วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
ตามหาวิชาดาบอิไอ (4) เมื่อผมต้องสอบเลื่อนสาย
ปี 2005 นับเป็นปีที่ชีวิตเริ่มจะมีเครียดบ้างบางจังหวะแล้วด้วยเรื่องสองเรื่อง
หนึ่งคือเรื่องเรียนในมหาลัย เพราะว่าการเรียนนั้นมีขั้นตอนอะไรต่างๆ มากมายในการจะทำวิทยานิพนธ์สักเล่มหนึ่ง ต้องมีการเสนอหัวข้อ เสนอหัวข้อผ่านแล้วก็ต้องเสนอ proposal อะไรอื่นอีกมากมาย ซึ่งการเรียนในระบบญี่ปุ่นนั้นคือทุกอย่างห้ามสาย ห้ามเกินกำหนดเวลา อะไรที่กำหนดให้เสร็จวันที่เท่านี้ๆ ก็ต้องเสร็จวันที่เท่านี้ๆ ตามนั้น นอกจากนี้ยังมีการส่งจดหมายจากรัฐบาลญี่ปุ่น (กระทรวงศึกษาฯ) ว่าให้อาจารย์ที่ปรึกษา “ประเมิน” นักศึกษาของท่านว่ามีศักยภาพพอจะเรียนให้จบในเวลาที่กำหนดได้ไหม ซึ่งถ้าอาจารย์บอกว่า “ไม่” ทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็จะยุติการให้ทุนแต่เพียงเท่านี้ แล้วก็ขอเชิญท่านกลับบ้าน
โชคดีที่อาจารย์ที่ปรึกษาของผม (อ.นิตตะ) เห็นถึงความพยายามและตั้งใจของผม (คำว่าความพยายามไม่เคยทำร้ายคนที่ตั้งใจ ไม่ใช่ละ 55) ท่านก็เลยมีหนังสือบอกผ่านทางมหาลัยฯ ไปยังกระทรวงฯ ว่าผมมีศักยภาพพอจะเรียนให้จบได้ ขอให้ทางกระทรวงฯ ให้ทุนต่อไป ซึ่งทุนฯ นี้มีคือทุกอย่างในชีวิตนักศึกษาเลยครับ เพราะสิ่งที่เป็นทุนรัฐบาลให้แก่ผมก็คือ การได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียน ค่าธรรมเนียมต่างๆ ในมหาลัยฯ แม้แต่การซีรอกซ์เอกสารตำราในมหาลัยก็ฟรี (เพราะได้รับการยกเว้น) กับเงินเดือนในแต่ละเดือน ซึ่งใช้เป็นค่ากิน ค่าเช่าหอ ค่ารถ ไปจนถึงค่าเล่าเรียน (“ค่าสมาชิก”) ของโรงฝึกดาบอิไอที่ผมเรียนด้วย
ส่วนเรื่องดาบอิไอนั้น บอกตรงๆ ตอนย้ายมาอยู่มิโน่ใหม่ๆ เคยท้อว่าตัวเองไม่ค่อยก้าวหน้าจนเคยคิดจะเลิกฝึก แต่บรรดารุ่นพี่ (จริงๆ ต้องเรียกรุ่นน้ารุ่นอา (ฮา)) ก็ยังให้กำลังใจว่าให้ผมฝึกต่อไป ตั้งแต่ปี 2004 ล่วงมาถึงปี 2005 ก็เริ่มค่อยๆ ต่อกระบวนท่าไปเรื่อยๆ
แต่แล้วพอประธานโรงฝึกบอกว่า ผมจะต้องสอบเลื่อนสาย และจะต้องได้โชะดัน (初段) ไอ้คำว่า “ต้องได้” นั่นแหละคือความกดดัน ผมก็มานั่งคิดว่าเอ้ ตูจะทำไงดีว๊า ไอ้ทุกวันนี้ได้ฝึกนี่ก็แค่สัปดาห์ละวันเดียว (คือวันพุธ) จะทำยังไงให้ตัวเองเร่งสปีดการพัฒนาฝีมือดี คิดไปคิดมา…
ทุกอำเภอมีบูโดคัง ที่เราเรียนอยู่ก็คือบูโดคังอำเภอซุยตะ ตอนนี้เราย้ายมาอยู่อำเภอมิโน่ เอ๊ะแล้วบูโดคังอำเภอมิโน่มีสอนอิไอโดไหม ถ้ามีทำไปเราไม่ไปฝึกเพิ่มที่อีกโรงฝึกนึงล่ะ
…ไม่อยากจะบอกว่านี่เป็นความคิดที่จริงๆ บ้องตื้น เพราะญี่ปุ่นเขาถือมากเรื่องสังกัดสำนัก แต่ด้วยความที่ตอนนั้นไม่รู้สี่รู้แปดอะไรกับเขา ก็เลยหาเรื่องเดินทางไปพบกับอาจารย์ดาบอิไอที่บูโดคังอำเภอมิโน่เสียอย่างนั้น!?
