ซัปโปโร – เกียวโต ทริปเดียวก็เที่ยวได้..จากนี้เราจะเที่ยวกันที่จังหวัดเกียวโตนี่แหล่ะ สำหรับเพื่อนๆ ที่มาเที่ยวเอง การเดินทางที่สะดวก ไปได้ทั่วถึงที่สุดน่าจะเป็นรถโดยสารประจำทาง แม้แยกจะเยอะไปหน่อย อาจจะติดไฟแดงบ่อยๆ อยู่บ้างก็ตาม แต่ถ้านั่งรถไฟ อาจจะเข้าไม่ค่อยถึงสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายๆ จุด
จากนี้เราจะเที่ยวกันที่จังหวัดเกียวโตนี่แหล่ะ สำหรับเพื่อนๆ ที่มาเที่ยวเอง การเดินทางที่สะดวก ไปได้ทั่วถึงที่สุดน่าจะเป็นรถโดยสารประจำทาง แม้แยกจะเยอะไปหน่อย อาจจะติดไฟแดงบ่อยๆ อยู่บ้างก็ตาม แต่ถ้านั่งรถไฟ อาจจะเข้าไม่ค่อยถึงสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆ จุด ต้องใช้สองเท้าเดินจากสถานีไปยังจุดหมายแต่ละจุด ก็อาจจะไกลบ้าง อะไรบ้างนะ …ที่สำคัญรถเมล์ที่เกียวโตราคาประหยัดมากๆ สำหรับนักท่องเที่ยว เพราะเราสามารถซื้อ Kyoto City Bus & Kyoto Bus One-Day Pass นั่งไม่จำกัดเที่ยวได้ครอบคลุมเกือบทุกพื้นที่ในเกียวโต (โซนเบสิค หรือ Flat-Fare Zone) ตลอดทั้งวันราคาแค่ 500 เยนเท่านั้น แต่ถ้าจะไปนอกโซนนี้ อย่างเช่นแถบ Arashiyama, Sagano, Takao, หรือ Shugakuin เป็นต้น … จะต้องจ่ายเพิ่มเอานะจ้ะ
Kyoto City Bus & Kyoto Bus One-Day Pass
ค่าบัตร : ผู้ใหญ่ 500 เยน เด็ก 250 เยน
สถานที่ซื้อ : Information Office หรือ Ticket Office ของ city bus หรือรถไฟใต้ดินก็ได้ (ที่จริงเรียกว่ามีจำหน่ายหลายที่เลยแหล่ะ อย่างในภาพด้านบนก็ซื้อที่ป้ายรถเมล์หน้าสถานีเกียวโตเลย ไม่ต้องไปวุ่นวายหาซื้อที่อื่น)
เว็บไซต์ : http://www.city.kyoto.lg.jp/kotsu/page/0000028337.html
เอาหล่ะ เราออกเดินทางไปเที่ยวเกียวโตกันเลยดีกว่า (แต่ว่าทริปนี้มีรถ เลยไม่ได้ซื้อบัตรรถเมล์ One Day Pass อ่ะนะ) จากสถานีเกียวโต จะใช้เวลานั่งรถประมาณ 20 นาที เพื่อไปยัง Kitano Tenmangu
ที่ตั้ง : นั่งบัส No. 50 หรือ No. 101 มาจาก JR station ก็ได้ หรือนั่ง No. 203 จากสถานี Demachiyanagi มาลงที่สถานี Kitano Tenmangu-mae ก็ได้
เปิดทำการ : 05.00 – 18.00 น. (แล้วแต่ฤดูกาลด้วย เป็นฤดูใบไม้ร่วงต่อฤดูหนาว จะเปิดช้า และปิดเร็วขึ้น ประมาณครึ่งชม.) และในช่วง Illumination ซึ่งจะจัดในสวนเมเปิ้ลของวัด จะเปิดสายหน่อยคือ 09.00 – 20.00 น.
