ความสนุกของละครญี่ปุ่นนั้น… นอกจากจะอยู่ที่เนื้อเรื่องแล้ว ยังอยู่ที่ “การดำเนินเรื่อง” และ “กลวิธีการเล่าเรื่อง” อีกด้วยค่ะ จะว่าไปแล้ว ละครญี่ปุ่นก็มีวิธีการดำเนินเรื่องที่น่าสนใจค่ะ
ความสนุกของละครญี่ปุ่นนั้นนอกจากจะอยู่ที่เนื้อเรื่องแล้ว ยังอยู่ที่ “การดำเนินเรื่อง” และ “กลวิธีการเล่าเรื่อง” อีกด้วยค่ะ จะว่าไปแล้ว ละครญี่ปุ่นก็มีวิธีการดำเนินเรื่องที่น่าสนใจค่ะ เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ละครญี่ปุ่นน่าติดตาม สัปดาห์นี้เลยมาขอเล่าถึง “การดำเนินเรื่อง” ที่น่าติดตามของละครญี่ปุ่น จะเป็นอย่างไรบ้างนั้นตามมาอ่านกันเลยค่ะ
1. เดินเรื่องเร็วเวอร์!!!
อย่างที่รู้กันว่า ละครญี่ปุ่นมีจำนวนตอนที่สั้นมาก โดยเฉลี่ยแล้ว ในเรื่องหนึ่งมีจำนวนตอนประมาณ 8 – 12 ตอนเท่านั้น แต่ละตอนก็มีความยาวประมาณ 46 นาที (ไม่รวมโฆษณานิดๆ หน่อยๆ) ซึ่งทำให้เห็นว่าความยาวของละครญี่ปุ่นนั้นสั้นมาก ส่งผลให้การดำเนินเรื่องของละครญี่ปุ่นจะเดินไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีการยืดเรื่องให้เยิ่นเย้อจนน่าเบื่อ ถือว่าเป็นอีกเทคนิคหนึ่งในการสร้างละครญี่ปุ่นเลยก็ว่าได้ค่ะ ออกแนวทำนองว่า จะดำเนินเรื่องไปอย่างไร โดยที่ไม่ให้คนดูรู้สึกอยากละสายตาไปจากจอ ดังนั้นทุกวินาทีของละครมีค่าค่ะ ต้องดึงคนดูให้อยู่หมัด
![ละครญี่ปุ่น](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/ChaMaNow/Series%20Running/SeriesRunning_1.jpg)
ว่าแต่การเดินเรื่องที่ว่ารวดเร็วเนี่ย จะเร็วขนาดไหนกัน เพื่อนๆ อาจจะยังนึกภาพไม่ออก ชามะนาวก็เลยขอยกตัวอย่างจากละครญี่ปุ่นมาให้เห็นภาพกันสักหน่อยค่ะ อย่างเช่นเรื่อง “Shitsuren Chocolatier” สิ่งที่เกิดขึ้นตอนเปิดเรื่องมา 20 นาทีแรกคือ พระเอกหลงรักนางเอก ถูกนางเอกบอกเลิก พระเอกบินไปเรียนทำช็อคโกแลตที่ปารีส ได้เพื่อนสนิทมา 1 คน แล้วบินกลับมาญี่ปุ่น เปิดร้านช็อคโกแลต พระเอกก็มีชื่อเสียง ป็อปขึ้นมา ในขณะที่นางเอกกำลังแต่งงานกับผู้ชายอีกคน ถ้าจะให้ยืดเรื่องออกเนี่ย ทำได้มากกว่า 1 ตอนเสียด้วยซ้ำ แต่เขากลับเลือกที่จะเล่าแค่เพียงเวลาสั้นๆ เหตุผลก็เพราะ ข้อหนึ่ง ละครมีจำนวนตอนที่สั้นมาก และยังมีเนื้อเรื่องที่โดดเด่นมากกว่านี้ เลยต้องรีบเล่าบางส่วนให้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สอง ส่วนที่เป็นภูมิหลังของละคร มักจะไม่เล่ายืดเยื้อ สาม จะยืดเนื้อเรื่องมากไม่ได้ เพราะภายใน 46 นาที แทบทุกวินาทีต้องดึงคนดูให้อยู่ จะทำยังไงก็ได้ ที่จะให้คนดูเลือกเปลี่ยนช่องให้ได้น้อยที่สุด