บูโดคังอำเภอมิโน่เดินทางไม่ง่ายเท่าไหร่ ผมต้องนั่งรถเมล์ไปที่ป้ายแถวทางเข้าน้ำตกมิโน่ แถวสถานีรถไฟฮันคิวมิโน่ แล้วเดินๆๆ เข้าซอยๆ ไปจนถึงบูโดคัง ซึ่งอยู่ในซอยลึกพอสมควร ดังรูปแผนที่นี้
ส่วนนี่คือภาพของด้านหน้าบูโดคังอำเภอมิโน่ 箕面市武道館 ภาพนี้ถ่ายเมื่อเดือนกันยายน 2006 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายที่ผมอยู่ในญี่ปุ่นก่อนกลับไทยถาวร (และถือเป็นเดือนที่สำเร็จการศึกษา)
เมื่อผมเข้าไปที่นั่น ซึ่งก็คือสมาคมอิไอโดมิโน่ 大阪箕面居合道協会 หลังจากที่อาจารย์ทั้งหลาย (ซึ่งก็มีแต่รุ่นเจ็ดสิบอัพ เจ็ดดั้งกันทั้งนั้น) ได้ฟังความประสงค์ของผมแล้ว ก็ตกลงยอมให้ผมมาเรียนเสริมกับที่นี่ทุกเสาร์-อาทิตย์ตอนเย็น โดยจ่ายค่าสมาชิกรายเดือนในราคานักเรียนคือหนึ่งพันเยน (ปกติคือสองพันเยน) แต่เพิ่มการนี้ ผมจะต้องติดป้ายชื่อตัวเองใหม่ (ที่จริงเสื้อผมป้ายชื่อเป็นแบบตีนตุ๊กแก) จากที่เวลาผมฝึกที่อำเภอซุยตะ (สำนักเซ็นชินคัง) ก็จะมีป้ายว่า 洗心館 พอมาฝึกที่นี่ เวลาใส่เสื้อทีก็ต้องเปลี่ยนป้ายเป็น 大阪 หมายถึงสมาพันธ์เคนโด้แห่งโอซาก้าแทน ก็คือผมยังเป็นคนของเซ็นชินคังอยู่ ไม่ได้ย้ายสังกัด แค่มาเรียนเพิ่มเฉยๆ ซึ่งนับเป็นความกรุณาอย่างมากแก่นักเรียนต่างชาติอย่างผม
พอได้ฝึกเป็นสัปดาห์ละสามวัน (พุธที่เซ็นชินคัง เสาร์-อาทิตย์ที่มิโน่) แล้วฝีมือก็พัฒนาขึ้นทันตาเห็น ผมเริ่มเอาการฝึกอะไรเล็กๆ น้อยๆ มาแทรกในชีวิตประจำวัน เช่นฝึกกำดาบด้วยนิ้วก้อยซ้ายอย่างเดียวแล้วบังคับดาบขึ้นลงๆ ฝึกการสืบเท้าเวลาเดินไปซื้อของ ฝึกหวดลม (สุบุริ 素振り) วันละร้อยที ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
พอถึงกลางปี 2005 ทางเซ็นชินคังก็ให้ผมไปอบรมเข้าเวิร์คชอป ซึ่งก็ทำให้ผมได้เห็นหนุ่มๆ สาวๆ จากสำนักอื่นเยอะแยะ ได้พบกับซามูไรสาว ใบหน้าขาวๆ ชาวญี่ปุ่น (เฮ้ยๆ) ใส่ชุดฝึกขาว (กิขาว ฮากามะขาว) ฟันดาบในกระบวนท่าต่างๆ น้องๆ หนูๆ บางคนก็ได้ขึ้นดั้งแล้ว ฉะนั้นเราต้องพยายาม (ฮึบ) แต่ตอนเช้าดันมาสายเสียนี่ (เวรกรรม) เพราะว่าลงรถไฟผิดสถานี แต่คนเยอะจริงๆ จะฟันดาบทีเสียวมาก