ค่าเข้าชม : ฟรี
เว็บไซต์ : http://kitanotenmangu.or.jp/top_en.php
เราแอบแว่บกินมื้อกลางวันกันแบบด่วนๆ ที่ร้านคุระซูชิ (Kura Sushi) ร้านซูชิจานเวียนยอดนิยม ราคาประหยัด แต่มักไม่ได้อยู่ใจกลางเมืองอ่ะนะ (ขนาดรีบๆ ยังจัดกันไปเยอะอยู่เหมือนกัน)
ท้องอิ่มแล้ว กองทัพน้อยๆ ของเราก็ขอไปสำรวจที่พักทางเลือกกันแป๊บนึง ที่นี่เขานำบ้านเก่าแก่ในเมืองเกียวโต มาปรับปรุง แล้วทำเป็นที่พักให้กับนักท่องเที่ยวนั้นเอง ด้วยความที่เจ้าของที่นี่ รู้สึกว่าบ้านเก่าๆ ในเกียวโตมีแต่จะเสื่อมโทรมและผุพังเสียหายไปหมด จึงอยากจะอนุรักษ์เอาไว้ให้คนญี่ปุ่นรุ่นต่อไปรวมทั้งชาวต่างชาติได้รู้จัก ดังนั้นจึงค่อยๆ มองหาบ้านเก่าๆ สไตล์ญี่ปุ่นสมัยก่อนที่ชำรุดและเจ้าของไม่ต้องการดูแลรักษาต่อไปแล้ว มาปรับปรุงและสร้างธุรกิจชนิดนี้ขึ้นมา ปัจจุบัน Naokanoza มีบ้านของคนญี่ปุ่นให้เลือกเข้าพักได้ 5 หลังในเกียวโต คือ Omiya Gojo, Bettei Umekoji, Bettei Fuyacho, Bettei Kyoto Station, และ Bettei Aburanokoji ราคาก็ไม่แพง สามารถดูรายละเอียดเป็นภาษาอังกฤษผ่านเว็บไซต์ได้ง่ายๆ และสามารถจองออนไลน์ได้ด้วย booking.com และ rakuten travel ราคาประมาณ 15,000 เยน / คืน ทั้งนี้ก็แล้วแต่ช่วงเวลาที่เลือกจะไปพัก แล้วราคานี้ก็เป็นราคาสำหรับทั้งหลังอ่ะนะ ไปกี่คนราคาก็จะต่างกันไปเล็กน้อย อย่าง 15,000 เยน นี่ก็ประมาณ 5 คนได้
โดยบ้านหลังที่เราเข้าไปดู (ทริปนี้ไม่ได้พัก ขอดูเพื่อเก็บไว้เป็นข้อมูลก่อน) ชื่อว่า Naokanoza Bettei Aburanokoji ซึ่งอยู่ห่างจาก Yokai Street ที่เดี๋ยวเรากำลังจะไปประมาณ 30 นาที (แต่อยู่ใกล้ตัวเมืองกว่านะ)
ที่ตั้ง : 5 แห่ง แถบกลางเมืองเกียวโต
เว็บไซต์ : http://naokonoza.com/en/
คนญี่ปุ่นนั้นมีความเชื่อว่าสิ่งของทุกชิ้นนั้นมีจิตวิญญาณ เวลาที่สิ่งของเหล่านั้นถูกใช้งานมานานมากๆ หรือแตกหัก เสียหายจนไม่สามารถใช้งานได้ต่อไป และจำเป็นต้องทิ้ง คนญี่ปุ่นเชื่อว่าวิญญาณของสิ่งของเหล่านั้นจะกลายเป็นโยไก (ปีศาจประเภทหนึ่ง) ส่วนใหญ่เชื่อว่าสิ่งของเหล่านั้นต้องมีอายุ 100 ปีขึ้นไปถึงจะกลายเป็นโยไคได้ และสำหรับที่เกียวโตนี้มีเรื่องเล่ากันว่า…ในสมัย Heian (เฮอัน) มีการทำความสะอาดครั้งใหญ่ สิ่งของจำนวนมากถูกทิ้ง ทำให้เกิดวิญญาณที่อาฆาตแค้นมนุษย์ ที่เรียกว่า “Hyakki Yakou” ซึ่งรวมตัวกันอยู่ที่ถนนสายโยไคแห่งนี้นี่เอง…
ที่ตั้ง : Ichijo, Kamigyo-ku, Kyoto
เว็บไซต์ : http://kyotohyakki.com
แล้วเราก็มาว่าด้วยเรื่องกินกันสักหน่อย โดยเดินทางด้วยรถยนต์ประมาณ 30 นาที เราก็มาถึง Misono Bashi Chuka no Sakai เป็นร้านบะหมี่ แต่เมนูดังของที่นี่คือ “ราเม็งเย็น” หรือ Hiyashichuka ซึ่งเป็นเมนูยอดนิยมที่ชาวญี่ปุ่นมักจะรับประทานกันในฤดูร้อน พอเปลี่ยนฤดู..ร้านอื่นๆ ก็มักจะเปลี่ยนเมนูไป แต่สำหรับร้านนี้ เน้นเลยว่าขายบะหมี่เย็นกันตลอดทั้งปี และถึงจะอยู่ห่างจากตัวเมืองเกียวโตออกมานิดนึง แต่ว่าขายดิบขายดีนะจ๊าาาา พอชิมแล้วก็เข้าใจเลย เพราะเป็นบะหมี่เย็นที่มีความแตกต่างจากร้านอื่น มีน้ำคลุกคลิกมาให้ด้วย
