“การตัดสินใจจัดพิธีเปิดโตเกียวโอลิมปิก: หยุดแค่นี้หรือไปต่อดี”
วันที่ 7 ก.ย. 2013 เป็นวันคัดเลือกรอบสุดท้ายว่าจะให้ประเทศใดเป็นเจ้าภาพในการจัดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2020 มีประชาชนชาวญี่ปุ่นสนับสนุนให้จัดเพียงแค่ 47%เท่านั้นเอง เนื่องจากในการจัดโอลิมปิกแต่ละครั้งต้องใช้เงินจำนวนมากในก่อสร้าง/ปรับปรุงสถานที่แข่งกีฬา หมู่บ้านนักกีฬา สาธารณูปโภค การคมนาคม ปรับภูมิทัศน์สถานที่ในกรุงโตเกียว และอีกหลายอย่าง สุดท้ายคณะกรรมการตัดสินโอลิมปิกโลกเลือกประเทศญี่ปุ่นให้จัดกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนปี 2020 ซึ่งเป็นประเทศแรกในเอเซียที่ได้จัดโอลิมปิกฤดูร้อนเป็นครั้งที่ 2 (ครั้งแรกจัดปี 1964)
คณะกรรมการทำงานโอลิมปิกของญี่ปุ่นมีกลยุทธ์หลายอย่างที่สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัด จนได้ใจไปเสมือนหนึ่งทุกคนเป็นเจ้าของงาน โดยที่ไม่ได้มีการบังคับแต่อย่างใด เช่น
. ให้เด็กประถมเป็นคนโหวตเลือกตัวมาสคอตด้วยเหตุผลว่า “คนที่จะกำหนดอนาคตของประเทศคือเด็กในรุ่นนี้และเด็กจะได้เกิดความภาคภูมิใจว่าครั้งหนึ่งในชีวิตเคยมีส่วนร่วมในการตัดสินใจระดับประเทศ”
. “โครงการเหรียญรางวัลของทุกคน” มีการรณรงค์ให้ประชาชนบริจาคมือถือที่ไม่ใช้แล้วเอามาทำเป็นเหรียญรางวัล
ทั้งที่จริงเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่ให้ไม่กี่คนตัดสินใจทำก็ได้ ยิ่งให้คนจำนวนมากเข้ามามีส่วนร่วมจะเป็นการยุ่งยากมากขึ้น แต่คณะทำงานยอมที่จะเหนื่อยในการประสานงาน จัดเตรียมงาม ท้ายที่สุดการให้ความสำคัญกับทุกคนและดึงให้เข้ามามีส่วนร่วม ทำให้ประชาชนกระตือรือร้นและเต็มใจที่จะช่วยงานโอลิมปิกนี้ให้ผ่านไปได้ด้วยดี ทั้งที่ตอนแรกไม่ได้เห็นด้วยมากนัก เช่น ร้านค้า/สถานที่ต่างๆ ช่วยกันทำป้ายที่เป็นภาษาอังกฤษ, มีโครงการฝึกพูดภาษาอังกฤษให้ประชาชนเพื่อที่จะได้ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวได้ ทุกอย่างดูเป็นไปด้วยดี
แต่แล้วการระบาดของเชื้อ COVID-19 ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไป ประเทศญี่ปุ่นเองมีการระบาดหลายรอบจนต้องประกาศภาวะฉุกเฉินหลายครั้ง ทั่วโลกต่างมีปัญหาการจัดการโรคโควิด ทำให้ต้องเลื่อนเวลาในการจัดจากปี 2020 เป็นปี 2021 ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นจากการที่ต้องบำรุงรักษาสถานที่และเครื่องมือต่าง ๆ ในขณะที่รายรับจากสปอนเซอร์ลดลงเพราะการขอถอนตัว คณะกรรมการจัด รัฐบาล และประชาชนต่างมีข้อถกเถียงว่าควรจะดำเนินการจัดต่อไปหรือควรยกเลิก เพราะดูจะมีข้อเสียมากกว่าข้อดี ที่สำคัญประเทศญี่ปุ่นเองยังไม่สามารถควบคุมการระบาดของโรคโควิดได้