แล้วพอวันที่ 15 มิถุนายน 2005 ทางโรงฝึกเซ็นชินคังก็จับผมพร้อมกับนักเรียนรุ่นเดียวกันอีกสองคน สอบเป็นการภายในเพื่อรับรองก่อนว่าผมได้หนึ่งกิ้ว (一級 ถ้าเทียบกับคาราเต้ก็คือสายน้ำตาลนั่นหละ) เพื่อให้ผมมีสิทธิ์สอบเลื่อนชั้นเป็นโชะดัน (初段) ซึ่งผมก็ได้รับการรับรองและถูกส่งชื่อไปสอบ
และแล้ววันสอบเลื่อนชั้นก็มาถึง คือวันที่ 14 สิงหาคม 2005 ผมและเพื่อนนักเรียนรุ่นเดียวกันอีกสองคน (เป็นคนญี่ปุ่นรุ่นวัยกลางคนทั้งคู่) และก็บรรดาสมาชิกในโรงฝึก ก็พากันนั่งรถไฟไปสอบ ซึ่งการสอบเท่าที่จำได้ เขาจะเรียกมาทีละสามคน เอาใบเขียนเลขมาปิดทับป้ายชื่อบนเสื้อของเรา แล้วก็ให้เราทำท่าสอบ (รำดาบ) แล้วก็ตัดสินกันตรงนั้น ซึ่งก็ตื่นเต้นหน่อย แต่ก็ผ่านไปได้ นั่นคือได้รับการรับรองว่าเป็นโชะดัน (เท่ากับสายดำขั้นแรกในวิชาอื่นๆ เปรียบได้เสมือนกับคนที่เรียนพื้นฐานครบแล้ว จากนี้ไปก็จะเป็นการเรียนรู้ต่อยอดยาวไป) พอสอบเสร็จก็พากันแวะร้านเหล้าข้างทางดื่มกันหน่อยนึงแล้วค่อยพากันขึ้นรถไฟกลับบ้าน
หลังจากนั้นผมก็ต้องไปที่ที่ทำการของสมาพันธ์เคนโด้แห่งโอซาก้า เพื่อทำบัตรสมาชิกสมาพันธ์ฯ ซึ่งบัตรนี้ผมยังเก็บเป็นที่ระลึกจนถึงทุกวันนี้ ฉะนั้นอย่าแปลกใจว่าทำไมโหความจำดีขนาดบอกวันที่สอบได้เลยเหรอ เปล่าครับ มันมีเขียนไว้ (ฮา) และแน่นอน มีใบประกาศฯ ด้วยตามรูปครับ
อย่างงนะครับ ปี 17 ในที่นี้คือปีเฮย์เซย์ที่ 17 ก็คือปี ค.ศ. 2005 ถ่ายคู่กับหนังสือคู่มือดาบอิไอของสมาพันธ์เคนโด้ญี่ปุ่น
อันนี้คือใบประกาศฯ ว่าได้ “อิไอโดโชะดัน” 居合道初段
สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้อีกอย่างก็คือการที่เบื้องหลังของการฝึกฝนวิชาตรงนี้นั้น ผมได้รับความกรุณาจากบรรดาอาจารย์ผู้เฒ่าทั้งหลายที่บูโดคังอำเภอมิโน่เป็นอย่างมาก ทั้งการที่ให้ผมติดรถนั่งขากลับออกจากบูโดคัง เพราะมันมืดแล้วในซอยเปลี่ยวมาตลอดปีกว่าๆ เกือบสองปี ขนาดที่ว่าแม้ผมจะกลับไทยถาวรแล้วก็ยังได้รับข่าวจากอาจารย์ท่านหนึ่งในนั้นว่า อาจารย์อีกท่านซึ่งผมได้พบกับท่านแค่แป๊บเดียวเพราะหลังจากนั้นแกก็ไปลองสเตย์ที่เมืองไทยนั้น ท่านอยู่ที่เชียงใหม่ ผมสามารถติดต่อขอฝึกเป็นการพิเศษกับอาจารย์ท่านนั้นได้ ซึ่งในการฝึก “พิเศษ” คราวนี้ผมได้ชวนเฮียก๊อบ เพื่อนเก่าแก่ผู้ซึ่งชักนำผมเข้าสู่ทางนี้ (เพราะแกเป็นนักเคนโด้เก่า) มาฝึกพิเศษที่เชียงใหม่ด้วย เมื่อปี พ.