และจากการดำเนินเรื่องที่รวดเร็วเช่นนี้ ทำให้ละครญี่ปุ่นมีความน่าติดตาม ไม่ค่อยมีความน่าเบื่อจากความเยิ่นเย้อของเรื่อง แต่กลายเป็นว่าต้องจับตาดูให้ดี เดี๋ยวจะตามเรื่องไม่ทัน เรื่องที่เห็นได้ชัดๆ อีกเรื่องก็คือ “Hanzawa Naoki” ที่มีคำโปรยที่ว่า “เป็นละครที่จะทำให้คุณไม่ลุกไปไหนเลยตลอด 2 ชั่วโมง” ซึ่งการเดินเรื่องที่รวดเร็ว และเข้มข้นก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ถูกใช้ในละครเรื่องนี้
2. เดินเรื่องด้วยภาพ
มีคนเคยบอกว่าความแตกต่างระหว่างภาพยนตร์กับละครที่สังเกตเห็นได้อย่างง่ายๆ เลยก็คือ ภาพยนตร์จะเน้นที่การฉายภาพค่ะ ภาพจะเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญในการเล่าเรื่องราว แต่ละครนั้นบทบาทความสำคัญของภาพจะลดน้อยลง จะเน้นไปที่บทพูด บทสนทนามากกว่า จะเห็นได้ว่า เวลาเราดูละคร แม้ว่าเราจะไม่ได้จับจ้องที่จอโทรทัศน์ตลอด เราก็ดูละครได้รู้เรื่อง เพราะละครมีตัวช่วยคือ “บทพูด” ค่ะ แค่เราฟัง ก็พอทำให้เรารู้เรื่องราวบางอย่างได้
แต่สำหรับละครญี่ปุ่นนั้น เรื่องของภาพจะค่อนข้างมีความสำคัญ บทพูดจะไม่อธิบายการกระทำ หรือเหตุผลของการกระทำของตัวละครมากนัก บางฉากจะไม่มีคำพูดใดใดโผล่มาเลยก็มีค่ะ แต่จะเน้นที่ภาพ หรือการกระทำของตัวละคร แล้วให้คนดูตีความเอาเอง เช่น เรื่อง “Legal High2” ตอนที่ว่าด้วยคดีอนาจาร มีผู้ชายคนหนึ่งชอบออกมายืนโชว์ของลับตรงกระจกหน้าต่างของบ้าน ทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้นเป็นประจำมองเห็น และเป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเธอเข้าใจว่า ผู้ชายคนนั้นตั้งใจที่โชว์หรือทำอนาจารกับเธอ
หลายคนมองว่าผู้ชายที่โชว์ของลับคนนั้นทำอนาจาร “โคมิคาโดะ เซนเซย์” เลยพลิกคดี โดยสืบไปเจอว่า จริงๆ แล้วผู้หญิงที่ฟ้องว่าถูกผู้ชายทำอนาจารนั้น โชว์ของลับนั้น เป็นพวกที่ชอบแอบดูของลับเองต่างหาก! คดีความก็จบไปด้วยการขอยกเลิกฟ้อง แต่จุดสรุปของเรื่องจริงๆ ก็ฉายออกมาเป็นภาพค่ะ
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/ChaMaNow/Series%20Running/SeriesRunning_2.jpg)
ในตอนจบ ผู้หญิงคนนี้ก็ยังเดินไปที่แถวๆ บ้านของผู้ชายคนนั้น ก้มมองนาฬิกา ถ้าให้เราตีความก็คือ เธอจำเวลาได้ค่ะว่า ผู้ชายคนนี้จะเดินออกมาตอนกี่โมง เพื่อที่จะได้เจอเขา เธอจึงต้องมาเวลาเดิมทุกวัน และผลสุดท้ายก็จบลงด้วย ทั้งคู่ส่งสายตาปิ๊งๆ กัน เป็นการบอกสัญญาณบางอย่าง และผู้หญิงก็เดินเข้าไปในบ้านของผู้ชายคนนั้น ฉากนี้ไม่มีบทพูดสักแอะค่ะ แต่คนดูก็รู้ได้เลยว่า ความจริงของคดีความนี้ก็เป็นแบบที่โคมิคาโดะ เซนเซย์ได้บอกเอาไว้ ก็คือ ฝ่ายหญิงเองก็ตั้งใจที่จะแอบดูเช่นกัน!
