วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (9) ว่าด้วยการฝึกฝน “กระบวนท่า” 形 (คาตะ) และการดำรงกายใจให้มั่นในโลกที่บูดๆ เบี้ยวๆ
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน หลังจากที่เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาก็หาเรื่องพาท่านผู้อ่านย้อนอดีตไปเที่ยวโอซาก้า ณ ปี 2014 กันไปแล้ว คราวนี้ในเดือนสุดท้ายของปี 2021 นี้ก็ขอกลับเข้าสู่โหมดปรัชญาเซนอีกครั้งนะครับ ท่านผู้อ่านที่รักครับ
ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้เป็นปีที่ผมยอมรับตรงๆ ว่าต้องเจอเรื่องหนักใจ สิ่งรบกวนจิตใจมากมายพอสมควร ตั้งแต่เรื่องโดนกักตัว เรื่องโควิดที่กลายเป็น “ประเด็นแห่งความหวาดวิตก” ในเชียงใหม่ ไปจนถึงเรื่องที่รู้สึกว่าตัวเองนี่ช่างไม่เอาไหน ยังติดแหง็กอยู่ที่สายขาวสี่แถบอยู่เลย ฝีมือยังไม่พัฒนามากพอจะขึ้นสายน้ำเงินเสียที แถมบางสัปดาห์โดนสมาชิกใหม่ๆ ยำเละอีก อันนี้พูดแบบไม่อายเลย แล้วไหนจะมีเรื่องอาการบาดเจ็บที่หลังเอวอีก ซึ่งตอนนี้ก็หายดีขึ้นละเพราะได้นวด แล้วก็หาทางศึกษาท่าบริหารสะโพกให้กล้ามเนื้อสะโพกมันยืดดีด้วย ฝึกหลังเอวให้แข็งแรงขึ้นด้วยอีก
แต่ก็นั่นแหละครับอย่างที่มีคนเขาว่า “ไม่เห็นทุกข์ ไม่เห็นธรรม” ฉันใด ยิ่งผมต้องเจอกับเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ ผมก็ยิ่งตระหนักในคุณค่าของปรัชญาเซน และยิ่งนึกถึงคำสอนของพระอาจารย์ไทเซน เดชิมารุ มากขึ้นเท่านั้น ด้วยความศรัทธาจึงตั้งใจนำเอาปรัชญาคำสอนของพระอาจารย์มาถ่ายทอด “เท่าที่สติปัญญาของผมจะอำนวย” ซึ่งก็ตั้งใจว่าจะเขียนให้จบซีรี่ส์นี้ภายในเดือนธันวาคมนี้แหละ แล้วพอขึ้นปีใหม่ก็จะเขียนถึง “คำภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิ เอาแบบแกะแล้วศึกษากันประโยคต่อประโยค คำต่อคำ กันแบบที่เคยเขียนถึง “วิถีเดินเดี่ยว” กันเลยทีเดียว สำหรับ “วิถีเดินเดี่ยว” ที่ได้เขียนลงในเว็บเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น ผมอยากจะขอบคุณท่านผู้อ่านมากๆ ที่ให้ตอบรับดีเกินความคาดหมายเยอะมากๆ (ดูจากยอดไลค์) ทำให้มีกำลังใจที่จะเขียนเรื่องราวในแนวนี้ต่อไปนะครับ
เกริ่นยาวมากละ ขอเข้าคำสอนของพระอาจารย์ละกันนะครับ
The essence of kata is not in the gestures themselves but in the attitude adopted toward them; that is what makes them right or not. You must not think, “This kata has to be performed like this or like that.” Instead, you must train the body-mind to create, each time, one total gesture mobilizing the whole ki, in an instant.
