โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง by Lordofwar Nick
เก็บตกปี 2005 แบบว่าไม่มีอะไรทำเลยไปดูปิกาจูที่ Expoland
สวัสดีครับพอดีเพิ่งนึกได้ว่าก่อนจะขึ้นปี 2006 ซึ่งจริงๆ แล้วปี 2006 เนี่ยผมมีเรื่องที่จะเขียนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเยอะมากเพราะว่ารู้ตัวว่าเป็นปีที่จะเรียนและจะได้อยู่ญี่ปุ่นเป็นปีสุดท้ายแล้วก็เลยเที่ยวเก็บตกก่อนกลับ แต่บอกก่อนว่าเที่ยวเก็บตกของผมเนี่ยอยู่บนๆ แค่ในแถบคันไซเท่านั้นนะครับคือ เกียวโต นารา ไปไกลสุดก็แค่ฮิเมจินะครับ
อย่างที่รู้กันว่าชีวิตการเรียนนั้นพอยิ่งใกล้จบเท่าไหร่ก็ยิ่งเครียดมากเท่านั้น แล้วด้วยความที่เพราะผมเรียนไปเนี่ยตีท้ายเนี่ยจะไม่ค่อยมีวิชาที่ต้องเข้าห้องเรียนแล้ว ไปเน้นเรื่องการทำวิทยานิพนธ์ให้จบอย่างเดียว มันก็เลยมีเวลาอยู่กับหอเยอะไม่ค่อยได้เข้าไปที่มหาลัยฯ บางทีก็เลยนั่งรถเมล์รถไฟไปเที่ยวบ้าง แต่คราวนี้อาจจะมาแปลกไปนิดฟรุ้งฟริ้งไปหน่อยก็อย่าเพิ่งตกใจกันนะครับเพราะว่าวันนี้จะไปเที่ยวสวนสนุก Expoland ไปชมดูปิกาจูครับ (เฮ้ย)
มาว่ากันเรื่องการเดินทางครับก่อนอื่นก็นั่งรถเมล์จากแถวหอ ไปลงที่คิตะเซ็นริ แล้วนั่งรถไฟสายฮันคิวลงสถานียามาดะแล้วต่อรถโมโนเรลสถานียามาดะไปแค่สถานีเดียวก็ถึงแล้วครับ ลงที่สถานี “บัมปากุคิเน็นโคเอ็ง” 万博記念公園駅 ก็ถึงแล้วครับ
แต่ก่อนที่จะไปดูปิกาจู ขอเชิญมาดูปลาในลำธารแถวที่ผมอยู่ก่อนแล้วกันครับ ที่นั่นจะมีคลองระบายน้ำที่ระบายน้ำจากภูเขา เวลาบางทีน้ำป่าไหลหลาก น้ำเป็นสีแดงเลยครับแล้วก็ไหลเร็วน่ากลัวมาก แต่ถ้าไม่ใช่หน้าน้ำป่าไหลหลากน้ำก็ใสครับ เรียกว่าน้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา แต่แถวนั้นไม่มีปทุมมาอยู่ไหวๆ นะครับ (ฮา)
ครับเมื่อออกจากสถานีก็จะมีทางเดินลอย เราก็ไปเที่ยวชมกันนะครับไป วันนั้นก็เพลินดีครับได้ดูปิกาจูได้เดินดูสวนสนุกดูสัตว์ต่างๆ ที่เขาเอามาโชว์ ก็เป็นอะไรที่หย่อนใจดีครับ ที่จริงผมเดินเข้าป่าไปบางส่วนที่เป็นสวนสาธารณะ Expo (บัมปากุคิเน็นโคเอ็ง) ด้วยแต่เหมือนแบตจะหมดหรือยังไงนี่แหละครับก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา เอาเป็นว่าบรรยากาศของ Expoland ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2005 นั้นเป็นอย่างไรก็ขอให้รูปที่ถ่ายมาทำหน้าที่เล่าเรื่องไปละกันนะครับ
ขออนุญาตเก็บตกอีกหนึ่งเรื่องนะครับ
