ ประเทศไม่ว่าจะเป็นจีน ไต้หวัน เกาหลี เป็นต้น หนังสือเล่มนี้มีจุดเด่นคือว่าด้วยแนวคิด “ครีเอทีฟ” ของบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นนามว่า “KAYAC” โดยชายชื่อ Daisuke Yanasawa

จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ว่าด้วย “การตลาดแนวใหม่” ของญี่ปุ่น ที่พยายามหลุดพ้นจากกรอบข้อปฏิบัติเดิม ซึ่งถือเป็นเรื่องใหม่ในสังคมญี่ปุ่นและแน่นอนว่าเป็นเรื่องใหม่สำหรับวงการ ธุรกิจสากลด้วย นั่นเพราะเวลาแต่ละคนสร้างบริษัทขึ้นมา ย่อมมีความกังวล และมีเรื่องที่ต้องคำนึงถึงมากมาย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุน รายรับ – รายจ่าย ตลอดจนการวางอนาคตของบริษัท แต่ KAYAC เป็นบริษัทที่มองในมุมที่แตกต่างครับ เขามองว่า “บริษัทขนาดเล็กไปจนถึงระดับกลางจะไม่มีวันเติบโตได้เลยหากเขาไม่เอาตัวเอง ไปอยู่ตรงกลางระหว่างสิ่งที่คนสนใจและสิ่งที่นักลงทุนสนใจ เราเดินตามครรลองไม่ได้ เพราะเราจะเป็นเหมือนคนอื่นไปเสียหมด” เหตุนี้ Yanasawa จึงพยายามฉีกบริษัทของตนออกมา และนั่นทำให้ตัวเขาได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นหนึ่งใน CEO ที่ดีที่สุดของประเทศญี่ปุ่น !
จากชื่อเรื่องซึ่งผมแปลไทยไว้ว่า “ไอเดียดี มีไปก็เท่านั้น” ถือเป็นรากฐานของการก่อตั้งบริษัท KAYAC เลยครับ ก่อนอื่น Yanasawa มองว่าแต่ละคนมีแนวคิด มีความรู้ และศักยภาพไม่เท่ากัน ดังนั้น “ไอเดียดีๆ ของแต่ละคน” จึงวางอยู่บนบริบทที่แตกต่างกัน และถ้ามองให้ลึกไปกว่านั้น “ไอเดียที่ไม่ดี” ของแต่ละคน อาจจะกลายเป็นไอเดียที่ “โคตรดี” ของอีกคนก็ได้ ถ้าเขารู้ว่าจะต่อยอดได้ยังไง
ดังนั้นสิ่งที่ Yanasawa บอกว่า “อย่าไปพยายามหาไอเดียดีๆ” ก็เพราะเขาอยากให้ทุกคนเอา “ไอเดียอะไรก็ได้” มาพูดคุยกันในบริษัท ซึ่งบริษัทของเขาเต็มไปด้วยนักคิดชั้นเซียน ดังนั้นโอกาสที่ไอเดียแต่ละอันจะสามารถนำไปต่อยอดได้จึงมีสูงมาก ดังนั้นการ Brainstorm จึงถือเป็น “สิ่งสำคัญที่สุด” ในบริษัท Kayac ซึ่งแต่ละคนจะเอา “ไอเดียทั้งหมดที่ผุดขึ้นมาบนหัว” มานั่งคุยกัน ซึ่งอาจใช้เวลาเร็วมาก ไปจนถึงนานมาก แต่ทุกครั้งผลงานของ Kayac จะสร้างความตื่นตะลังให้กับวงการธุรกิจเสมอ และด้วยผลลัพธ์นี้เอง ที่ช่วยตอกย้ำแนวคิดของ Yanasawa ออกมาได้อย่างชัดเจนว่า “อย่าพยายามหาไอเดียดีๆเลย เพราะถ้าเราเอาแต่คิดแบบนั้นด้วยตัวคนเดียว เราจะไม่มีทางได้ไอเดียที่โคตรเจ๋งหรอก” หรือถ้าจะสรุปง่ายๆด้วยประโยคของเขาคือ “ไอเดียดีๆมีอยู่ทั่วโลก แต่ไอเดียโคตรเจ๋งมีนิดเดียว”

ตัวอย่างงานของเขาที่มีชื่อเสียงก็เช่น การเป็นฝ่ายการตลาดออนไลน์ให้กับงานเลือกตั้งของ AKB48 โดยวิธีของ Kayac คือเขาใช้ Google+ เป็นหลัก โดยมีแนวคิดว่าสิ่งที่แฟนๆ ไอดอลต้องการที่สุดคือการได้ใกล้ชิดกับคนที่เขาชอบนั่นแหละ ดังนั้นรางวัลที่ส่งตรงจากเมมเบอร์ มีค่ามากกว่าเม็ดเงินแน่นอน เหตุนี้เขาจึงเอาเงินก้อนใหญ่ๆ ไปขอความร่วมมือในการประสานงานกับฝ่ายต่างๆ แทน เพื่อที่จะให้แฟนคนที่ได้รับรางวัลจากการเล่นเกม ได้รับหน้าที่เป็นผู้สื่อข่าวหลักของการเลือกตั้ง รวมถึงได้รับเมสเสจแบบ exclusive จากทางเมมเบอร์ที่เขาชอบ ซึ่งแฟนๆ ที่สามารถร่วมสนุกได้นั้น สามารถมาได้จากทั่วโลก ไม่จำเป็นต้องเป็นเฉพาะคนญี่ปุ่นเสมอไป และสุดท้ายแล้ววิธีนี้ก็ทำให้การเลือกตั้ง AKB48 ครั้งที่ผ่านๆ มาสามารถเรียกยอดคนดูได้มากขึ้นเรื่อยๆ

นอกจากนี้เขายังรับงานประชาสัมพันธ์ให้กับ content ดังๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Hatsuke Miku, Uniqlo, VOGUE ฯลฯ เรียกได้ว่าใครที่สนใจงานแนวครีเอทีฟและอะไรที่แหวกแนวกว่าชาวบ้าน ต้องหันมาหา Kayac จนเราสามารถพูดได้เต็มปากว่า “พวกเขาคือบริษัทครีเอทีฟอันดับหนึ่งของญี่ปุ่น” ในยุคปัจจุบัน
หลังจากเราทราบรูปแบบงานของเขาคร่าวๆ ในข้างต้นแล้ว ผมอยากให้ทุกคนได้ทราบแนวคิดและตัวอย่างการบริหารงาน “ภายใน” ของ Kayac ซึ่งผมคิดว่าน่าสนใจมาก และคงเป็นเรื่องดีหากบริษัทในไทยสามารถลองเอามาปรับใช้ได้ครับ ลองไปดูกันครับ
– มีความสุขคือสิ่งที่สำคัญที่สุด! : บริษัท Kayac จะให้พนักงานจับคู่กันครับ และให้บันทึกรอยยิ้มของคู่ตนเองหรือความสุขที่เกิดขึ้นระหว่งกันเอาไว้ อย่างเช่น “วันนี้ชิโนบุชมฉันด้วยล่ะ!”… เป็นต้น ซึ่งบทบันทึกเหล่านี้จะถูกนำไปใส่ในสลิปเงินเดือนครับ ยกตัวอย่างจากประโยคข้างต้น บัญชีของชิโนบุก็จะเขียนว่า “ชิโนบุยิ้มให้มิซาเอะ…0 เยน” งงล่ะสิว่าทำไม 0 เยน? เรื่องนี้ทาง Yanasawa มองว่าสาเหตุสำคัญที่คนเราเครียดๆ คือเรามองไม่เห็นรอยยิ้มของคนอื่นครับ เขาอยากให้คนในองค์กรใส่ใจรอยยิ้มและความสุขที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กัน และสาเหตุที่เขียนว่า 0 เยน ก็เพราะอยากให้พนักงานของเขาเห็นว่า “ความสุขที่ได้รับจากรอยยิ้มนั้น สามารถให้กันได้ฟรีๆ” น่ารักไหมล่ะครับ ?
