ทริปเที่ยวเองที่ Kansai..เข้าสู่เช้าวันที่ 2 เราตื่นมาด้วยเสียงสตาร์ทเครื่องรถยนต์ของ Sanpo ที่ออกไปทำงานแต่เช้า ซึ่งเรายังไม่ทันได้กล่าวลา เพราะวันนี้เราต้อง Check Out ออกจาก Homestay เพื่อไปเข้าพักที่ Toyoko inn แถว Shinsaibashi และสักพักเสียงตึงตังๆ ของเจ้าสองพี่น้องวิ่งลงมาจากชั้น 2 มาที่ห้องเรา…
เรื่องและภาพโดย : The 23rd Ronin www.marumura.com
เข้าสู่เช้าวันที่ 2 เราตื่นมาด้วยเสียงสตาร์ทเครื่องรถยนต์ของ Sanpo ที่ออกไปทำงานแต่เช้า ซึ่งเรายังไม่ทันได้กล่าวลา เพราะวันนี้เราต้อง Check Out ออกจาก Homestay เพื่อไปเข้าพักที่ Toyoko inn แถว Shinsaibashi และสักพักเสียงตึงตังๆ ของเจ้าสองพี่น้องวิ่งลงมาจากชั้น 2 มาที่ห้องเรา เพื่อเข้ามาดูการ์ตูนที่เราเปิดไว้เพื่อหลอกล่อให้เจ้าตัวน้อยลงมา เป็นแผนการตีซี้เจ้า Shinchan ที่ก่อนหน้านี้จะดูเหมือนอายๆ ไม่กล้าเล่นกับเรา ละก็ได้ผล Shinchan มานั่งเล่นกับเราอย่างสนุกสนาน โดยใช้ลูกโป่งตีหัวเราเล่น (เจ๋งมะ) แต่ก็น่ารักดี
ซักพัก Miki ก็วิ่งลงมาจากชั้น 2 พร้อมกับชุดนักเรียนของเจ้าตัวน้อย เราก็เดาได้เลยว่าสายล่ะสิ เพราะตอนนี้ก็ 9 โมงกว่าละ Miki บอกว่าอาหารเช้าเตรียมไว้บนโต๊ะ หรือถ้าอยากกินอะไรในตู้เย็นก็ทำโลด เราบอกว่าเช้าๆ เราขอเบาๆ แค่กาแฟก็พอ Miki ก็ OK ละบอกว่าเค้าไปส่งลูกที่โรงเรียนไม่เกินครึ่งชั่วโมงจะรีบกลับมา เราจึงบอกลากับเจ้าตัวแสบทั้งสอง แต่ก่อนไป Miki ก็ได้อธิบายว่าจักรยานคันนี้มีที่แขวนกระเป๋ากับเจ้าตุ๊กตา Stitch ไว้สำหรับรองหัว Shinchan เวลานั่งหลับ (แหมนี่ขนาดรีบยังจะหันมาขายของอีก 555+)
หลังจากอาหารเช้าเราก็ออกไปเดินเล่นเพื่อรอ คุณ Kumagai เจ้าหน้าที่ของทาง Homestay in Japan มารับเราในตอนบ่ายโมง เพื่อจะไปเยี่ยมเยียนออฟฟิสและช่วยวางแผนการเดินทางให้กับเรา หลังจากนั้นในตอนเย็นเราก็มีนัดที่ร้าน Ippo เพื่อนั่งทานอาหารกัน
เดินเล่นอยู่ประมาณ 2 ชม. ก็ได้เวลาอาหารเที่ยง Miki ก็ถามเราว่าอยากกินอะไร เราบอกเลยว่าขอซ้ำ Sushi อีกซักมื้อ เพราะเมื่อวานกินละอร่อยมาก (ในใจลึกๆ คือประหยัด) และเราก็สั่ง Set 580 Yen ราคาเดิม (ก็กินเพื่ออยู่นี่เนอะ^^*)