3. เล่าเรื่องแบบปิดมุมมอง
เทคนิคนี้ก็เจอในการดำเนินเรื่องในละครญี่ปุ่นบ่อยค่ะ ละครที่จำเป็นต้องปิดมุมมองบางมุมแก่คนดูนั้นก็มักจะเป็นละครแนวสืบสวน สอบสวน ถ้าเป็นในนวนิยาย นวนิยายประเภทนี้ผู้เขียนจะเล่าโดยใช้ตัวละครบุรุษที่หนึ่ง ก็คือ ตัวฉัน ตัวผม หรือตัวละครเอกนี่แหละค่ะ เป็นคนเล่าเรื่อง คนอ่านก็จะเห็นและรับรู้เฉพาะสิ่งที่ตัวละครเอกเห็น จะไม่ใช่ลักษณะการเล่าเรื่องแบบผู้รู้แจ้ง ประมาณว่าคนอ่านจะรู้จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ละครแนวสืบสวนก็เช่นกันค่ะ ถ้าจะเล่าให้สนุก ต้องปิดมุมมองบางมุม เพื่อชวนให้เรื่องดูน่าติดตาม
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/ChaMaNow/Series%20Running/SeriesRunning_3.jpg)
อย่างเช่นเรื่องนี้เลยค่ะ “Satsujin Hensachi 70” ละครภาคพิเศษจบในตอน เป็นละครที่ต้องตั้งใจดูมากๆ ค่ะ เพราะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยบอกอะไรตรงๆ ให้กับคนดู วิธีการดำเนินเรื่องจะเป็นแบบข้อ 2 ที่ได้เล่าไปแล้วก็คือ เน้นใช้ภาพมากกว่าบท บวกกับปิดมุมมองบางด้านของคนดู ทำให้เวลาดูจะงงเป็นไก่ตาแตกมาก คนดูจะเห็นตามที่ตัวละครในเรื่องเห็น เช่น ทุกคนจะเห็นเหมือนกับ “มิยาฮาร่า เคสุเกะ” (ฮารุมะ มิอุระ) เห็น ก็คือผู้ชายปริศนาที่ชอบตามติดเขามาทุกที่ ทั้งข่มขู่ และทำร้ายต่างๆ นานา ดูไปก็งงไป หลอนไปว่า ไอ้ผู้ชายคนนี้มันเป็นใครกันนะ ทำไมมันถึงได้จิตยังงี้!
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/ChaMaNow/Series%20Running/SeriesRunning_4.jpg)
หรือจะเป็นฉากนี้ค่ะ ฉากที่คนดูจะเห็นเหมือนกับยามในเรื่องเห็นเป็นฉากที่เคนสุเกะแอบเข้าไปในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยกับผู้หญิง คนหนึ่ง แล้วเข้าไปขโมยสารเคมีบางอย่าง แล้วยามมาเห็นเขาเลยต้องหนี แต่…ทำไมพี่ยามถึงเห็นคนแค่คนเดียว ทั้งๆ ที่มากัน 2 คน
และนี่ก็เป็นตัวอย่างการปิดมุมมองในละครญี่ปุ่นที่เขาจะไม่เปิดหมด แม้แต่บทพูดก็จะไม่บอกอะไรมาก จะทิ้งปมเอาไว้ ให้คนดูคิดและสังเกตตามๆ กันไป ซึ่งสิ่งที่เขาปิด มันก็คือจุดเฉลยของเรื่องนั่นแหละค่ะ ถ้าจะให้เล่าเปิดหมด เรื่องก็จะหมดสนุกไป
เขาว่ากันว่าละครแนวสืบสวนนี่แหละเป็นแนวที่ทำยากสุดๆ การที่จะปิดมุมมอง หรือทิ้งปมอะไรบางอย่างไว้เป็นปริศนาไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ละครญี่ปุ่นกลับทำได้เนียนค่ะ ทำออกมาที คนดูติดกันงอมแงม ลุ้นอยากดูตอนต่อไปว่าจะเป็นยังไงน้า~
4. ผู้เล่าเรื่อง
บางทีมันก็ต้องมีบทพูดในใจ เพื่ออธิบายเรื่องราวบางอย่าง ถ้าในบทจำเป็นต้องมีฉากที่ตัวละครพูดในใจ ก็จะเป็นแบบพูดในใจจริงๆ จะมีเสียงของตัวละครดังขึ้นมา แต่ปากจะไม่ขยับ แสดงให้เห็นว่า นี่คือคิดในใจจริงๆ นะ หรืออีกวิธีหนึ่งที่ละครญี่ปุ่นชอบใช้คือ มี “Narrator” หรือ “ผู้เล่าเรื่อง” มาช่วยในการอธิบายค่ะ เพื่อให้คนดูเข้าใจถึงที่มาที่ไปของละครมากขึ้น หรือเหตุผลของการกระทำของตัวละครที่ไม่สามารถอธิบายผ่านบทสนทนาได้ ก็จะมีผู้เล่าเรื่องเป็นคนทำหน้าที่แทนค่ะ ก็จะออกมาในลักษณะที่ว่า ในขณะที่เรื่องดำเนินไป ก็จะมีเสียงคนคนหนึ่งดังขึ้นมา อธิบายเรื่องราวของละครเรื่องนั้นๆ เพิ่มเติม ละครตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ “Hanzawa Naoki” ที่จะมีเสียงผู้หญิงคอยอธิบายความรู้เกี่ยวกับอาชีพของนายธนาคาร เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับคนดู ดูไปแล้วจะได้ไม่งง