แก่นแท้ของ “กระบวนท่า” (形 “คาตะ” จริงๆ แปลว่า “รูปแบบ” ก็ได้ “ฟอร์ม” ก็ได้ แต่ในที่นี้ขอแปลแบบไทยๆ ว่า “กระบวนท่า”) มิได้อยู่ที่ตัวท่วงท่าต่างๆ แต่อยู่ที่เจตคติที่มีต่อท่วงท่าต่างๆ นั้น ตรงนี้แหละที่จะทำให้ท่วงท่าต่างๆ นั้นถูกต้องหรือผิดพลาด ท่านต้องไม่ไปคิดว่า “กระบวนท่านี้ต้องทำแบบนี้หรือว่าแบบนั้น” แทนที่จะคิดเช่นนั้น ท่านต้องฝึกกายกับใจเพื่อสรรค์สร้างท่วงท่าที่เป็นหนึ่งเดียวทั้งหมด ในแต่ละครั้ง อันยังพลังปราณทั้งหมดให้เคลื่อนไป ในอึดใจเดียว
มาถึงตรงนี้ถ้าท่านผู้อ่านยังนึกภาพไม่ออก ผมขอยกตัวอย่างการต่อยหมัดแย็บในมวยสากลละกัน ถ้าเราตีว่าการปล่อยหมัดแย็บเป็น “กระบวนท่า” หนึ่งละก็ ก่อนอื่นการปล่อยหมัดท่านก็ต้องมี “เจตคติ” ว่า เราต้องปล่อยหมัดให้เร็วและวิถีหมัดพุ่งดิ่งเข้าหาหน้าคู่ต่อสู้ (ถึงท่านจะแค่ต่อยกระสอบทรายหรือต่อยเป้าที่ครูฝึกเขาถือล่อก็เถอะ) ถ้าเราเหวี่ยงหมัดสะเปะสะปะอย่างมวยวัดอย่างนั้นก็คงไม่เรียกว่าหมัดแย็บ แล้วทีนี้ทำไงต่อ ก็ต้องหัดท่วงท่าในแต่ละจุดของร่างกายเราตามที่ครูเขาสอน บิดเอวยังไง หันสีข้างยังไง ใช้กล้ามเนื้อสีข้างลำตัวส่งพลังจากเอวแล้วยืดแขนยืดไหล่สะบัดขยับยังไงให้หมัดมันพุ่งเป้าเร็วและแรงพอที่จะเรียกได้ว่าเป็น “การชก”
นี่ขนาดแค่หมัดแย็บนะครับ และแน่นอน เวลาเรียนกระบวนท่าต่างๆ ใน BJJ นั้น จะท่าทุ่มก็ดี เทคดาวน์ก็ดี หรือกระบวนท่าล็อค ท่าหนี ท่าการ์ดบนพื้นก็ดี ก็ล้วนแต่ต้องมีท่วงท่าที่ถูกต้อง (ตำแหน่งถูกต้อง แง่มุมการเคลื่อนไหวถูกต้อง) ซึ่งการที่จะทำท่วงท่าให้ถูกต้อง ก็ต้องมี “เจตคติ” ที่เหมาะสมเสียก่อน คือต้องรู้ว่าเราต้องเคลื่อนไหวแบบนี้ วางตำแหน่งของร่างกายแบบนี้ “เพื่ออะไร” ถ้าไม่ทำให้ถูกต้องจะเกิดผลเสียอย่างไร (เช่นคู่ต่อสู้หลุดจากการควบคุมของเรา หรือดีไม่ดีเปิดช่องให้คู่ต่อสู้ล็อคเรากลับ อะไรแบบนี้)
Live the spirit of the gesture; through training, the kata must merge with the spirit. The stronger the spirit, the stronger the kata.
จงทำจิตวิญญาณของท่วงท่าให้มีชีวิต ผ่านการฝึกฝน กระบวนท่าต้องหลอมรวมกับจิตวิญญาณ จิตวิญญาณยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ กระบวนท่ายิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น
Q: Martial arts dojos teach lots of gestures designed to develop concentration‒the way you place your clothes and shoes, the way you bow when you enter…
ปุจฉา: โรงฝึกวิชาต่อสู้ทั้งหลายสอนกิริยาท่วงท่าต่างๆ มากมายที่ถูกออกแบบมาเพื่อพัฒนาสมาธิ เช่นวางเสื้อผ้ารองเท้าอย่างไร เวลาเข้าโรงฝึกโค้งคำนับอย่างไร…
T.D.: But every one of them is a kata. Kata means “how one behaves.” When you bow you must not bow any old way; in the West people vaguely stick their hands together and duck their heads, but have not understood the beauty of the gesture. It has to be complete, whole: the two palms placed slowly together, arms straight, parallel to the ground, fingertips level with the nose,then bend the whole upper body toward the ground, powerfully, from the waist, and strengthen up with the hands still together, then lower the arms naturally to the sides. A straight body, a straight neck, feet firm on the ground and mind calm. [Majestically, Taisen Deshimaru rises and bows] This shows your respect for your opponents, for your master, for the dojo, for life!
