“ไม่ครบห้า” หนังสือที่อ่านแล้วคิดได้ว่าชีวิตจะครบหรือจะขาดอาจอยู่ที่ความพอใจ
สวัสดีปีใหม่ค่ะทุกคน กิจวัตรที่หลายคนทำช่วงปีใหม่นอกจากไปเที่ยวแล้วก็คงมีหลายคนที่จัดบ้านเพื่อทิ้งสิ่งเก่าเพื่อต้อนรับสิ่งใหม่ในชีวิต นิจเองก็เป็นคนหนึ่งที่ทุกปีจะมีการรื้อของออกมาทบทวนอยู่เรื่อยๆว่ายังรู้สึก Spark Joy กับของชิ้นนั้นอยู่หรือเปล่า (ตามแนวคิดของคุณมาริเอะ คนโดะ นักจัดบ้าน) ถ้าของชิ้นนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดประกายความสุขแล้วก็อาจจะถึงเวลาที่ของควรถูกย้ายออกไปจากชีวิตเพื่อจะได้มีที่สำหรับความสุขใหม่ๆ
รื้อไปรื้อมาก็เจอหนังสือเล่มหนึ่งที่นิจรู้สึกว่าผ่านมาหลายปีแล้วแต่อ่านแล้วยังคงรู้สึกสปาร์คจอยและอยากแนะนำให้เพื่อนๆอ่าน ชื่อเรื่อง “ไม่ครบห้า” เขียนโดยคุณโอโตทาเกะ ฮิโรทาดะ แปลโดยคุณพรอนงค์ นิยมค้า ค่ะ
ขออภัยที่สภาพหนังสือดูสู้ชีวิต เก่าเก็บมากไปหน่อยค่ะ ซื้อมาตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี เพิ่งเรียนภาษาญี่ปุ่นใหม่ๆ
ที่มาของชื่อหนังสือคือ เวลาที่คนไทยอยากให้ลูกเกิดมามีอวัยวะครบถ้วนสมบูรณ์ ส่วนใหญ่เราจะพูดว่าขอให้ครบ 32 แต่คนญี่ปุ่นจะบอกว่าครบ 5 คือนับเพียงแค่หัว 1 แขน 2 ขา 2 โดยที่ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้มีเพียง 1 แต่ขาดไปถึง 4 คือมีแค่หัวกับลำตัวเท่านั้น
หนังสือเล่มนี้บอกเล่าชีวิตจริงของผู้เขียนในฐานะคนที่ไม่มีแขนและขามาตั้งแต่กำเนิด และใช้ชีวิตแบบ “มนุษย์เก้าอี้ล้อ” แต่สิ่งที่น่าประทับใจคือเขาบอกว่า “ถึงผมจะพิการแต่ผมก็มีความสุข สนุกทุกวัน”
ทั้งที่ชีวิตเกิดอุปสรรคนับครั้งไม่ถ้วนแต่เขาไม่เคยยอมแพ้ และที่สำคัญคือหนังสือเล่มนี้บอกเล่าถึงสภาพสังคมที่เขาโตมาว่าคนรอบข้างทั้งพ่อ แม่ ครู เพื่อนปฏิบัติกับเขาในแบบที่ให้เขาไม่มีโอกาสรู้สึกว่าเขาเป็นคนพิการ ทำให้ผู้อ่านตระหนักได้ว่าการที่สังคมรอบข้างปฏิบัติกับผู้พิการโดยให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่สร้างปมด้อยให้คนพิการรู้สึกว่าตัวเองผิดปกตินั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมความสามารถของคนพิการ
ถึงแม้ว่าจะพิการ แต่ผู้เขียนกลับยืนยันว่า “ความไม่สะดวก แต่ไม่ใช่ความไม่สบาย” ในสมัยเรียน คุณครูได้มอบหมายหน้าที่ให้เขาเป็นเลขาของชั้นเรียน ช่วยงานพิมพ์เอกสารข่าวประกาศต่างๆของทางโรงเรียน เพราะเห็นว่าเป็นงานที่น่าจะทำได้ เขาเข้าเป็นสมาชิกชมรมบาสเกตบอล ลงแข่งวิ่ง ลงแข่งอเมริกันฟุตบอลระดับมัธยมปลาย ตั้งใจเรียนจนสอบเข้ามหาวิทยาลัยวาเซดะได้ และได้เป็นกำลังสำคัญในการเคลื่อนไหวให้ทางมหาวิทยาลัยตระหนักถึงการสร้างสภาพแวดล้อมของอาคารเรียนให้เป็นแบบ Barrier-free (ไร้สิ่งกีดขวาง) โดยเสนอให้มีการปรับปรุงอาคารเรียนให้นักศึกษาพิการที่ใช้เก้าอี้ล้อสามารถเข้าเรียนได้โดยสะดวก หลังจากที่เสนอแนวคิดไป ทางมหาวิทยาลัยก็ได้ตอบรับ โดยขั้นต่างระดับในมหาวิทยาลัยมีแผ่นกระดานวางปูไว้เพื่อให้ผู้ใช้เก้าอี้ล้อสามารถผ่านได้โดยสะดวก รวมถึงมีการทำลิฟต์และห้องน้ำสำหรับผู้พิการในตึกเรียนด้วย
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่ขายดีทั่วโลก ติดอันดับหนังสือขายดีประจำปีค.ศ.1998 ซึ่งก็คือ 26 ปีที่แล้ว
ณ ปัจจุบันที่ประเทศญี่ปุ่นมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสถานที่ต่างๆเพื่อเอื้อให้คนพิการใช้งานได้สะดวกมากขึ้น ดังนั้นถ้าจะมองเรื่องการติดตั้งลิฟต์และห้องน้ำสำหรับคนพิการเป็นเรื่องที่ใหม่ในสมัยนั้นแต่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ในสมัยนี้ สำหรับประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ฟังแล้วก็งั้นๆก็คงจะไม่ผิด
แต่สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้จุดประกายความสุขให้ใครหลายคนได้ ไม่ใช่ประเด็นนั้น แต่เป็นเรื่องที่ว่า คนที่ได้อ่านทั้งคนที่พิการและไม่พิการ พออ่านแล้วรู้สึกได้ถึงไฟฝันของคนที่ไม่ยอมแพ้พ่าย จนได้แรงบันดาลใจ
นอกจากนี้ เมื่อเทียบกับสังคมไทย ณ ปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้อาจทำให้สังคมได้หวนคิดว่า สังคมไทยเป็นสังคมไร้สิ่งกีดขวางสำหรับผู้พิการแล้วหรือยัง ผู้พิการสามารถใช้ถนนหนทาง ระบบขนส่งสาธารณะ ได้สะดวกและปลอดภัยมากน้อยเพียงใด และนอกจากสิ่งกีดขวางทางกายแล้ว ยังเจอสิ่งกีดขวางในด้านอื่นอีกหรือไม่ เช่น การเข้าถึงความรู้ การพัฒนาอาชีพ เป็นต้น และมีสิ่งใดบ้างที่เราจะช่วยกันได้เพื่อให้สังคมไทยใส่ใจผู้พิการมากขึ้น
ขอส่งท้ายด้วยคำถามว่า แล้วเพื่อนๆล่ะคะ มีหนังสือที่จุดประกายความสุขได้แบบเป็นอมตะหรือเปล่า ที่หยิบมาอ่านทีไร ไฟฝันก็ไม่เคยดับลง
สวัสดีปีใหม่อีกครั้งค่ะ
ทักทายพูดคุยกับ คอลัมน์นิจ ได้ที่ >>> Facebook คอลัมน์นิจคิดandไรท์
เรื่องแนะนำ :
– รวมนามสกุลสุดแปลกในภาษาญี่ปุ่นที่ใครๆก็คาดไม่ถึง
– เมื่อของเล่นเด็กในญี่ปุ่นเริ่มจะ Genderless การสนับสนุนความหลากหลายทางเพศในประเทศก็เริ่มจะคาดหวังได้?
– “Miso Drop” เมื่อมีโซะ-ตอ-รี่ (Story) มิโซะก็ไม่ได้เป็นแค่มิโซะ
– ช่องทางรวยใหญ่กับอาชีพใหม่ เป็นดีไซเนอร์ขายกิโมโนทิพย์ในเกมออนไลน์
– โกะโยคิคิ (Goyokiki) อาชีพที่ทำทุกอย่างที่ลูกค้าต้องการ
#“ไม่ครบห้า” หนังสือที่อ่านแล้วคิดได้ว่าชีวิตจะครบหรือจะขาดอาจอยู่ที่ความพอใจ