“วงการหนังสือญี่ปุ่นจะดีขึ้น หากคนรุ่นเก่าล้มหายตายจากไปหมด” คำพูดนี้อาจดูรุนแรง แต่เป็นคำพูดที่ผมได้ยินจากปากของสำนักพิมพ์ใหญ่แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น
ผู้ที่อยู่ในวงการหนังสือจะทราบกันดีว่าการติดต่อซื้อขายงานเขียนจากประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นสิ่งที่ยากมาก และต้องอาศัยความพร้อมในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเงิน คุณภาพการแปล คุณภาพการพิมพ์ หรือแม้แต่ภาพรวมของสำนักพิมพ์ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องดีต่อตัวผู้เขียน แต่บางครั้งก็ทำให้สำนักพิมพ์อดคิดไม่ได้ว่า มันมากเกินไปหรือเปล่า? เพราะในประเทศอื่นๆ ที่มีนักเขียนชื่อดังเช่นเดียวกัน อย่างสหรัฐอเมริกา หรืออังกฤษ แม้จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มีประเทศใดเลยที่จะวุ่นวายและยิบย่อยเท่ากับประเทศญี่ปุ่น
ก่อนอื่นเราแยกงานเขียนของญี่ปุ่นออกมาเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ก่อน นั่นคือมังงะ (หนังสือการ์ตูน) และหนังสือทั่วไป (งานเขียนที่เป็นตัวหนังสือ) สาเหตุที่ญี่ปุ่นส่งออกหนังสือการ์ตูนเยอะมากในอดีต เพราะหนังสือการ์ตูนถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการฟื้นฟูประเทศหลังบอบช้ำจากสงคราม ในตอนนั้นรัฐบาลมองว่ามังงะมีศักยภาพเช่นเดียวกับภาพยนตร์ เพราะสามารถทำให้คนเห็นภาพ และไม่จำกัดจินตนาการ ซึ่งจุดนี้เอง สามารถถ่ายทอดให้โลกเห็นว่าคนญี่ปุ่นยังสามารถ “ทำอะไรได้อีกเยอะ” ดังนั้นแล้วญี่ปุ่นจึงโฟกัสที่การส่งออกมังงะ โดยมีสถิติอยู่ที่ “ในหนังสือ 4 เล่ม จะมีมังงะอยู่ 1 เล่ม” ถือเป็นอัตราส่วนที่สูงมากและไม่มีประเทศใดสามารถทำได้
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ “คุณค่า” ของมังงะพุ่งไปถึงขีดสุด ส่งผลไปถึงวัฒนธรรมสำคัญอย่างหนึ่งที่เป็นตัวแปรหลักของธุรกิจการพิมพ์ นั่นก็คือการที่ “คนเลือกจะอ่านหนังสือที่เป็นตัวเล่มเท่านั้น” อย่างที่ทราบกันดีว่าในอดีตญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ผลักดัน E-Book ไม่รุ่ง ทำอย่างไรก็ไม่สามาถตีตลาดตัวเล่มได้ ซึ่งหากเป็นในอดีตที่ไม่มีสมาร์ทโฟน และมีสังคมที่ผู้คนต้องใช้ชีวิตส่วนใหญ่ไปกับการเดินทางระยะยาว หนังสือแบบตัวเล่มจะช่วยทั้งในเรื่องยอดขาย และประโยชน์ในเชิงประชาสัมพันธ์ แต่ปัจจุบันที่ความบันเทิงพื้นฐานถูกแทนที่ด้วยสื่อต่างๆมากมาย การที่คนญี่ปุ่นถูกแบ่งเป็น “คนที่ชอบอ่านหนังสือ (ตัวเล่ม)” กับคนที่ชอบ “อื่นๆ” ทำให้ยอดขายของหนังสือลดลงอย่างมาก และคนญี่ปุ่นเองก็ไม่ได้อยากอ่านหนังสือบนแพลทฟอร์มอื่นด้วย ดังนั้น “แค่”การเอาหนังสือไปใส่บนอินเดอร์เน็ท ก็ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นอยู่ดี ดังนั้นพวกเขาจะทำอย่างไร?