พระอาจารย์ไทเซน: แต่ทุกอย่างที่ว่ามานี้ล้วนเป็นกระบวนท่า (คาตะ) ทั้งนั้น กระบวนท่า (คาตะ) หมายถึงการที่ว่า “เราทำท่าทางอย่างไร” เวลาท่านโค้งคำนับท่านอย่าไปคำนับอย่างเดิมๆ ที่เคยทำมา ในโลกตะวันตกคน (ตะวันตก) มักเอามือประกบกันหลวมๆ แล้วก็ก้มหัว แต่ไม่ได้เข้าใจถึงความงามของท่วงท่า ท่วงท่ามันต้องสมบูรณ์ งามพร้อม สองฝ่ามือค่อยๆ พนมช้าๆ แขนตรง ขนานกับพื้น ปลายนิ้วอยู่ระดับเดียวกับจมูก แล้วโน้มลำตัวช่วงบนทางพื้นดิน อย่างมีพลัง จากบั้นเอว แล้วยืดตรงขึ้นขณะที่มือยังพนม แล้วค่อยปล่อยแขนลงมาที่สีข้างอย่างเป็นธรรมชาติ กายตรง คอตรง เท้าตั้งมั่นอยู่บนพื้น จิตสงบ (พระอาจารย์ไทเซนได้ลุกขึ้นแล้วคำนับ อย่างสง่างาม) นี่เป็นการแสดงความเคารพต่อคู่ต่อสู้ของท่าน ต่ออาจารย์ของท่าน ต่อโรงฝึก ต่อชีวิต!
Sometimes people ask why I bow in front of the statue of the Buddha in the dojo. I am not bowing to a piece of wood, I am bowing to everyone there with me in the dojo, and to the whole cosmos as well. All these gestures are extremely important because they help us to acquire correct behavior, They develop dignity and respect, they help to create a normal condition in us.
บางทีมีคนถามว่าทำไมข้าพเจ้าถึงโค้งคำนับต่อหน้าพระพุทธรูปในโรงฝึก ข้าพเจ้าไม่ได้โค้งคำนับให้ไม้ท่อนหนึ่ง ข้าพเจ้ากำลังโค้งคำนับให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่นกับข้าพเจ้าในโรงฝึก และต่อทั้งจักรวาลด้วย ท่วงท่าเหล่านี้ล้วนสำคัญยิ่งเพราะว่ามันช่วยให้เราได้มีความประพฤติที่ถูกต้อง มันพัฒนาศักดิ์ศรีและความเคารพ มันช่วยสร้างสภาวะปกติในตัวเรา
Nobody today is normal, everybody is a little bit crazy or unbalanced, people’s minds are running all the time. Their perceptions of the world are partial, incomplete. They are eaten alive by their egos.They think they see, but they are mistaken; all they do is project their madness, their world, upon the world. There is no clarity, no wisdom in that!
ทุกวันนี้ไม่มีใครปกติ ทุกคนบ้าหรือเสียสมดุลกันนิดๆ หน่อยๆ กันทั้งนั้น จิตของผู้คนทั้งหลายนั้นวิ่งโร่อยู่ตลอดเวลา การรับรู้โลกของพวกเขานั้นเป็นเพียงบางส่วนเสี้ยว ไม่สมบูรณ์ พวกเขาถูกอัตตาของตัวเองกลืนกินทั้งเป็น พวกเขาคิดว่าพวกเขาเข้าใจ แต่พวกเขานั้นผิดพลาดกันหมด สิ่งที่พวกเขาทำคือการโยนความบ้าของพวกเขา โลกของพวกเขา ใส่โลกใบนี้เท่านั้น ไม่มีความกระจ่าง ไม่มีภูมิปัญญาอยู่ในนั้นเลย!
That is why, Socrates, like the Buddha, like every wise man ever, began his teaching with “Know thyself, and thou shalt know the universe.” That is the spirit of traditional Zen and Bushido; and in studying that spirit, it is very important to observe one’s behavior. Behavior influences consciousness. Our attitude here and now influences the entire environment: our word, action, ways of holding and moving ourselves, they all influence what happens around us and inside us. The actions of every instant, everyday, must be right. Our behavior in the dojo will help to condition our everyday life.