คราวที่แล้วพาชมวัตคัตสึโอจิ ลงรูปไปตั้งมากมาย แต่ดันลืมเล่าประวัติความเป็นมา ขอคัดมาเล่าดังนี้นะครับ
ตามเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมาคือ เมื่อปีที่ 4 แห่งศักราชชินคิ (神亀) (ค.ศ. 727) บุตรของฟุจิวาระ โนะ มุเมะฟุสะ (藤原致房) คือโยชินากะ (善仲) และ เซ็นซาคุ (善算) ได้มาสร้างกุฎิ ณ ที่แห่งนี้เพื่อเป็นที่เจริญกรรมฐาน อีกสี่สิบปีต่อมา ณ ปีแรกแห่งศักราชเท็มเปียวจินโกะ (天平神護) (ค.ศ. 765) เจ้าชายไคโจ (開成皇子) ได้
กราบทั้งสองเป็นพระอาจารย์แล้วมาเข้าสำนักปฏิบัติธรรม ณ ปีที่ 8 แห่งศักราชโฮคิ (宝亀) (ค.ศ. 777) เจ้าชายไคโจได้คัดลอกมหาปรัชญาปารมิตาสูตรครบ 600 ม้วน และได้สร้างวัดเมตไตรยะ (มิโรคุจิ 弥勒寺) ณ ตรงที่ที่เป็นวัดคัตสึโอจิในปัจจุบัน (พูดง่ายๆ คือชื่อเดิมคือวัด “มิโรคุจิ” นั่นหละ)
พอมาถึงปีที่ 4 ของศักราชกังเกียว (元慶) (ค.ศ. 880) พระในยุคนั้นได้สวดมนต์ขอพรให้จักรพรรติเซย์วะหายประชวร จึงได้รับนามวัดว่า “คัตสึโอจิ” (วัดเจ้าชนะ 勝王寺) แต่ด้วยความที่ชื่อนี้อาจฟังแล้วพาลนึกไปเป็นว่า “ชนะเจ้า” ไปได้ เห็นว่าไม่เหมาะ เลยเปลี่ยนใหม่เป็น “คัตสึโอจิ” (วัดท้ายชนะ 勝尾寺) จนถึงทุกวันนี้
ชื่อว่า “ชนะ” (คัตสึ 勝) นี่แหละครับสำคัญ เลยเป็นที่มาว่า ทำไมคนต้องเอาตุ๊กตาดารุมะมาถวายวัดกันแบบ เยอะ เยอะมากๆ อย่างในรูปที่ลงไปตอนที่แล้ว เพราะคนเขาถือครับว่า มาขอพรแล้วจะได้ “ชนะ” โดยเฉพาะในการสอบไล่ สอบแข่งขัน ว่าขอให้สอบได้ สอบผ่าน เหมือนอย่างชื่อวัด (อารมณ์คล้ายๆ ต้องไปจดทะเบียนสมรสที่เขต “บางรัก”)
ตัวอย่างเช่นป้ายขอพรอันนี้ “ขอให้สอบพยาบาลทั่วประเทศครั้งที่ 95 จงสอบผ่าน” สาธุ…
ใครสนใจอยากดูชมรายละเอียด ภาพสวยๆ ไปชบที่เว็บไซด์ของวัดได้นะครับ https://katsuo-ji-temple.or.jp/
คราวหน้าเราจะเข้าสู่ปี 2006 กันจริงๆ แล้วนะครับแล้วจะเที่ยววนไปเลยนะครับเกียวโต นารา ฮิเมจิ เกียวโตที่นี่เที่ยวเยอะจริงๆ ครับ นั่งรถเมล์กันเมื่อยเลย แล้วพบกันใหม่นะครับ
เรื่องแนะนำ :
– น้ำตกมิโน่เมื่อใกล้หน้าหนาว และขึ้นดอยไปชมวัดคัตสึโอจิ 勝尾寺 ส่งท้ายปี 2005
– ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เรียนๆ ไอคิโดไป ดันผ่าไปเรียน BJJ ได้ยังไงหว่า?!
– เมื่อผมได้พบกับอาจารย์ดี คำภีร์ล้ำเลิศ (?) วิชาหมัด “เซ็นปูเค็น” 旋風拳 ในสวนสาธารณะ
– ตามหาวิชาดาบอิไอ (4) เมื่อผมต้องสอบเลื่อนสาย
– ใบไม้เปลี่ยนสี ที่น้ำตกมิโน่
#เก็บตกปี 2005 แบบว่าไม่มีอะไรทำเลยไปดูปิกาจูที่ Expoland