ล่าสุดวันที่ 8 ก.ค. 2021 มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินควบคุมการระบาดของเชื้อโควิด-19 ครั้งใหม่ในกรุงโตเกียว เนื่องจากมีผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ประมาณ 811,000 คน เสียชีวิตเกือบ 14,900 คน แต่มีคนได้รับวัคซีนแค่ 15% โดยมาตรการต่างๆ จะบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.2021 ถึงวันที่ 22 ส.ค.2021 คณะทำงานจัดการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ประชุมกับผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยความเคร่งเครียดเพราะเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากมาก สุดท้ายได้ข้อตกลงว่าจะจัดต่อโดยไม่มีผู้ชมในสนามแข่งขันกีฬาในกรุงโตเกียว ส่วนการแข่งขันกีฬาอื่น ๆ นอกกรุงโตเกียวจะให้มีผู้ชมหรือไม่นั้นขึ้นกับผู้ว่าราชการจังหวัด ในวันที่มีพิธีเปิดยังมีคนญี่ปุ่นมารวมตัวกันประท้วงการจัดโอลิมปิกครั้งนี้นอกสนาม
หากเราเป็นคนที่ต้องตัดสินใจว่าจะยกเลิกงานนี้เพื่อความปลอดภัยหรือต้องจัดต่อด้วยเหตุผลบางอย่าง เราจะทำอย่างไรดี?
>> วิธีการจัดการเมื่อเราตัดสินใจที่จะหยุดสิ่งที่ทำอยู่
@ ประเมินแนวโน้มว่าสถานการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างไร
_ ถามเหตุผลกับตัวเองว่าทำไมต้องการหยุดสิ่งที่ทำอยู่ เช่น โตเกียวโอลิมปิกอยู่ในสถานการณ์ที่ยังคุมการระบาดของโรคโควิดไม่ได้ การจัดอาจเสี่ยงต่อการทำให้มีเชื้อแพร่กระจายมากขึ้น ไม่ปลอดภัยทั้งนักกีฬา เจ้าหน้าที่ และประชาชน หรือถ้าจะจัดต่อต้องมั่นใจว่ามีวิธีการจัดการที่จะทำให้ไม่มีการระบาดเกิดขึ้น
_ อย่าตัดสินใจที่จะไม่หยุดทำเพียงเพราะเสียดายเวลาหรือการลงทุนที่ลงไปว่ามันจะสูญเปล่า จริงๆ การที่เราดึงดันทำต่อไปอาจทำให้เราเสียหายหนักมากกว่าการตัดใจยอมทิ้งบางอย่างก็ได้
@ ชั่งน้ำหนักระหว่างสิ่งที่เราต้องใช้ความพยายามกับผลลัพธ์ที่ได้มา
_ บางทีสิ่งที่เราคาดหวังไว้กับความเป็นจริงแตกต่างกัน เช่น ตอนแรกที่ญี่ปุ่นได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพโตเกียวโอลิมปิก 2020 ทุกคนพยายามเตรียมงานกันล่วงหน้าเต็มที่อย่างดีที่สุด แต่เมื่อถึงเวลาจัดพิธีเปิดจริง กลับต้องตัดการแสดงและลดจำนวนคน ไม่มีคนดูในพิธีเปิด (เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของการจัดโอลิมปิก) เพื่อให้มี social distancing ดังนั้นการแสดงอาจดูจืดชืด ไม่สวยงามอลังการตามที่คิดไว้ ขาดทุนเข้าเนื้อจากการที่ไม่มีรายได้จากสปอนเซอร์และขายบัตรคนดู
