การไปเรียนทำเบเกอรี่ที่ญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งสาขาวิชาที่นักเรียนไทยจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจค่ะ อ๊ะ…คุณผู้อ่านหลายคนอาจจะสงสัยใช่ไหมคะว่า ทำไมถึงเลือก “ญี่ปุ่น” แทนที่จะไป “ฝรั่งเศส”
การไปเรียนทำเบเกอรี่ที่ญี่ปุ่น เป็นอีกหนึ่งสาขาวิชาที่นักเรียนไทยจำนวนไม่น้อยให้ความสนใจค่ะ อ๊ะ…คุณผู้อ่านหลายคนอาจจะสงสัยใช่ไหมคะว่า ทำไมถึงเลือก “ญี่ปุ่น” แทนที่จะไป “ฝรั่งเศส”
จริงๆ แล้ว หลักสูตรการทำเบเกอรี่ในโรงเรียนสอนทำขนมที่ญี่ปุ่น หรือร้านทำขนมดังๆ ในญี่ปุ่น ส่วนใหญ่ก็เอาต้นตำรับมาจากฝรั่งเศสนั่นล่ะค่ะ อาจารย์ดังๆ ก็ไปจบจากสถาบันทำอาหาร ทำขนมของฝรั่งเศสกันทั้งนั้น แต่… ญี่ปุ่นก็ช่างสามารถนำสูตรขนมของฝรั่ง มาดัดแปลงโดยใช้วัตถุดิบคุณภาพและความปราณีตพิถีพิถันตามแบบฉบับของญี่ปุ่น กลายเป็นเบเกอรี่สไตล์ญี่ปุ่นที่มีความสวยงามและรสชาติที่นุ่มนวล
ที่ญี่ปุ่นเอง อาชีพเชฟทำขนมก็เป็นอาชีพยอดฮิตในยุคปัจจุบันค่ะ จากหลายผลสำรวจอาชีพในฝันของเด็กประถมญี่ปุ่นหลายโพลปรากฎว่า อาชีพที่เด็กผู้หญิงอยากจะทำเมื่อโตขึ้นในอนาคต อันดับหนึ่งคือ อาชีพ パティシエ ภาษาญี่ปุ่นจะออกเสียงว่า พาทิชิเอ้ มาจาก patissier ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศสหมายถึง เชฟขนม ของหวาน ซึ่งเป็นอาชีพที่ใฝ่ฝันของเด็กยุคใหม่พอๆ กับอาชีพแพทย์
เด็กนักเรียนญี่ปุ่น ที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นเชฟขนม โดยส่วนใหญ่เมื่อเรียนจบมัธยมปลาย จะมุ่งไปเข้าเรียนในวิทยาลัยที่สอนวิชาชีพเฉพาะทาง ที่เรียกว่า 専門学校 : senmon gakkou ซึ่งจะใช้เวลาเรียนตั้งแต่ 2 – 4 ปี
ในส่วนของนักเรียนไทยที่ไปเรียนวิทยาลัยวิชาชีพด้านการทำขนมที่ญี่ปุ่น และจบการศึกษากลับมาแล้วมีไม่น้อยค่ะ ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การเรียนทำขนมในญี่ปุ่นเป็นการเรียนที่หนัก และต้องอาศัยความอดทนอย่างมาก แต่ทุกคนก็มีความสุขที่ได้เรียนและได้ทำงานในสิ่งที่รัก
คุณอุ้ม พนิต ปาละพงศ์ เจ้าของร้านเค้ก “มองบลังค์” ชื่อดังบนถนนนิมมานเหมินทร์ เชียงใหม่ และขยายแฟรนไชส์ไปอีกหลายสาขา เริ่มต้นจากการเข้าเรียนในโรงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โตเกียว และเข้าเรียนต่อหลักสูตรการทำขนมที่วิทยาลัย Oda Seika College (織田製菓専門学校) ในโตเกียว ซึ่งมีความโดดเด่นในเรื่องชั้นเรียนที่นักเรียนต่อคลาสมีจำนวนน้อย อาจารย์ดูแลเอาใจใส่ได้ทั่วถึง อีกทั้งที่ตั้งของโรงเรียนซึ่งเดินทางได้สะดวก
คุณนัท สัณหณัฐ จงจิรวิศาล ปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนการทำขนมอยู่ที่ ABC Cooking Studio ที่มาเปิดสาขาในไทย และทำชีสเค้กแบรนด์ของตัวเองออกมาในชื่อว่า Last days Special คุณณัฐเริ่มจากการเข้าเรียนภาษาในโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่โกเบ เมืองแห่งเบเกอรี่และขนมหวาน จากนั้นเข้าเรียนต่อด้านการทำขนมในวิทยาลัย Kobe College of Patisserie (神戸製菓専門学校) ซึ่งเป็นวิทยาลัยด้านการทำขนมที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น
คุณเชียร์ ปัณฑิตา สุภาพรรณชาติ เชฟขนมสาวน้อยหน้าหวานแห่งร้าน Muteki by Mugendai ไปเรียนภาษาที่เกียวโต และเข้าเรียนต่อด้านการทำขนมที่ Ecole Superieure De Patisserie Tsuji, Osaka (エコール 辻 大阪) ซึ่งเป็นวิทยาลัยวิชาชีพในเครือ Tsuji Culinary Institute Group ซึ่งไม่ต้องพูดว่าดังขนาดไหนในญี่ปุ่น เรียกว่าถ้าพูดถึงสถาบันด้านอาหารและขนมของญี่ปุ่นล่ะก็ ชื่อของ Tsuji Institute ขึ้นมาอันดับหนึ่งแน่นอน
เรียนทำขนมในเซมมงกักโค เป็นยังไง?