“วงการหนังสือญี่ปุ่นจะดีขึ้น หากคนรุ่นเก่าล้มหายตายจากไปหมด” คำพูดนี้อาจดูรุนแรง แต่เป็นคำพูดที่ผมได้ยินจากปากของสำนักพิมพ์ใหญ่แห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ซึ่งคำพูดนี้ไม่ใช่การต่อว่ากันและกัน แต่เกิดมาเพราะความเข้าใจว่าวัฒนธรรมหนังสือของญี่ปุ่นนั้น มันเป็นสิ่งสำคัญที่อยู่คู่กับวิถีชีวิต และศรัทธาบางอย่างที่ทำให้เกิดความภาคภูมิ เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งยุคสมัย ที่หลายคน “ยอมขาดทุน” เพื่อรักษาศรัทธาของเขาไว้ แต่สุดท้ายมันเป็นสิ่งที่ดีจริงรึเปล่า? คำถามนี้ได้รับการตอบอย่างชัดเจนว่า “ไม่ไหวหรอก”แต่สิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือการเตรียมการทุกอย่างให้เรียบร้อย และรอวันที่ตนเองมีโอกาสทำในสิ่งที่อยากและคิดว่าควรจะทำ ฟังดูแล้วอาจดูเป็นเพียงเหตุผลเล็กๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง โดยอัตราการขยายตัวของยอดขายหนังสือญี่ปุ่น พบว่าคนที่เลิกอ่านหนังสือ เริ่มหันมาอ่านทาง e-book ทำให้ยอดที่ตกไป กลับมาอยู่ในระดับที่เสมอตัว คือไม่ได้ถล่มทลาย แต่ก็ทำให้วงการหนังสือพอจะอยู่รอดต่อไปได้
พูดถึงวงการ e-book แล้ว ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ก็คือการที่คนซื้อหนังสือตัวเล่มมา และเอามาสแกนแบ่งให้เพื่อนอ่าน ถือเป็นเรื่องผิดหรือไม่? แน่นอนเราคุ้นเคยกันดีว่าถ้าเอา e-book มาแชร์ลงอินเตอร์เน็ท ถือเป็นเรื่องผิดแน่นอน แต่คนญี่ปุ่นที่เอาหนังสือที่เขาซื้อมาตัดขอบและสแกนแจกเพื่อน ก็บอกว่าเขาไม่ผิด เพราะปกติเขาก็เอาหนังสือแบ่งให้เพื่อนอ่านอยู่ดีเมื่อตนอ่านจบ หรือต่อให้มีคนเอาไปแชร์ต่อเขาก็ไม่ผิด เพราะไม่ได้เจตนา (ในสมัยก่อนหนังสือญี่ปุ่นไม่ได้ทำเป็น e-book ทุกเล่ม) ดังนั้นในขณะที่กำลังเถียงกันไปเถียงกันมา เหล่าสำนักพิมพ์จึงพยายามผลักดันทุกเล่มให้มีแบบไฟล์ และกำหนดไม่ให้ร้านค้าทำการสแกนหนังสือทั้งเล่มโดยเด็ดขาด ซึ่งก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง (เพราะบางคนก็ยังใช้สแกนเนอร์ส่วนตัวอยู่ดี)
จากนั้นวงการหนังสือญี่ปุ่นก็เริ่มมาถึงทางตัน ไม่ใช่เพราะหนังสือไม่สนุก แต่เหตุผลหลักๆ ที่รัฐบาลญี่ปุ่นเห็นก็คือ เป็นเพราะ “คนยังรู้จักประเทศญี่ปุ่นน้อยเกินไป” ดังนั้นเรื่องที่จำเสนอสู่โลกก็มีข้อจำกัด ให้เหตุนี้ในช่วงราวปี 2008 ทางรัฐบาลจึงจัดทำโครงการ “คัดเลือกหนังสือ 100 เล่ม ที่ถ่ายทอดความเป็นญี่ปุ่นได้ดีที่สุด” และส่งไปที่ห้องสมุดหรือหน่วยงานสำคัญทั่วโลก โดยนับจนถึงปัจจุบันได้ส่งไปแล้วกว่าหนึ่งแสนเล่ม ในกว่า 120 ประเทศ ถือเป็นการหว่านเมล็ดทีละนิดเพื่อหวังผลระยะยาวว่า เมื่อคนรู้จักญี่ปุ่นมากขึ้น ทั้งหนังสือและสื่อต่างๆ ก็จะได้รับการติดตามไปพร้อมๆ กัน ถือเป็นวิสัยทัศน์ที่น่าสนใจและน่าเอาเยี่ยงอย่าง
ปัจจุบันงานเขียนของญี่ปุ่นมีอิทธิพลในระดับโลกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ฟูมิโกะ เอนจิ (Fumiko Enchi) สตรีคนสำคัญในแวดวงวรรณกรรมญี่ปุ่นที่เป็นหนึ่งในตัวแทนเฟมินิสต์, ฮารุกิ มูราคามิ (Haruki Murakami) หรือ คอนโดะ มาริเอะ (Marie Kondo) ที่สร้างกระแสหนังสือ non-fiction สไตล์ญี่ปุ่นให้โด่งดังในระดับโลก และทำให้มีหนังสือในลักษณะใกล้เคียงตามแนวคิดของประเทศต่างๆ ออกตามมาอีกมากมาย ดังนั้นเราสรุปได้ว่าการหว่านเมล็ดพันธุ์ที่ญี่ปุ่นพยายามปลูกเอาไว้ให้โลก เริ่มออกดอกออกผลเป็นที่น่าพอใจ และดูเหมือนจะงดงามขึ้นเรื่อยๆ ด้วยซ้ำ
จากนี้เราจะเห็นหนังสือญี่ปุ่นในตลาดมากขึ้นกว่าที่เคยอย่างแน่นอน ซึ่งเราจะมาแนะนำหนังสือญี่ปุ่นที่น่าอ่านอีกครั้ง รับรองว่าจะสนุกสนานและได้ประโยชน์อย่างแน่นอน !
ติดตามผู้เขียนได้ทางทวิตเตอร์ : @pumi_gtmv
เรื่องแนะนำ :
– รูปแบบการสร้างนักมวยปล้ำอาชีพ
– ระยะของความฝันกับ BNK48
– การบุกอเมริกาของ New Japan Pro Wrestling รุ่งหรือร่วง?
– มวยปล้ำเจ็บแค่ไหนและคุ้มรึเปล่า?
– เมื่อมวยปล้ำ ไม่ใช่ ‘อาชีพ’
ภาพ : http://www.bbc.com/travel/story/20151023-an-unlikely-spot-for-180-bookstores