และนี่คือเหตุที่ว่าทำไมโสกราตีสจึงเริ่มด้วยคำสอนที่ว่า “จงรู้จักตัวเอง แล้วเจ้าจักรู้จักจักรวาล” เหมือนกับพระพุทธเจ้าหรือคนมีปัญญาทั้งหลาย นั่นแหละคือจิตวิญญาณของเซนและบูชิโดแต่ดั้งเดิม และในการศึกษาจิตวิญญาณดังกล่าว สิ่งสำคัญยิ่งก็คือการสังเกตพฤติกรรมของตนเอง พฤติกรรมส่งอิทธิพลต่อจิตสำนึก เจตคติของเราที่นี่และเดี๋ยวนี้ส่งอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมทั้งมวล คำพูดของเรา การกระทำของเรา การดำรงกายและขยับกายของเรา สิ่งทั้งหลายนี้ล้วนส่งอิทธิพลกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเราและข้างในตัวเรา อากัปกิริยาทั้งหลายในทุกขณะ ทุกวัน ต้องถูกต้อง พฤติกรรมของเราในโรงฝึกจะช่วยปรับสภาพชีวิตประจำวันของเรา
Every gesture is important. How we eat, how we put on our clothes, how we wash ourselves, how we go to the toilet, how we put our things away, how we act with other people, family, wife, how we work‒how we are: totally, in every single gesture.
ทุกท่วงท่านั้นสำคัญ เรากินข้าวอย่างไร ใส่เสื้อผ้าอย่างไร ชำระล้างร่างกายตัวเองอย่างไร เข้าส้วมอย่างไร เก็บข้าวเก็บของอย่างไร กระทำต่อผู้อื่น ต่อครอบครัว ต่อภรรยาอย่างไร ทำงานอย่างไร เราเป็นอย่างไร ทั้งหมดทั้งมวลในทุกๆ ท่วงท่า
You must not dream your life. You must be, completely, in whatever you do. That is training in kata.
ท่านต้องไม่ฝันถึงชีวิตของท่าน ท่านต้องเป็น ในสิ่งใดที่ท่านทำ อย่างสมบูรณ์ นั่นแหละคือการฝึกฝนกระบวนท่า
The underlying spirit of Budo and Zen tend to that end; they are true sciences of behavior. They have nothing to do with the imagination that transforms the world, that is the case of so many religions. One should live the world with one’s body, here and now. And concentrate, completely, on every action.
จิตวิญญาณที่อยู่ในวิชาบู๊และเซนล้วนนำไปสู่ปลายทางดังกล่าว วิชาบู๊และเซนนั้นเป็นวิทยาศาสตร์พฤติกรรมที่แท้จริง ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องของจินตนาการที่แปลงรูปร่างของโลกอย่างที่เป็นอยู่ในหลายๆ ศาสนา คนเราต้องอยู่ในโลกด้วยร่างกายของเรา ที่นี่และเดี๋ยวนี้ และจงเพ่งสมาธิต่อทุกการกระทำโดยสมบูรณ์
But that’s impossible!
แต่นั่นเป็นไปไม่ได้!
T.D. Do you think the Buddha was perfect? He must have made mistakes like everybody else. He was a human being. But he was always tending towards the right behavior that is the highest human ideal. Modern civilization hasn’t an inkling of all this; from your first day at school you are cut off from life to make theories.
พระอาจารย์ไทเซน: แล้วท่านคิดว่าพระพุทธเจ้านั้นสมบูรณ์แบบหรือ? ก็ต้องเคยทำผิดพลาดเหมือนกับคนอื่นนั่นแหละ เพราะพระพุทธเจ้าก็เป็นคน เพียงแต่ว่าพระพุทธเจ้านั้นมุ่งโน้มนำกระทำตนให้อยู่ในพฤติกรรมอันถูกต้อง อันเป็นอุดมคติสูงสุดของมนุษย์ อยู่เสมอต่างหาก อารยธรรมสมัยใหม่ไม่ได้มีความรู้อะไรในสิ่งนี้เลยแม้แต่น้อย ตั้งแต่วันแรกที่ท่านอยู่ในโรงเรียน ท่านก็ถูกตัดขาดจากชีวิตเพื่อสร้างทฤษฎีต่างๆ
What I have to say must be clearly understood; I am not talking only about external behavior and external appearances, but also, and even more, about the attitude within.
สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องพูดตรงนี้ ท่านต้องเข้าใจให้กระจ่างแจ้ง ข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงแค่เรื่องของพฤติกรรมภายนอกหรือสิ่งที่ปรากฏอยู่ภายนอก แต่พูดถึงเจตคติที่อยู่ข้างในด้วย ซึ่งพูดถึงตรงนี้มากกว่าอีก
Which is the right way to behave? A great problem.