การเรียนในเซมมง กักโคของญี่ปุ่นเป็นการเรียนอย่างจริงจังค่ะ หลักสูตรการทำขนม ไม่ได้สอนแค่ วิธีการทำขนม แต่สอนทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้จบออกมาเป็นเชฟมืออาชีพ แม้ 80% ของการเรียนจะเป็นภาคปฏิบัติ แต่ต้องเรียนภาคทฤษฏีอย่างละเอียด ครอบคลุมไปตั้งแต่ ทฤษฏีพื้นฐานการทำขนม โภชนาการอาหาร ตารางธาตุอาหาร ปฏิกริยาเคมีทางวิทยาศาสตร์ กฎหมายผู้บริโภค ไปจนถึงด้านธุรกิจ การบริหารจัดการครัว การสั่งของ การจัดเก็บสต็อคของ การคำนวณค่าใช้จ่าย การตั้งราคา ฯลฯ
อีกทั้งกฎหมายสาธารณสุขของญี่ปุ่นที่มีความเข้มงวดอย่างมาก การจะเป็นผู้ประกอบการด้านอาหาร จะต้องมีการสอบด้านสุขลักษณะต่างๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่การทำขนม นักเรียนที่เรียนหลักสูตรการทำขนม จึงจำเป็นที่จะต้องเรียนและสอบเพื่อรับใบรับรองคุณวุฒิ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสุขลักษณะการทำขนม (製菓衛生師 : Confectionery Hygiene Master) โดยเฉพาะ
ด้วยความที่คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ “ความเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง” คือถ้าชอบอะไร หลงใหลอะไร ควรทุ่มเทกับเรื่องนั้นอย่างเต็มที่ค่ะ การจะเรียนทำขนมต้องมีค่าใช้จ่ายในการเรียนไม่น้อย ค่าเล่าเรียนขั้นต่ำปีละประมาณ 1 ล้านกว่าเยน (4-5 แสนบาท) แถมกว่าจะสามารถออกมาเป็นมืออาชีพได้ก็ใช้เวลาไม่น้อย เพื่อไม่ให้เสียเงิน เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ ก่อนที่จะคิดตัดสินใจเป็นเชฟทำขนม มี 5 ข้อสำคัญที่ควรจะสำรวจตัวเองดูก่อน ว่าตรงกับคุณสมบัติดังต่อไปนี้ไหม
1. รักการทำขนมเป็นชีวิตจิตใจ
ไม่ใช่ “เพราะชอบทานขนมหรือของหวาน” แต่ชอบที่จะลงมือทำ มีความสุขกับการทำขนมที่หน้าตาดี มีรสชาติถูกปากผู้คน หลงใหลการทำขนมอย่างสุดๆ ที่สำคัญคือมีแรงบันดาลใจและความมุ่งมั่นในอาชีพนี้อย่างจริงจัง
2. ทำงานประจำ ธรรมดาๆ ได้ทุกวันอย่างไม่รู้สึกเบื่อ
แม้จะเป็นเรื่องที่ฟังดูง่ายๆ เช่น ทักทายผู้คน ชั่งตวงส่วนผสม เก็บกวาด ล้างภาชนะ ทำความสะอาด เก็บของเข้าที่ แต่เป็นเรื่องที่คนจำนวนไม่น้อยทำไม่ได้
ลองคิดดูว่าตัวเองเป็นแบบไหน
“น้ำตาลน้อยไม่หน่อย…อ๊ะ..ไม่เป็นไรละกัน”
“ถ้าอบนานกว่านี้อีกหน่อยน่าจะออกมาดูดีกว่านี้ แต่… แค่นี้ก็โอล่ะ”
“ล้างภาชนะ แค่นี้ก็สะอาดแล้ว เครล่ะ วางตรงนี้ก็ได้ จะระเบียบอะไรมากมาย”
….