โดย Hiyashichuka ของทางร้าน มีรสชาติจัดว่าดีมากทีเดียว มีความเข้มข้นของซอสงาแบบเต็มที่ แต่รสละมุนมาก แล้วก็สังเกตว่าพนักงานในร้าน (ที่มีอยู่เยอะมาก ทั้งพนักงานเสิร์ฟ และพนักงานในครัว) วุ่นวายกันอยู่ตลอดเวลา แม้ในร้านจะเป็นเวลาที่ไม่ค่อยมีลูกค้า นั่นก็เพราะว่าเขามีบริการส่งบะหมี่ทางไปรษณีย์ด้วยอ่ะสิ แบบว่าแพ็คกันมือเป็นระวิงเลย เชื่อละว่าเมนูนี้ของเขาเป็นที่นิยมจริงๆ อีกสิ่งที่การันตีคุณภาพของเมนูนี้ได้ก็คือ…แม้ร้าน Misono Bashi Chuka no Sakai นี้จะเปิดมาตั้งแต่ค.ศ. 1982 แต่เมนูราเม็งเย็นนี่ ขายดีกว่าเมนูราเม็งร้อนซะอีก (แบบว่า …ขายดีกว่ามากด้วย ฮะ ฮะ)
Misono Bashi Chuka no Sakai
ที่ตั้ง : Omiya, Misonobashi, Kyoto
เว็บไซต์ : http://www.misonobashi-sakai.com
เพื่อนๆ คงพอจะทราบกันใช่ไหมคะ ว่าที่เกียวโตนี้ ขึ้นชื่อเรื่องอาหารสุขภาพ เมนูผักๆ หรือว่าผลิตภัณฑ์พวกเต้าหู้นี้ จะรสชาติดีมาก ตามวัดต่างๆ ที่กินอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ จึงมักจะมีเมนูเด็ดๆ กันหลายแห่งเลย
วันนี้เราก็เลยจะไปเยี่ยมชมสวนผักแห่งหนึ่งในเกียวโต เพื่อแอบล้วงเคล็ดลับความอร่อยของผักที่นี่ค่ะ เราออกเดินทางจากโรงแรมไปยังสวนของคุณ Teruhisa Ishiwari (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 35 นาที) ครอบครัวของท่านได้ทำสวนผักมาแล้วถึง 10 รุ่น (400 ปี) ซึ่งก็มีการพัฒนาต่อยอดกันมาเรื่อยๆ จนทำให้ผักที่ปลูกมีคุณภาพมากๆ และมีชื่อเสียง จนมีคนมาขอศึกษาดูงานมากมายในแต่ละปี และท่านก็อธิบายแบบไม่มีกั๊กเลยนะ นอกจากนี้ท่านยังเดินทางไปบรรยาย (บางทีก็ช่วยเหลือปรับปรุงคุณภาพของดินด้วย) นอกพื้นที่ทั้งในต่างจังหวัดและต่างประเทศด้วย
โดยคุณ Teruhisa Ishiwari นั้น เริ่มหันมาสนใจกับการพัฒนาดิน มาหลายปีแล้ว เพราะท่านเชื่อว่าผักจะดีได้ ดินต้องดีก่อน และท่านก็เป็นแค่เกษตรกรธรรมดา ไม่ได้มีความรู้เชิงวิทยาศาสตร์มากมายที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาดินได้ ท่านก็เลยเข้าไปศึกษาตามที่ต่างๆ ทั้งห้องสมุดมหาวิทยาลัย ไปปรึกษากรมต่างๆ ที่ช่วยเหลือด้านการทำเกษตร จนถึงขนาดเข้าไปปรึกษาอาจารย์มหาวิทยาลัยหลายๆ ท่านเลยด้วย ทำให้ท่านได้ความรู้มาต่อยอดสวนผักของท่านมากมาย ปัจจุบันผักที่ท่านปลูกนั้น ได้รับการปลูกในดินที่เหมาะสมกับผักแต่ละชนิด ทำให้ต้นผักสมบูรณ์ รากแข็งแรง และยาวมาก (ดินดี รากก็สามารถทะลุทลวงดินลงไปได้ลึกน่ะ) เป็นเครื่องพิสูจน์ผลแห่งความพยายามของท่านเลยทีเดียว เรื่องหนึ่งที่ท่านพยายามจะทำคือปลูกผักให้ไกลคนมากที่สุด คือแปลงผักน่ะสามารถสร้างได้ทุกที่ แต่จะให้ได้ผลดีก็ควรอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติจริงๆ ยิ่งใกล้คนก็ยิ่งใกล้มลพิษ เป็นความคิดที่ดีนะ แต่อาจจะต้องลงทุนซื้อที่แปลงใหม่ๆ ในทำเลที่เหมาะสมกันหน่อย ซึ่งแนวคิดหลายๆ อย่างของท่าน ทำให้เรานึกถึงในหลวง รัชกาลที่ 9 ของพวกเราขึ้นมาจับใจเลยทีเดียว
หลังจากไปเรียนรู้วิธีการปลูกผักให้เลอค่าแล้ว … ก็ต้องไปกินผัก!