– ทำตัวให้เท่ “แบบพระเอกการ์ตูน” : ทาง Yanasawa เป็นติ่งมังงะตัวจริงครับ แต่เขาก็ไม่ได้เอาความเกรียนจากมังงะมาใส่หัวหพนักงานของเขา แต่เขาเอา “คอนเซปต์” มาสอนพนักงานว่า “จงทำตัวให้เก่งเวอร์เหมือนพระเอกการ์ตูนที่มักจะคิดอะไรออกมาได้แบบไม่น่า เชื่อ หรือพูดอะไรเท่ๆออกมาได้โดยไม่ต้องคิด หรือกระทั่งมีพัฒนาการก้าวกระโดดแบบไม่น่าเชื่อ” เป็นวิธีการสอนที่ติดตลกแต่ก็ effective มากครับ
– อยากเที่ยวเหรอ ? ไปสิ ! : แน่นอนครับว่าบริษัทครีเอทีฟ สิ่งสำคัญที่สุดคือ “แรงบันดาลใจ” และ “อารมณ์” ทาง Yanasawa เข้าใจดีว่าพนักงานของเขาไม่สามารถคิดงานออกได้แน่ๆ หากต้องเอาแต่คิดงานอยู่ในห้องสี่เหลี่ยม แต่จะให้ทำยังไงดีล่ะ? เพราะเขาก็ไม่สามารถให้พนักงานหยุดงานยาวเพื่อไปเที่ยวได้เช่นกัน ! ดังนั้นทางออกของพวกเขาหลังจากผ่านการประชุมใหญ่ก็คือ……….. “ย้ายออฟฟิศไปประเทศที่พนักงานโหวตว่าอยากไปซะเลย”!!! อันนี้ซีเรียสครับ พวกเขาตัดสินใจเช่าออฟฟิศใหม่กันแล้วอพยพกันไปเลย เรียกว่าเป็นออฟฟิศออนทัวร์ทันที และอยู่กันไม่ใช่วันสองวันนะครับ แกล่อเป็นเดือนๆ หรือยาวเป็นปีๆ กันเลย ตอนแรกเขาเริ่มจากย้ายไปเซนไดก่อน จากนั้นก็เริ่มไปในประเทศในเอเชียอย่างเวียดนาม และล่าสุดนี่เห็นแกไปไกลถึงอิตาลีแล้ว เรียกว่าต่อให้ต้องทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์เท่าเดิม แต่อย่างน้อยมันก็ยังได้ไปต่างประเทศ และได้รู้สึกว่าหัวหน้าเรานี่โคตรจริงจังกับความต้องการของพนักงานเลย แค่นี้พวกเขาก็มีแรงสู้ที่จะทำงานต่อไปแล้วล่ะครับ !!
– ความตื่นเต้นของการทำงานต้องมีอยู่เสมอ : อันนี้สำคัญมากครับ เขามองว่าพนักงานจะหมดไฟไปเรื่อยๆ หากเราไม่พยายามเติมเชื้อไฟให้เขา และรวมถึง “ผลตอบแทน” ที่เขาควรจะได้รับด้วย ตอนต้นผมพูดเรื่องของรอยยิ้มพนักงาน เรื่องนั้นทางบริษัทก็จะมีของตอบแทนให้เล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอครับ แต่วิธีการที่เขาทำและได้รับการพูดถึงไปทั่วญี่ปุ่นก็คือ “การให้เงินเดือนแนวใหม่” กล่าวคือเป็น “การให้เงินเดือนโดยเอาฐานเงินเดือน + การทอยลูกเต๋า” ก็ทอยกันไปครับ แล้วแต่จะเป็นรายเดือน รายสามเดือน หรือรายปีอะไรก็แล้วแต่โดยมีวิธีการคือ “เอาฐานเงินเดือน + (แต้มลูกเต๋าที่ทอยได้) %)” คือใครได้ 6% ก็ดีไป หรือได้ 1% ก็น่าเสียดายหน่อย แต่แค่นี้พนักงานก็ตื่นเต้นกันแล้วครับ
– หัดขอบคุณให้เป็น : Yanasawa เอาข้อนี้ไว้ท้ายที่สุดเพื่อตอกย้ำให้เห็นว่าสิ่งสำคัญไม่ว่าเราจะทำงานอะไร เราจะเติบโตขึ้นแค่ไหน สิ่งสำคัญคือเราต้องหัดรับฟัง และ “ขอบคุณ” ทั้งกับคู่ค้า และเพื่อนร่วมองค์กร เมื่อเราอ่อนโยน คนก็จะอ่อนโยนกับเรา ความอ่อนโยนของคนทำงานเป็นสิ่งที่ทำให้บริษัทแข็งแกร่ง แต่หากคนทำงานเป็นคนที่แข็งกระด้าง บริษัทก็จะอ่อนยวบลงไป ดังนั้นต้องหัดพูดขอบคุณให้เป็นนิสัย
นี่ก็เป็นตัวอย่างของบริษัทที่น่าสนใจมากๆของญี่ปุ่นครับ ผมคิดว่าบริษัทที่สามารถทำแบบนี้ได้อาจต้องใช้เวลาสร้างความเชื่อใจมาเป็น เวลานาน กว่จจะได้รับความเชื่อใจจากคู่ค้าหรือบริษัทอื่นๆที่จะมาเลือกใช้บริการ แต่อย่าลืมครับว่าหากเราสร้างความเชื่อใจให้แก่ลูกค้าได้ สิ่งสำคัญคือความแตกต่างที่บริษัทอื่นไม่มีทางเป็นได้เหมือนเรา และเราจะเติบโตได้ในธุรกิจโดยที่มีคู่แข่งน้อยลง ดังนั้นผมอยากฝากเรื่องนี้ไว้เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการดำเนินธุรกิจ และหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านไม่มากก็น้อยครับ

ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะมีขายที่คิโนะคุนิยะ ไม่ใน Isetan ก็น่าจะมีใน Em Quatier ครับ ลองสอบถามทางพนักงานดูได้ครับ ผมคิดว่าคุ้มค่าจริงๆ : )
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