อาจมีคนมองว่าการเพิ่มผู้เล่าเรื่องเข้ามาเนี่ยจะทำให้เกิดความรำคาญหรือเปล่า ถ้ามองอีกแง่หนึ่งจะเห็นว่า ผู้เล่าเรื่องบางทีก็เป็นสิ่งที่ทำให้ละครดูมีสีสันขึ้นมาค่ะ อย่างเช่นเรื่อง “First Class” ที่ทุกตอนของละคร จะมีเสียงเจ๊คนหนึ่งออกมาพูดแบบแซบๆ ก่อนเปิดเรื่อง
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/ChaMaNow/Series%20Running/SeriesRunning_5.jpg)
นอกจากนางจะมาเล่าเรื่องของตอนที่แล้ว (บวกกับสปอยล์เรื่องตอนต่อไป) นางก็ยังแสดงความคิดเห็นไปด้วย เหมือนเป็นเพื่อนที่คอยอยู่ดูละครกับเราไปทุกตอนจนจบ ถือว่าเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่ทำให้ละครน่าติดตามค่ะ
5. หยอดจุดไคลแม็กซ์กันความเบื่อ
ความสนุกของละครญี่ปุ่นอีกอย่างก็คือ “จุดไคลแม็กซ์” ค่ะ ทุกตอนของละครจะมีจุดไคลแม็กซ์ด้วยเสมอ ไม่จำเป็นว่าในละครเรื่องหนึ่งจะต้องมีจุดไคลแม็กซ์แค่เพียงที่เดียว แต่สามารถแทรกไปทุกๆ ตอนได้ จากลักษณะของละครญี่ปุ่นที่มักจะเป็นแบบ “Renzoku” หรือละครต่อเนื่อง ที่มีทั้งแบบต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ต้องดูให้จบถึงรู้เรื่องราว กับแบบ “1 wa kenketsu keishiki” Renzoku แบบมีบทสรุปใน 1 ตอน ละครแนวนี้ก็จะมีโครงสร้างเหมือนเรื่องสั้นเลยค่ะ ที่จะมีจุดเริ่มต้น จุดไคล์แมกซ์ และจุดคลี่คลายจบในตอน แต่ที่ต่างออกไปคือ ยังไม่ถือว่าเป็นจุดจบของเรื่องทั้งหมด เนื้อเรื่องหลักก็ดำเนินต่อไป ส่วนเรื่องราวของตอนย่อยๆ ก็จบลง
![](http://i771.photobucket.com/albums/xx357/marumura/ChaMaNow/Series%20Running/SeriesRunning_6.jpg)
ละครที่มีลักษณะนี้จะพบเห็นได้มากตามละครสืบสวนสอบสวน แต่เดี๋ยวนี้ตามละครชีวิต ละครครอบครัว หรือแนวอื่นๆ ก็ใช้ลักษณะนี้ในการดำเนินเรื่องด้วย จากการดำเนินเรื่องเช่นนี้ ทำให้ละครญี่ปุ่นไม่ค่อยน่าเบื่อสักเท่าไรค่ะ อย่างน้อยๆ ในตอนหนึ่งก็มีจุดมันส์ๆ สักจุดรอเราไว้อยู่ ไม่จำเป็นต้องดูไปหลายๆ ตอน ถึงจะเจอจุดไคลแม็กซ์ ถือว่าเป็นการดำเนินเรื่องอีกรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจสุดๆ ค่ะ
และนี่ก็คือการดำเนินเรื่องตามสไตล์ละครญี่ปุ่น ที่มีส่วนช่วยเพิ่มความสนุก ความน่าสนใจให้กับคนดูนอกเหนือไปจากบทและพล็อต แม้จะดูเป็นจุดเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ละครน่าดูขึ้นมาเลยทีเดียวค่ะ ^^
เรื่องแนะนำ :
– คาเมะ&ยามะพี รีเทิร์น! ย้อนรอย Nobuta wo Produce เมื่อ 12 ปีที่แล้ว
– พลังของละครญี่ปุ่นที่ช่วยเปลี่ยนแปลงสังคมที่อยากได้ให้เป็นจริง
– พระ-นางละครญี่ปุ่น ที่ไม่ได้แสนดีตามขนบนิยม
– ดารา- ศิลปินญี่ปุ่นมากฝีมือ ที่ขอโบกมืออำลาวงการบันเทิง
– อุปสรรคความรักในละครญี่ปุ่น ที่ไม่ใช่แค่เรื่องมือที่สาม