“ไคเซน: ทำงานอย่างฉลาดพาชาติเจริญ”
หากใครได้มีโอกาสทำงานกับคนญี่ปุ่นน่าจะเคยได้ยินคำว่า “ไคเซน” (改善) ในความหมายเรื่องวิธีการทำงานที่ฉลาด ใช้ทรัพยากรที่มีให้คุ้มค่า ภายในเวลาที่น้อยที่สุด แต่ได้งานคุณภาพดีมากออกมา ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีทำงานในอุดมคติ พูดเหมือนจะง่าย แต่จริง ๆ แล้วมีความยากอยู่ เพราะการที่จะทำงานให้สำเร็จและออกมาดีได้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ต่อให้เราเก่งมีความรู้ความสามารถ แต่ถ้าคนอื่นในทีมไม่เอาไหน งานก็ไปไม่รอด
>> วิธีการทำงานแบบไคเซน
“ไคเซน” (改善) แปลว่า การปรับปรุงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่างานจะออกมาใช้ได้แล้วก็ตาม แต่ชาวญี่ปุ่นที่มีความใส่ใจและความพยายามที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์/งานนั้นดีมากขึ้นไปอีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ส่วนใหญ่จะใช้หลักการนี้กับอุตสาหกรรมการผลิต เพื่อให้เพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพในการผลิต, ปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์/การให้บริการ, ประหยัดเวลาในการจัดการ, ลดต้นทุน, ปรับปรุงความปลอดภัย, เพิ่มผลกำไร และเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า นอกจากนี้ไคเซนยังสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้เรามีการพัฒนาตนเองที่ดีขึ้นได้อีกด้วย
หลักการของไคเซนมี 3 ข้อ คือ เลิก-ลด-เปลี่ยน โดยการวิเคราะห์ระบุประเด็นที่เป็นปัญหาและหาวิธีการแก้ปัญหา แล้วนำไปทดลองปฎิบัติ หลังจากนั้นให้มาทบทวนขั้นตอนและกระบวนการอีกครั้งสำหรับปัญหาที่ยังได้รับการแก้ไขไม่ดีพอ ว่าขั้นตอนใดสำคัญ หากไม่สำคัญให้ยกเลิกไป และเปลี่ยนเป็นวิธีที่ใช้เวลาลดลดง แต่ช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
วิถีแบบไคเซนมีความเชื่อว่าทุกสิ่งสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ และไม่มีสิ่งใดที่จะคงอยู่สภาพอย่างนั้นได้ตลอดไป การทำงานแบบไคเซนทุกคนมีความสำคัญ เคารพผู้คนและเพื่อนร่วมงาน เพราะหัวใจสำคัญ คือ “ทุกคน” ต้องมีส่วนร่วม มุ่งมั่นทำไปในทิศทางเดียวกัน วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมาก แต่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่เล็กน้อยอย่างต่อเนื่องจนเกิดผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา
>> วิธีการทำงานแบบไม่ต้องคิด (Functional stupidity)
เป็นวิธีการทำงานที่ไม่ต้องคิด เปรียบเสมือนการนั่งโง่ ๆ ที่ชายทะเล ทำงานตามความเคยชิน ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาวิธีการทำงานให้ดีขึ้น เพราะคิดว่าสิ่งที่ทำอยู่มันดีมากอยู่แล้ว ไม่วิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา หรือต่อให้รู้ก็ไม่ได้อยากคิดวิธีแก้ไขให้ดีขึ้น
การทำงานแบบ Functional stupidity จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีคนที่มีวิธีคิดแบบนี้หลายคนมารวมตัวกัน ซึ่งผลลัพธ์มักมีความเสียหายระดับหายนะ (Disastrous outcomes) แม้บางสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมีแนวโน้มจะดิ่งลงเหว แต่คนเหล่านี้จะมองไม่เห็นปัญหา หรือถึงเห็นก็จะไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้จะนำไปสู่ผลเสียอย่างไรบ้าง