และแล้วก็ถึงเวลาต้องโบกมือลา Miki และ Homestay ก่อนไปเธอชมว่าเราอัธยาศัยดี และขอบคุณที่มาพัก Homestay กับเธอ และเราก็บอกว่าถ้าเธอไปเที่ยวเมืองไทยเมื่อไหร่ เราจะอาสาเป็นไกด์นำเที่ยวให้ และ Miki ก็เดินพาเราไปส่งที่สถานีรถไฟ Hatsushiba ที่นั่นเราก็ได้เจอ คุณ Kumagai เจ้าหน้าที่ของ Homestay in Japan มารอรับเรา และจะพาเราไปที่ออฟฟิสแถวสถานี Shin Osaka
พอมาถึงออฟฟิส Homestay in Japan คุณ Kumagai ก็ได้ช่วยเราวางแผนการเดินทางโดยละเอียด โดยขอดูตารางการเดินทางและโรงแรมที่เข้าพัก เราก็ได้บอกปัญหาตอนนี้ที่เราติดอยู่นิดหน่อยคือ การเดินทางวันที่ 3 ที่เราจะไปนอนที่ Kyoto เราไม่อยากลากกระเป๋าใหญ่ไป จึงอยากฝากไว้ที่โรงแรม Toyoko inn senba higashi ซึ่งเป็นโรงแรมที่จะกลับมาพักที่ Osaka ในคืนที่ 4 แต่เราไม่แน่ใจว่าเค้าจะรับฝากหรือป่าว คุณ Kumagai ก็ได้ติดต่อไปที่โรงแรม และทาง Toyoko inn ก็ได้ตอบรับยินดีที่จะรับกระเป๋าฝากไว้ก่อนได้ มาถึงขั้นตอนวางแผนการเดินทาง ส่วนนี้ Homestay in Japan ก็ได้เตรียมแผนที่และทำการมาร์คจุดสถานีหลักๆ ที่เราจะต้องไปลง ตำแหน่งโรงแรม สถานีที่เราจะไปลงตามสถานที่เที่ยว และแนะนำเรื่องของบัตรพาสต่างๆ และคำนวนความคุ้มค่าของการใช้ให้ ซึ่งบอกตรงๆ ว่าเราไม่ได้เตรียมตัวมาละเอียดขนาดนี้ เพราะเราหวังจะพึ่ง Map และ App ต่างๆ ใน Tablet และ Smart Phone ที่เราได้ Download มาใส่ไว้ และมารู้ทีหลังว่านั่นเป็นการคิดผิดของมือใหม่หัดเที่ยวอย่างเรา
และพอได้เวลาเกือบ 4 โมงเย็น เราก็ได้เดินทางไปที่สถานี Yodoyabashi เพื่อที่จะเดินทางไปที่ร้าน Ippo ร้านอาหารสไตล์ Izakaya ซึ่งร้านนี้ได้ติดต่อเราเพราะว่าอยากจะให้คนไทยได้ลองไปชิมลิ้มรสอาหารของเค้า และอยากให้คนไทยได้รู้จักกัน แต่ก่อนขึ้นรถไฟไปที่ร้าน Ippo คุณ Kumagai ก็ได้แนะนำให้เราใช้บัตร Rainbow Card??!! บ่องตงไม่รู้จัก (สะท้อนให้เห็นการเตรียมตัวหาข้อมูลของเราอยู่ในระดับแย่) คุณ Kumagai เลยอธิบายคร่าวๆ ว่ามันก็เป็นบัตรนั่งรถไฟแบบเติมเงินนี่แหละ จะได้ไม่ต้องมานั่งซื้อตั๋วหรือมาคอยหาราคาค่าโดยสารในการเดินทางแต่ละครั้งให้เสียเวลา เราเลยลองใช้ Rainbow Card ในราคา 1,000 Yen กันดูก่อน
การซื้อนั้นก็ไม่ได้ยากอะไร ก็ไปที่ตู้ซื้อตั๋วแล้วก็ 1.เลือกภาษา, 2.กดที่คำว่า Card, 3.กดที่คำว่า Rainbow Card, 4.เลือกราคา 1,000 2,000 5,000 10,000 ละก็รับบัตร เวลาใช้เข้าออกแต่ละสถานีก็จะมีการแจ้งยอดคงเหลือไว้ที่หน้าบัตรตลอด สะดวกสบายกว่าการหยอดเหรียญเยอะเลย ชอบๆ