แล้วประพฤติตนอย่างไรจึงจะถูกต้อง? นี่เป็นปัญหาใหญ่
Zen can teach us the answer. Every school of philosophy is concerned with this problem: existentialism, behaviorism, structuralism… But none of them give us the key to the right way to conduct our lives. In the end, they always imprison themselves in categories; but the source, the long current of life, can’t be imprisoned.
เซนสอนคำตอบให้เราได้ ปรัชญาทุกสำนักล้วนกังวลสนใจต่อปัญหาข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นปรัชญาอัตถิภาวะนิยม (existentialism) พฤติกรรมนิยม (behaviorism) หรือโครงสร้างนิยม (structuralism) แต่ไม่มีอันไหนให้กุญแจไปสู่หนทางที่ถูกต้องในการดำรงชีวิตของเรา สุดท้ายแล้ว แนวคิดพวกนี้ก็ได้แต่ขังตัวเองอยู่ในการแบ่งแยกหมวดหมู่ แต่แหล่งกำเนิดของชีวิต กระแสน้ำอันยาวไกลของชีวิตนั้น ไม่อาจถูกจำขังได้
There is a koan that says, “Hot, cold, it is you who feel them.” That is true of everything.
มี “โคอัน” (公案 ขอแปลแบบบ้านๆ ว่า “คำคมชวนคิด” ในเซน) ที่ว่า “ร้อน หนาว เจ้านั่นแหละที่รู้สึก” ข้อนี้จริงในทุกสิ่ง
For each person, here and now is different.
สำหรับแต่ละคน ที่นี่และเดี๋ยวนี้ย่อมไม่เหมือนกัน
ครับ ท่านผู้อ่าน หลังจากที่ท่านผู้อ่านได้อ่านคำแปลไทยที่อาจจะไม่สละสลวยไปบ้างแล้ว ทีนี้ขอผมพูดถึงการนำเอาคำสอนตรงนี้เพื่อคิดสะกิดใจ และนำมาใช้ในชีวิตกันบ้างนะครับ
อย่างที่เคยเล่าไปแล้วว่า BJJ เป็นกีฬาต่อสู้ที่หนักในแง่ที่ว่า มันต้องการทั้งกำลังกาย ความแคล่วคล่อง การเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง และเจตคติที่เหมาะสม อย่างค่อนข้างหนักหน่วง จนทำให้ผมคิดว่าผมต้องปรับชีวิตตัวเองในแทบทุกมิติ เพื่อให้ตัวเอง “สามารถยืนระยะฝึกซ้อมได้” (แบบอาทิตย์ละสี่วัน) จากคนชอบกินเบียร์ก็แทบเลิกกินเบียร์ ชอบดื่มน้ำอัดลมก็เลิกดื่ม มาหลังๆ มานี้ฝึกอดเป็นเวลา (intermittent fasting) ด้วยเพื่อจงใจทำน้ำหนัก “ลดรุ่น” จากรุ่น medium heavy เป็น middle ซึ่งสองเดือนมานี้จาก 85-86 kg ตอนนี้เหลือราว 82 นิดๆ แต่ยังต้องลดไปอีกให้เหลือสัก 80 หรือต่ำกว่า (ผมไม่รับรองว่าจะทำได้หรือเปล่าแต่จะพยายาม) และก็กินมังสวิรัติบ้างเป็นบางมื้ออย่างที่เขาเรียกว่า flexitarian ทุกวันนี้พยายามบอกตัวเองว่า ต้องมีร่างกายที่ดีขึ้น เพื่อจะได้มีเทคนิคที่ดีขึ้น และจิตใจที่ดีขึ้น ตามหลักคิด ชิน วาซะ ไต (心技体 ใจ เทคนิค กาย)
ในเรื่องของคำสอนของพระอาจารย์ไทเซนที่ว่า “ทุกท่วงท่านั้นสำคัญ” นั้น ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเทียบเคียงกับ “จรณะ ๑๕” ในพุทธศาสนาดังนี้ครับ
๑. สีลสัมปทา ถึงพร้อมด้วยศีล
๒. อินทริยสังวร สำรวมอินทรีย์
๓. โภชนมัตตัญญุตา รู้ความพอดีในการกินอาหาร
๔. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรของผู้ตื่นอยู่
๕. สัทธา ความเชื่อ
๖. หิริ ความละอายแก่ใจ
๗. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผิด
๘. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ฟังมาก (คือได้รับศึกษา)
๙. วิริยะ ความเพียร
๑๐. สติ ความระลึกได้
๑๑. ปัญญา ความรอบรู้
๑๒. ปฐมฌาน ฌานที่หนึ่ง
๑๓. ทุติยฌาน ฌานที่สอง
๑๔. ตติยฌาน ฌานที่สาม
๑๕. จตุตถฌาน ฌานที่สี่
ทุกท่วงท่านั้นสำคัญ แต่สำคัญกว่าท่วงท่าคือการมีเจตคติที่ถูกต้อง ที่ขาดไม่ได้คือความเพียร ผมเองตอนนี้หลังเอวหายแล้วก็ต้องพยายามซ้อมให้ได้สัปดาห์ละสี่วัน
ใครก็ตามที่อยากจะปรับปรุบชีวิตตัวเองให้ดีขึ้นในทุกๆ ทาง สุขภาพ ความงาม อยากมีรูปร่างที่ดีขึ้น สุขภาพจิตที่ดีขึ้น ไม่เครียด หรืออะไรก็ตามแต่ อย่าลืมเอาคำสอนของพระอาจารย์ไทเซนในวันนี้ไปพินิจพิเคราะห์แล้วมาใช้ปรับปรุงด้านต่างๆ ในชีวิตทุกด้านของตนเองนะครับ ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านดูแลสุขภาพกายและใจให้ดี เพื่อที่จะดำรงตนอยู่ได้ในโลกยุคโควิดนี้นะครับ
สุดท้ายนี้ไม่รู้จะลงรูปอะไร เอารูปอาหารมังสวิรัติที่ไปนั่งกินเพื่อผ่อนคลายกายใจของตัวเองสุดสัปดาห์ที่ร้าน SAMATA หนองฮ่อซอย 19 มาให้ดูเล่นนะครับ นี่ก็คือส่วนหนึ่งของการทำตามคำสอนของพระอาจารย์เหมือนกันครับ
ข้าวพะแนงขาเห็ด สลัดมันฝรั่งทอด
ควินัวสลัดโบวล์ ใส่เทปเป้ถั่วดำ มันฝรั่งนึ่ง แครอทชุบแป้งทอด (ร้านนี้ทำชองชุบแป้งทอดได้บางๆ อร่อยมาก)
ข้าวแกงกะหรี่หน้าผักรวม เลือกเครื่องใส่ได้
ผักสดจิ้มดิปเม็ดมะม่วงหิมพานต์กับกระเทียม
ถั่วลูกไก่ผัดเม็ดมะม่วง
ตกลงนี่กลายเป็นรีวิวร้านอาหารไปแล้วใช่ไหมครับเนี่ย (ฮา)
ร้านนี้ผมชอบเพราะว่าได้กินอาหารแบบที่ชอบ บรรยากาศเหมือนนั่งในสวนเล็กๆ เสาร์อาทิตย์มีดนตรีสดให้ฟังด้วย (ยังอีก) การกินมังสวิรัติบ้างเป็นการบำรุงร่างกายและลดภาระให้แก่ร่างกาย (และจริงๆ ในนิกายเซนก็มีวัตรปฏิบัติข้อที่ว่าการละจากการกินเนื้อสัตว์เป็นการฝึกฝนตนเองอย่างหนึ่ง จึงมีอาหารอย่างที่เรียกว่าว่าอาหารโชจิน 精進料理 แปลตรงๆ คือ “อาหารวิริยะ” (“วิริยะ”=โชจิน) การได้นั่งในสวนมีใบไม้เขียวๆ เป็นการคลายเครียด (จากที่ต้องอยู่แต่ในตึกโรงงานมาทั้งสัปดาห์) วันที่หยุดงานวันเสาร์ ไปซ้อมที่ยิม เสร็จแล้วมานั่งกินข้าวร้านนี้ ฟังเพลง บอกตรงๆ ว่ามีความสุขมาก
…ตกลงนี่แกมารีวิวร้านอาหารจริงๆ ใช่ไหม (ฮา)
ถ้างั้นก็ขอจบการรีวิว เอ้ย บทความของวันนี้แต่เพียงเท่านี้นะครับ 555
เรื่องแนะนำ :
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (8) “ล้มให้เป็น” ว่าด้วยความหมายที่แท้ของคำว่า “สุเตมิ” 捨て身
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (7) ประชุมวิทยายุทธแมว
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (6) การบำบัดใจด้วย “กายคตาสติปัฏฐาน” ผ่านการฝึก BJJ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (5) แมวสามตัว กับการจัดการกับ Ego ของตัวเองในการเรียน BJJ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (4) กาย เทคนิค ใจ จากซามูไรถึงยูยิตสู
#เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (9)