ถ้าเป็นคนที่คิดว่า “แค่นี้ก็พอ หยวนๆ น่ะ จะต้องเป๊ะอะไรขนาดนั้น ฯลฯ” อาจจะไม่เหมาะกับการทำอาชีพนี้ เพราะการทำขนมเป็นวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่ง การทำตามสูตรแบบเป๊ะๆ ในทุกขั้นตอน คือสิ่งที่จะทำให้ได้ผลลัพท์ออกมาคงที่
นอกจากนั้น เทคนิคการทำขนม ไม่ใช่ว่าจะสามารถจำได้จากการลงมือทำเพียงครั้งเดียว ต้องฝึกฝน ฝึกซ้อมทุกวันให้เคยชิน ทำความเข้าใจในแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด โดยไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่เสียเวลา เมื่อลงมือทำแต่ละขั้นตอนอย่างพิถีพิถันแล้ว ได้ผลลัพธ์โดยรวมออกมาอย่างสมบูรณ์ จึงจะถือว่าเป็นมืออาชีพ
3. มีพละกำลังและความอึด
เบื้องหน้าดูเหมือนทำขนมสวย ๆ แต่เบื้องหลังแล้วคือ งานที่ต้องอาศัยความถึกอึดล้วนๆ ตลอดเวลาของการทำขนมคือ “ยืน” ไม่มีเวลาให้นั่ง นอกจากนั้น การยกถุงแป้ง ถุงน้ำตาล หรือวัตถุดิบอื่นๆ หนักเป็นสิบโล เป็นเรื่องปรกติที่ต้องเผชิญทุกวัน อีกทั้ง การทำงานหน้าเตาอบร้อนๆ เอาขนมปังออกจากแม่พิมพ์ เหงื่อไหลไคลย้อย รอยแผลจากความร้อนหรือฟกช้ำ เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเจอ
4. มีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาคิดค้นสูตรขนมใหม่ๆ
มีความช่างสงสัย อยากรู้ อยากลอง ถ้าลองใส่…ลงไปจะเป็นยังไงนะ ถ้าลองเปลี่ยนมาทำแบบนี้จะเป็นยังไงนะ คนที่มีความสงสัยและอยากลองทำสิ่งใหม่ๆ จะสามารถพัฒนาและสร้างเทรนด์ใหม่ๆ ขึ้นมาได้
5. มีเซ้นส์ทางศิลปะ
เพราะนอกจากความอร่อยแล้ว ความสวยงามน่ารับประทานเป็นหัวใจสำคัญของการทำขนมที่จะดึงดูดและสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า
การทำขนมเป็นศิลปะ ที่แม้จะเรียนรู้หรือจำสูตรต่างๆ ได้ แต่การคิดสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่สอนกันไม่ได้ง่ายๆ จึงควรเป็นคนที่มีความสนใจสิ่งอื่นๆ นอกจากขนมด้วย เช่น ไปดูงานศิลปะในพิพิธภัณฑ์ ไปเที่ยวต่างประเทศ ดูสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมของต่างชาติ ชิมอาหารแปลกๆ อ่านนิตยสารหรือหนังสือที่ปรกติไม่ค่อยได้อ่าน เพื่อเปิดหูเปิดตา ให้ทุกสัมผัสของร่างกายได้ลิ้มลองความแปลกใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม
ถ้าคิดว่าสามารถเข้าข่ายตรงกับคุณสมบัติทุกข้อได้ อยากจะเรียนเป็นเชฟทำขนมอย่างจริงจัง และคิดว่าญี่ปุ่นเป็นทางเลือกหนึ่งของการไปเรียนแล้วล่ะก็ สิ่งที่ต้องเตรียมอันดับแรกเลยคือ “ภาษาญี่ปุ่น” ค่ะ
เงื่อนไขพื้นฐานในการเข้าเรียนในวิทยาลัยวิชาชีพของญี่ปุ่นคือ จบวุฒิขั้นต่ำระดับม. 6 อายุเกิน 18 ปีขึ้นไป แต่ที่สำคัญที่สุดสำหรับนักเรียนต่างชาติคือ จะต้องมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นระดับ N2 ขึ้นไป หรือเรียนในสถาบันสอนภาษาญี่ปุ่นที่ประเทศญี่ปุ่นมาเกิน 6 เดือนขึ้นไป จึงจะมีสิทธิ์สมัครสอบเข้าเรียนได้ ซึ่งแน่นอนว่าการสอบเข้าเรียน จะใช้ภาษาญี่ปุ่นล้วนๆ
อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้ายังมีความใฝ่ฝันอยากจะเรียนทำขนมที่ญี่ปุ่น จะเริ่มต้นยังไงดี เจ๊คงบอกได้อย่างเดียวว่า ต้องเรียนภาษาญี่ปุ่นอย่างจริงจังเท่านั้นล่ะนะคะ สู้ๆ ค่ะ
พบปะ “เจ๊เอ๊ด” และ #ทีมเจ๊เอ๊ด ได้ที่ >>> www.facebook.com/jeducationfan
ข้อมูลเรียนต่อญี่ปุ่น-เรียนภาษาญี่ปุ่น >>> www.jeducation.com
เรื่องแนะนำ :
– แทนที่การ “ตัด” ด้วยการ “เติม”
– มารยาทในการชมบุไต (ละครเวที) ที่ญี่ปุ่น
– นักเรียนไทยกับการทำไบ้ท์ (งานพิเศษ) ที่ญี่ปุ่น
– ข้าวญี่ปุ่นหลากหลายพันธุ์ อร่อยต่างกันยังไง!?
– ชมซากุระที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะกลางป่า..Miho Museum
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ :
Tsuji Culinary Institute