@ อย่าทนอยู่ต่อเพียงเพราะคนอื่นบอกให้อดทน
_ หากคนที่มาโน้มน้าวให้เราอดทนทำสิ่งนั้นต่อมีเหตุผลที่ไม่ดีพอ เช่น บอกให้เราอดทน แต่ไม่ได้ช่วยแนะนำหรือช่วยเราแก้ปัญหา เราไม่จำเป็นต้องทำตาม
_ คนส่วนใหญ่มักคิดว่าการล้มเลิกสิ่งที่ทำอยู่ เช่น ลาออกจากงาน ควรเป็นตัวเลือกสุดท้าย แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งการเลือกที่จะออกมาจากสิ่งที่ไม่เหมาะกับเราเป็นการที่ทำให้เราชีวิตเราก้าวเดินไปข้างหน้า (move on) และอาจเจอกับสิ่งที่เหมาะกับเรามากกว่า
@ เปิดใจกับแผนใหม่ที่ปรับเปลี่ยนและใช้คำ/ท่าทางที่ให้กำลังใจตัวเอง
_ หากเรากำลังจะหยุดสิ่งที่ทำอยู่ด้วยท่าทีที่ดูหดหู่ ท้อแท้ เสมือนว่าเราได้ตัดสินใจผิดไป เช่น นั่งห่อไหล่, สีหน้าเศร้าหมอง, ท่าทางเปราะบางเหมือนพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ เป็นการกระทำที่ไม่ดีกับกำลังใจของตัวเราเอง เพราะจะเป็นนัยยะที่สื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิด คนรอบข้างอาจมารุมสั่งสอนต่อว่าบอกให้เปลี่ยนใจใหม่ แต่หากเราปรับท่าทางให้ดูมั่นใจว่าสิ่งที่ตัดสินใจไปเป็นทางเลือกสำหรับชีวิตที่ดีกว่า ตัวเราเองจะได้กำลังใจและคนรอบข้างจะเข้าใจเราได้มากขึ้น
@ ทำใจว่าเราอาจจะมีการตัดสินใจกลับไปกลับมาได้
_ เป็นธรรมชาติของการตัดสินใจหยุดทำบางสิ่งซึ่งจะนำไปสู่ผลบางอย่างทั้งเรื่องดีและเรื่องไม่ดี เราอาจลังเลใจคิดทบทวนกลับไปกลับมา วิธีหนึ่งที่ช่วยได้ คือ แต่ละครั้งที่คิด ให้เขียนข้อดีข้อเสียของแต่ละทางเลือกไว้ แล้วเขียนสิ่งที่ตัดสินใจเลือก เมื่อเกิดความลังเลใจให้หยิบสิ่งที่จดบันทึกมาอ่านเตือนว่าได้คิดจบไปแล้ว
_ บางคนอาจมองว่าการล้มเลิกหยุดทำสิ่งที่กำลังทำอยู่เป็นการหนีปัญหา แต่จริงๆแล้วอาจเป็นการแก้ปัญหาด้วยซ้ำ เราไม่ควรใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิมที่ไม่ได้ผลมาทำซ้ำๆ เพราะทำไปผลลัพธ์จะไม่ต่างจากเดิม
>> รีวิวความเห็นส่วนตัวหลังจากได้ดูพิธีเปิดโตเกียวโอลิมปิก 2020
หมอดูไปร้องไห้ไปแบบน้ำตามันไหลเอง คิดว่าน่าจะมาจากการที่สัมผัสได้ถึงความพยายามและทุ่มเทในการจัดงานภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกติ แม้ความเห็นคนส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นพิธีเปิดที่ไม่หวือหวา น่าเบื่อ ยอดคนดูทั่วโลกไม่เยอะ แต่หมอเห็นความมุ่งมั่นตั้งใจ เอาใจใส่ในรายละเอียดทุกองค์ประกอบ แต่ละอย่างมีความหมายลึกซึ้ง เป็นหนึ่งในพิธีเปิดที่ตราตรึงใจมาก เช่น
