สุสานหิ่งห้อย…พี่ชายน้องสาวที่อยู่กันสองคนตามลำพังเพื่อหลบหนีภัยจากสังคม แต่ต้องทุกข์ทรมานเพราะไม่มีอาหารกินจนถึงแก่ชีวิต…การ์ตูนแสนเศร้าที่สร้างมาให้ผู้ใหญ่ดู จะช่วยสอนอะไรให้เราได้
เล่าโดย : วสุ มารุมุระ
มันมีเหตุผลที่เขาต้องเอาเรื่องเศร้ามาทำเป็นการ์ตูน “พี่ชายน้องสาวที่อยู่กันสองคนตามลำพังเพื่อหลบหนีภัยจากสังคม แต่ต้องทุกข์ทรมานเพราะไม่มีอาหารกินจนถึงแก่ชีวิต”
การ์ตูนแสนเศร้าที่สร้างมาให้ผู้ใหญ่ดู จะช่วยสอนอะไรให้เราได้
การ์ตูนเรื่องนี้คือ “สุสานหิ่งห้อย” (Grave of the fireflies : 火垂るの墓) ของค่าย Ghibli
การ์ตูนเรื่องนี้สร้างจากนวนิยายของ Nosaka Akiyuki (野坂 昭如) ซึ่งนวนิยายเล่มนี้ได้รับรางวัลด้านวรรณกรรมของญี่ปุ่น Naoki shou โดยที่คุณ Nosaka แต่งเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่ออุทิศแด่น้องสาวที่เสียชีวิตไปในช่วงสงคราม
“ตอนนั้นผมก็ไม่ได้ดูแลน้องเท่าไร สุดท้ายแล้วน้องก็จากไป การเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เพื่อต้องการทดแทนว่าผมควรจะเป็นพี่ชายที่ดีต่อน้องสาวเหมือนในหนังสือเล่มนี้”
มีผู้คนมาขอเอาหนังสือไปสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่ผู้แต่ง Nosaka ได้ปฏิเสธข้อเสนอมาเสมอ โดยให้ความเห็นว่าเด็กที่ไหนจะสามารถมาแสดงฉากที่ดูทุกข์ทรมานในสงครามได้
เมื่อ Studio Ghibli เสนอว่าขอเอานวนิยายเรื่องนี้มาสร้างเป็นการ์ตูนแอนิเมชั่น ทางคุณ Nosaka ถึงบางอ้อเลยว่า “เออ มันก็มีวิธีการแบบนี้ด้วยนี่นา”
ภาพยนตร์เรื่อง Grave of the fireflies ออกฉายเมื่อปี 1988 โดยฉายคู่กันในโรงหนังกับการ์ตูนอีกเรื่องชื่อว่า My neighbor Totoro (Totoro ฉายก่อน) แต่ภาพยนตร์ไม่ประสบความสำเร็จ หลายคนทนกับความเศร้าของเรื่อง Grave of the fireflies นี้ไม่ได้ เดินลุกออกจากโรงก่อนหนังจบก็มี
ต่อมาในภายหลัง ภาพยนตร์เรื่อง Grave of the fireflies ได้รับคำชื่นชม อย่างเช่นเวบไซต์ที่รีวิวหนังของต่างประเทศอย่าง Rotten tomato ยังให้คะแนนสูงถึง 97% (เวบนี้ไซต์ให้คะแนนยากมากครับ) ยกย่องว่า Grave of the fireflies เป็นหนังต่อต้านสงครามที่ดีเรื่องหนึ่ง
“นี่ไม่ใช่หนังต่อต้านสงครามนะครับ”
ผู้กำกับภาพยนตร์การ์ตูนเรื่องนี้ Takahata Isao ได้ว่าไว้
ข้อความที่คุณ Takahata ต้องการจะสื่อคือ การที่สองพี่น้องเลือกที่จะอยู่กันตามลำพังในช่วงสงคราม แตกแยกออกไปจากกลุ่มสังคม สุดท้ายก็ไม่มีอาหารกินนั้น สะท้อนภาพกับสังคมญี่ปุ่นปัจจุบัน (ในยุค 1988) ที่คนหนุ่มสาวของญี่ปุ่นที่หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันในสังคมแล้วออกมาอยู่กันอย่างโดดเดี่ยว สุดท้ายแล้วก็อาจจะเอาตัวไม่รอด
สิ่งที่ผมรู้สึกได้ถึงความสุโก้ยของภาพยนตร์เรื่องนี้ คือข้อความที่คุณ Takahata Isao ต้องการสื่อ และฉากที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ร้องไห้ ซึ่งเป็นพลังของแอนิเมชั่นจริงๆ
ผมว่าผู้ใหญ่อย่างเราควรดูการ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่องนี้อย่างน้อยสัก 1 ครั้งครับ เศร้ามันเศร้าแน่ แต่มันก็จะช่วยส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจของคุณ ให้เราได้คิดว่าหน้าที่ของเราในสังคมนั้นคืออะไร เราควรทำอะไรให้สังคม
ปัจจุบันภาพยนตร์เรื่องนี้มี dvd หาซื้อได้ตามร้านทั่วไปครับ ลองหาไปดูกันนะครับ

ขึ้นชื่อว่าสังคมนั้น จะช่วงสงครามหรือสงบสุข จริงๆ แล้วอาจจะไม่ต่างกัน
ชีวิตในช่วงสงครามนั้น ความกักขฬะและความสวยงามของมนุษย์ ก็คงไม่ได้ต่างกันกับสังคมปัจจุบันครับ
ที่แตกต่างไปคือรูปแบบการแสดงออก แต่แก่นแท้จริงๆ ของมนุษย์และสังคมยังเหมือนเดิม
เล่าโดย : วสุ มารุมุระ
ทักทายพูดคุยกับ Wasu ได้ที่ >>> Facebook Wasu’s thought on Japan
เรื่องแนะนำ :
– ซากุระในสวน Expo โอซาก้า
– สยามเมืองยิ้ม : [โฮะโฮะเอะมิโนะคุนิ] 微笑みの国
– คนญี่ปุ่นแอบคิดลึกๆ ว่า คำว่าการ์ตูน “มังงะ” นั้นไม่ดี
– สำเนียงคันไซตอนที่ 3 ไมโดะ [毎度]
– สำเนียงคันไซ ตอนที่ 2 : อาโฮ่ (โปรดอ่านก่อนใช้)
ขอบคุณภาพจาก
http://www.moviesteve.com/film-of-the-day-6-august-grave-of-the-fireflies/
https://www.mangpong.co.th/eshop/product-detail.php?id=002890