เรากลับเข้าเมืองมานิดหน่อย แวะกันที่ร้าน … ซึ่งเป็นร้านอาหารขนาดใหญ่ มีเมนูที่เรียกว่า Washoku (อาหารญี่ปุ่นแท้ๆ) ไว้บริการลูกค้า และแน่นอนว่าต้องมีอาหารสไตล์เกียวโตดั้งเดิมที่เน้นผัก ผัก ผัก และผัก เมนูที่เราได้ลองชิมก็เป็นอาหารหน้าตาเหมือนปิ่นโตของไทย จัดแบ่งออกมาอย่างละนิดอย่างละหน่อย เป็นทั้งอาหารตาที่ไม่ค่อยกล้ากินด้วยความเสียดาย แต่ถ้าไม่ได้ชิมแล้วจะยิ่งเสียดายมากกว่า เพราะเขานำวัตถุดิบง่ายๆ ตามฤดูกาล มาปรุงเป็นอาหารชั้นเลิศได้ซะขนาดนี้เลยเชียวนะ สมกับเป็นอาหารเกียวโตจริงๆ
ที่ตั้ง : 71 Okazaki Nishitennocho, Sakyo-ku, Kyoto-shi, Kyoto 606-8341 (นั่งรถเมล์สาย 201, 203, 206 ลงที่สถานี Higashiyama-Nijo หรือนั่งแท็กซี่จากสถานี Sanjo-Keihan มาได้แค่ 5 นาที)
เปิดทำการ : วันธรรมดา 11.30 – 14.00 น. / 16.00 – 21.00 น. วันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ 11.30 – 21.00 น.
เว็บไซต์ : http://www.rokusei.co.jp/english/
ครั้งหน้าจะเป็นการเที่ยวในเกียวโต 2 วันสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทยแล้วจ้า ติดตามกันน๊าาา
อ้อ! และขอทิ้งท้ายเพิ่มเติมไว้ให้สำหรับเพื่อนๆ ที่สนใจเดินทางในเส้นทางเดียวกันนี้ สามารถเดินทางได้ด้วยรถโดยสารประจำทาง ซึ่งก็อาจจะต้องเช็คเรื่องเส้นทางเดินรถ แล้วก็ตารางเวลากันอยู่สักหน่อย (ส่วนใหญ่ก็เป็นภาษาญี่ปุ่นอ่ะนะ) แต่ว่าถ้ามีใบขับขี่ต่างประเทศ แนะนำว่าเช่ารถขับเลยจะดีกว่ามาก โดยเฉพาะในฤดูใบไม้ร่วงนะ สวยงาม ตระการตา ขับไป ชมวิวไป แวะถ่ายรูปไป ชิลมาก… นอกจากนั้น ความน่าสนใจระหว่างการเดินทางของเส้นทางในทริปนี้ยังสามารถติดตามชมกันได้ ทางรายการ “ผจญภัยไร้พรมแดน” ซึ่งน่าจะออกอากาศให้ชมกันในเร็วๆ นี้ ก็รอติดตามชมกันได้ทางททบ. 5 (ออกอากาศทุกวันเสาร์ เวลา 21.50 – 22.15 น.)
เรื่องแนะนำ :
– รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น ซัปโปโร – เกียวโต ทริปเดียวก็เที่ยวได้ ตอนที่ 4 : Bishamon-do
– รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น ซัปโปโร – เกียวโต ทริปเดียวก็เที่ยวได้ ตอนที่ 2 : Jozankei Onsen
– รีวิวเที่ยวญี่ปุ่น ซัปโปโร – เกียวโต ทริปเดียวก็เที่ยวได้ ตอนที่ 1 : มุ่งสู่ Sapporo