องค์กรที่มีขั้นลำดับชั้นวรรณะและการใช้อำนาจนิยม (Hierarchy and Authority) มักจะใช้วิธีการทำงานแบบ Functional stupidity เพราะทำให้ทุกคนยอมทำตามคำสั่ง, ไม่ต้องมีความเห็นที่หลากหลายให้มาถกเถียงกัน (จะทำให้ปวดหัวคิดไม่ออกกันเสียเปล่าๆ) หากมีใครตั้งคำถามหรือคิดต่างจะถูกมองแรงใส่และถูกแรงกดดันทางสังคมให้ไม่ต้องมีความคิด เพราะคนที่คิดเห็นต่างจากสิ่งที่มีอยู่เดิมหรือคำสั่งของเบื้องบนจะทำให้องค์กรเกิดความปั่นป่วนได้
สิ่งที่ “ตรงข้าม” กับการทำงานแบบ Functional Stupidity คือ การทำงานที่สามารถจัดเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังของงานต่างๆ, มีการคาดเดาว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น แล้วหาทางป้องกันก่อนที่จะเกิดปัญหานั้นจริงหรือคิดวิธีการแก้ปัญหาที่ได้ผล, มีการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจ (trust) ระหว่างคนที่อยู่ร่วมทีมเดียวกัน
หมายเหตุ: นิยามความหมายของ “ความโง่ (Stupidity)” ทางจิตวิทยาเองมีคำอธิบายว่า “ความโง่” ประกอบไปด้วยลักษณะ 3 อย่างดังต่อไปนี้
1. ขาดความสามารถในการคิดถึงเหตุและผล (Absence of Reflexivity) เกิดขึ้นเมื่อเราไม่มีคำถาม, ไม่มีความสงสัย เชื่อและทำตามกฎความเชื่อหรือสิ่งที่มีอยู่ตั้งแต่แรกโดยไม่ได้คิดว่าเพราะเหตุใดเราจึงต้องทำแบบนั้น
2. ไม่พยายามที่จะหาคำอธิบายที่ดีพอและเป็นตรรกะ (Good Reason) เช่น คนทำงานไม่มีคำถามว่างานที่กำลังทำอยู่มีจุดประสงค์เพื่ออะไร เมื่อรับคำสั่งมาก็ทำตามไปตามนั้น แม้บางอย่างจะดูไม่สมเหตุสมผล หากมีคนถามว่าทำไปทำไมจะตอบว่า “เพราะเป็นคำสั่ง” “ก็เราเคยทำกันมาแบบนี้”
3. ขาดการคิดถึงเหตุผลสำคัญที่แท้จริง (Substantive Reasoning) ขาดการคิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำนั้นๆในหลายแง่มุม มองเห็นอะไรแค่ในแง่มุมเดียว (Taking Perspective) ไม่สามารถคิดอะไรที่ซับซ้อนได้
หากนำประสบการณ์ตรงที่เจอจากวิกฤติโควิครอบนี้ หมออยากให้ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบกรุณาเปลี่ยนระบบการทำงานเป็นแบบ “ไคเซน” เถิดค่ะ เพราะตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะล่มสลายจากวิธีที่ใช้อยู่ T^T
ทักทายพูดคุยกับหมอแมวน้ำเล่าเรื่องได้ที่ www.facebook.com/sealpsychiatrist
เรื่องแนะนำ :
– “สูญสิ้นความเป็นคน: รอยยิ้มที่กลบเสียงร่ำไห้”
– “ภัยพิบัติ x PTSD: ญี่ปุ่นรับมือกันอย่างไร”
– “ทานาบาตะ: แม้รักแค่ไหนแต่ไม่สามารถอยู่เคียงกันได้”
– “การจัดโอลิมปิกของญี่ปุ่นในยุคโควิด: ยืดหยุ่นหรือยึดติด?”
– “Berserk: อยู่อย่างไรในวันที่ถูกทรยศ”
คลินิก JOY OF MINDS
ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลรักษาปัญหาด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ
https://www.facebook.com/Joyofminds/
Tel: 090-959-9304
#ไคเซน: ทำงานอย่างฉลาดพาชาติเจริญ