ศ. 2550 รูปนี้ผมคิดอยู่นานนิดนึงว่าจะเอาลงดีไหม แต่เนื่องจากมันเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว เพราะผ่านมาเกินสิบปีแล้วหนึ่ง และผมเองก็เลิกฝึกดาบ (คือทิ้งวิชาดาบตรงนี้ไปแล้ว) หนึ่ง เลยคิดว่าสมควรลงไว้เป็นประวัติศาสตร์เอาไว้เล่าให้ลูกหลานฟังได้ครับ ภาพนี้ถ่ายที่เชียงใหม่ (คริสตจักรแผ่นดินของพระเจ้า อุ้ย เรามาฝึกดาบในแผ่นดินของพระเจ้าเลยนะนั่น)
รูปนี้กลายเป็นอดีตไปหมดแล้วครับ ดาบยกให้เพื่อนไปแล้ว ชุดฝึก (ชุดเคนโด้) บริจาคให้ชมรมเคนโด้ มช. ไปแล้ว หลังจากการฝึกที่มีภาพถ่ายอันนี้แล้ว ผมก็ไม่ได้ติดต่อกับอาจารย์อีกเลย ตอนนี้ของเหลืออยู่ที่ตัว มีแค่ป้ายชื่อเท่านั้นเองครับ
และพอมาดูรูปนี้ที่ถ่ายคู่กับอาจารย์เดวิด ณ ปลายปี พ.ศ. 2563 หรืออีก 13 ปีต่อมา…
…ก็ต้องยอมรับว่า เวลาที่ผ่านไปสิบสามปีนั้น มันเนิ่นนานเกินไปจริงๆ เชื่อว่าคนที่ดูรูปเมื่อกี้พอดูรูปนี้จะต้องสบถว่า “นี่มันคนๆ เดียวกันหรือเปล่าเนี่ย?”
ครับ เวลาสิบสามปีนี่ทำให้คนๆ นึงบางทีกลายเป็นอีกคนนึงไปได้เลยนะ (ฮา)
ฉะนั้นเราจงจดจ่ออยู่กับปัจจุบันครับ “ที่นี่และเดี๋ยวนี้” อาจารย์เดชิมารุสอนไว้ในหนังสือเล่มที่ผมอ่าน
ตอนหน้าจะมาเล่าให้ฟังเรื่องที่ว่าทำไมถึงมาเรียนไอคิโดเป็นวิชาเสริม และเรื่องที่ผมได้พบกับนักบวชพเนจรผู้ตั้งตัวเป็นเจ้าสำนัก “หมัดวายุ” (เซ็มปูเค็น 旋風拳) ในสวนสาธารณะ!? โปรดคอยติดตามอ่านกันนะครับ
เรื่องแนะนำ :
– ใบไม้เปลี่ยนสี ที่น้ำตกมิโน่
– จากไทเซน เดชิมารุ ถึงบากิ: ว่าด้วยปรัชญาชีวิตเรื่องชัยชนะและความพ่ายแพ้
– บทความสาระ วิชาการ (ตรงไหน?) : ว่าด้วย “อาหารจีน” ในญี่ปุ่น
– ชีวิตการซูชิและสุราของข้าพเจ้า (2) อยู่ญี่ปุ่นมีอะไรให้ดื่มได้บ้าง
– ชีวิตการซูชิและสุราของข้าพเจ้า (1) เมื่อผมเสพติดซูชิหมุนร้อยเยน
#ตามหาวิชาดาบอิไอ (4) เมื่อผมต้องสอบเลื่อนสาย