เดินทางต่อกันมาที่สถานี Yodoyabashi แล้วก็เดินต่ออีกนิดหน่อยก็มาถึงร้าน Ippo พร้อมการต้อนรับแบบสุดอบอุ่น ชอบญี่ปุ่นตรงการต้อนรับของเค้านะ แบบว่าคุณจะเป็นใครก็ช่าง แต่ในเมื่อมาถึงร้านเค้าแล้ว เค้าจะปฏิบัติกับคุณเหมือนเซเลบ โค้งให้เราจนเราแทบอยากจะนอนราบไปกับพื้น พอเราถอดรองเท้าก็รีบมาหยิบรองเท้าเราไปวางไว้ให้เป็นที่เป็นทาง เกรงใจและอายมาก เพราะรองเท้าตอนนั้นเหม็นมาก ร้านนี้เค้าแจ้งเรามาก่อนว่าเมนูหลักจะเป็นพวกเนื้อไก่ มีทั้ง ทอด ปิ้ง ย่าง นึ่ง และดิบ!!! เหอๆ หมูดิบ ปลาดิบ นี่สามารถนะ แต่ไก่ดิบนี่มันหยึยๆ ไงไม่รู้นะ แต่เค้าให้เกียรติเชิญเรามาทั้งที จะเรื่องมากก็ใช่ที่
พอเข้าร้านมานั่งปุ๊บ ทางร้านก็จัดการทยอยเสริพเมนูอาหารตามมาเป็นระลอกๆ เปิดตัวด้วย Omakase yonshu moriawase เป็น Sashimi set สดๆ หวานๆ ต่อด้วย Momo to shiro negi tare yaki เมนูย่างจากส่วนต่างๆ ของไก่ มาพร้อม Unzen ham แฮมหมูแนะนำจากนางาซากิ และ Wakadori no karage ไก่ทอดกรอบๆ ร้อนๆ ในขณะที่เรากำลังเพลินกับอาหารชุดแรกอยู่นั้น เจ้าเมนูสุดสพรึงก็มาถึง Aikamo roast tataki เป็ดป่าย่าง อาหารแนะนำจากเกียวโต ดูจากหน้าตาแล้วไม่น่าใช้คำว่าย่างนะ น่าจะใช้คำว่าพองหรือเฉี่ยวเหมาะกว่า มันดิบชัดๆ อะ สุกไม่น่าจะเกิน 5% ตอนเราคีบมันขึ้นมา สายตาของ Staff Ippo ทุกคู่ก็จับจ้องมาที่เรา ประมาณว่ากินสิ กินเลย แล้วเจ้าจะกลายเป็น Vampire แบบพวกเรา ทำใจอยู่ 5 วิ กลืนน้ำลายหนึ่งเอื้อก และควักถุงพลาสติกเตรียมไว้ใต้โต๊ะ 1 ใบ ใส่ปากและกลืนเอื้อกเลย ท่ามกลางความเงียบของทุกคน แล้วก็มีเสียงถามออกมาประมาณว่า โออิชิ? สุโค่ยเนะ? กู๊ด? เราตอบไปว่า Fantastic!!! ทุกคนในร้านดีใจพร้อมกับเลื่อนไอจานเป็ดดิบมาไว้หน้าเรา เพื่อบอกว่าถ้าอร่อยเชิญกินไปเลย กินไปให้หมด (อยากจะร้องไห้) จากนั้นก็มีตามมาอีก 3-4 เมนู