. การแสดง Apart, but not alone: มีหญิงสาวที่วิ่งบนเครื่องออกกำลังกายอย่างโดดเดี่ยว ท่ามกลางนักกีฬาคนอื่น ๆ ที่ต่างแยกกันซ้อม นักแสดงเป็นคุณอาริสะ สึบาตะ นักมวยสากลหญิง เดิมทีเธอมีอาชีพเป็นนางพยาบาล ตอนที่โควิดระบาดเธอทำงานด่านหน้า สุดท้ายตัดสินใจลาออกจากงานประจำเพื่อเตรียมตัวซ้อมเต็มที่ แต่เพราะการระบาดของโรคทำให้เกณฑ์การแข่งขันเปลี่ยนไป คือ มีการยกเลิกการชกรอบคัดเลือกหลายรายการ แต่ใช้เกณฑ์ให้คนที่เข้ารอบเป็นคนที่มีผลงานชกลำดับโลก ทำให้เธอไม่ได้แม้แต่จะลงไปแข่งขัน
. การใช้วัสดุที่เรียบง่ายแต่ดูทรงพลังในการต่อสัญลักษณ์โอลิมปิกด้วยไม้ ซึ่งไม้นี้มาจากต้นไม้ที่ปลูกในปี 1974 ที่มีการจัดโอลิมปิกที่โตเกียวเป็นครั้งแรก
. การใช้วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของญี่ปุ่นเข้ามาเป็นส่วนประกอบ เช่น ใช้เพลงจากเกมชื่อดังเปิดต้อนรับขบวนนักกีฬา, การทำป้ายประเทศต่าง ๆ เป็นตัวอักษรแบบมังงะ
. การให้คนธรรมดามาถือธงเพราะว่าทุกคนในประเทศเป็นพลังสำคัญในการทำให้เกิดงานนี้ได้, การให้แพทย์ พยาบาลมาถือคบเพลิง เพื่อสื่อถึงสถานการณ์โควิดที่กำลังดำเนินอยู่และทุกคนยังต้องสู้ต่อไป
. ส่วนที่เป็น climax งานเปิด คือ ช่วงจุดคบเพลิง ซึ่งครั้งนี้ “นาโอมิ โอซากะ” อดีตนักเทนนิสหญิงมือ 1 ของโลกลูกครึ่งญี่ปุ่น-เฮติ เจ้าของแชมป์แกรนด์สแลม 4 สมัย ทำหน้าที่จุดคบเพลิงลงบนฐานจุดรูปภูเขาไฟฟูจิ ความหมายลึกซึ้งในการเลือกนาโอมิ คือ การยอมรับความแตกต่างและปรับเปลี่ยนประเพณีให้เหมาะกับโลกยุคปัจจุบัน เพราะแต่เดิมสังคมญี่ปุ่นเพศชายจะเป็นใหญ่, ไม่ยอมรับคนต่างชาติ/คนนอกที่ไม่ใช่สายเลือดญี่ปุ่น 100% (ไกจิน) เป็นการแสดงให้เห็นทัศนวิสัยของคนญี่ปุ่นว่าพร้อมที่ปรับตัวยืดหยุ่นไปตามกระแสของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป
ญี่ปุ่นเลือกที่จะ “ไม่ยกเลิกการจัดโอลิมปิก” ด้วยเหตุผลหลายอย่าง ทั้งที่มีหลายฝ่ายไม่เห็นด้วย ซึ่งผู้จัดต้องยอมรับผลที่จะตามมา แต่อย่างน้อยในช่วงเวลาหนึ่งของพิธีเปิด มันทำให้คนดูรับรู้ได้ถึงความพยายาม เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว เป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้คน อย่างน้อยก็หมอคนหนึ่งค่ะ:))
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– “ไคเซน: ทำงานอย่างฉลาดพาชาติเจริญ”
– “สูญสิ้นความเป็นคน: รอยยิ้มที่กลบเสียงร่ำไห้”
– “ภัยพิบัติ x PTSD: ญี่ปุ่นรับมือกันอย่างไร”
– “ทานาบาตะ: แม้รักแค่ไหนแต่ไม่สามารถอยู่เคียงกันได้”
– “การจัดโอลิมปิกของญี่ปุ่นในยุคโควิด: ยืดหยุ่นหรือยึดติด?”
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304
#การตัดสินใจจัดพิธีเปิดโตเกียวโอลิมปิก: หยุดแค่นี้หรือไปต่อดี