หลังจากอิ่มหนำสำราญ เราก็ได้กล่าวขอบคุณและร่ำลากับทางร้าน Ippo (ประหยัดไปหนึ่งมื้อ เพราะทาง Ippo เค้าเป็นเจ้าภาพให้) เราก็มุ่งหน้าสู่ Shinsaibashi และการเดินทางของเราก็เริ่มขึ้นที่นี่ เพราะเราต้องโบกมือลา คุณ Kumagai และน้อง AME.dama กล่าวลากันเสร็จต่างคนก็ต่างหันหน้าเดินจากกันไปคนละทาง โดยที่เรายืนอยู่นิ่งๆ ที่เดิม ใจนึงก็อยากจะไปกระชากมือน้อง AME.dama และบอกว่า “อย่าเพิ่งไปดิเฮ้ย” แต่ก็เกรงใจเพราะก่อนหน้านั้นน้องเค้าบอกว่าอยากช้อบปิ้ง เค้าบอกว่าตั้งแต่มาอยู่ที่ญี่ปุ่นส่วนมากจะอยู่นอกเมือง ไม่ค่อยเข้ามาค่าใช้จ่ายมันเยอะ เลยไม่อยากไปรบกวนน้องเค้า เราต้องการเดินทางด้วยการพาตัวเองให้ไปถึงสะพาน Dotonbori หรือสะพานกูลิโกะ ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ใช้เวลาเดินจากสถานีประมาณ 5 นาที ก็มาถึงเจ้าสะพานกูลิโกะโดยไม่ยาก จากความกลัวที่จะหลงก็กลายเป็นความสนุก เพราะหลังจากเวลานี้ไป เราจะไปไหน ทำอะไรก็ได้ตามใจเราในเวลาที่เหลือตั้ง 6 วันแหน่ะ เราเดินเลื้อยชอนไชไปทุกซอกทุกซอยบนถนน Shinsaibashi ใช้เวลาเกือบ 3 ชม. แล้วจึงเดินกลับโรงแรมที่พัก Toyoko inn Shinsaibashi nishi ที่อยู่ห่างจากแหล่งช้อบปิ้งไม่ถึง 10 นาที
หลังจากเข้าที่พักแล้ว เราก็ต้องจัดกระเป๋าสำหรับไปนอน Kyoto 1 คืน และต้องเอากระเป๋าใหญ่ไปฝากไว้ที่ Toyoko inn Senba Higashi ซึ่งเป็นโรงแรมที่เราจะกลับมานอนที่ Osaka ในคืนถัดไป ตามกำหนดพรุ่งนี้เราต้องออกแต่เช้าเพื่อที่จะไปให้ถึง Kyoto ไม่เกิน 10 โมง จะได้มีเวลาเดินดูใบไม้แดงเยอะๆ
แต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นอย่างที่เราคิด ด้วยความผิดพลาด และหลง จนทำให้เราเจอกับวันที่เรียกว่า “หายนะแห่งการเที่ยว” จะเป็นยังไงติดตามได้ในตอนต่อไปนะครับ
เรื่องและภาพโดย : The 23rd Ronin www.marumura.com
เรื่องแนะนำ :
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 8 ร่ำลา Delay และประทับใจ
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 7 หมดเวลาสนุกแล้วสิ
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 6 Minoh ภูเขาและธารน้ำตกใน Osaka
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 5 Tsutenkaku-Rinku Town-Nipponbashi
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 4 รักจัง Arashiyama
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 3 หลง งง สุดท้าย Fin ที่ Kyoto
– ทริปเที่ยวเองที่ Kansai : ตอนที่ 1 Yokoso Japan Homestay @Osaka”
– พาทัวร์โรงงาน Kikko Nihon “ชม ชิม โชยุ แบบสุดสะเทือนไต”