วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (11) ฝึกวิชาต่อสู้เพื่อ “ชีวิต” ฝึกสมาธิจิตเพื่อ “เตรียมตัวตาย”
สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่รัก ในตอนที่แล้วอยากจะบอกว่าดีใจมากที่ทางเพจ BJJ Thailand ได้นำเอาบทความของผมไปแชร์ต่อ ในฐานะที่เป็นคนเขียนและเป็นสายขาวคนหนึ่ง ก็บอกตรงๆ ว่าดีใจมากๆ ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ช่วงนี้ก็รู้สึกว่าในการฝึกก็เริ่มกลับมามีกำลังใจพลังใจมากขึ้น การลดน้ำหนักก็เป็นไปได้ด้วยดีใกล้ถึงเป้าหมายที่ < 80 กิโลเต็มทีแล้วใกล้จะถึงเส้นชัยแล้ว ที่เหลือก็คงเป็นการเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ซึ่งก็อาจจะต้องใช้เวลาบ้างแต่คิดว่าก็คงจะทำได้
ในตอนที่แล้วผมได้พูดถึงเรื่องของพลังลมปราณ “คิ 気” ซึ่งในอีกนัยหนึ่งหมายถึง “กำลังใจ” หรือ “พลังใจ” ก็ได้ด้วย เพราะถ้าคนเรามีกำลังกายที่ดีก็จะมีกำลังใจที่ดีด้วย ซึ่งพลังลมปราณที่เป็นพลังผลักดันชีวิตให้เดินต่อไปได้นั้น ก็มาจากอากาศที่เราหายใจ จากอาหารที่เรากินเข้าไป รถยังต้องเติมน้ำมัน ชีวิตคนเราก็ต้องมีพลังขับดันให้ขับเคลื่อนไป
สิ่งที่น่าคิดก็คือ คำสอนของพระอาจารย์ไทเซนบอกว่า
What matters most is how we use our ki. When we are young we never think about it, but as we grow older, as the body begins to tire, the question becomes more and more acute. Through proper breathing, however, we can cure our ailment, renew our life energy constantly, and keep up our strength, day by day. We must be careful not to expend it needlessly, though, and zazen teaches us that.
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเราใช้พลังลมปราณอย่างไร ตอนเรายังหนุ่มเราไม่เคยคิดถึงมันหรอก แต่พอเราแก่ตัวลง เมื่อร่างกายเริ่มเหนื่อยล้า คำถามนี้จะยิ่งแหลมคมขึ้นทุกที อย่างไรก็ดี โดยอาศัยการหายใจที่ถูกต้อง เราอาจรักษาความป่วยไข้ ฟื้นคืนพลังชีวิตของเราขึ้นมาใหม่ได้เสมอ และรักษาพละกำลังของเราไว้ได้ วันต่อวัน เราต้องระมัดระวังไม่ใช้มันอย่างไม่จำเป็น และการนั่งฌานจะสอนเราถึงสิ่งดังกล่าว
Another contributing factor to the loss of ki, especially in today’s civilization, is dispersion, mental agitation, anxiety, and disorder in our thoughts. We always use our forebrain nowadays, whereas we should be developing the unconscious activity of the hypothalamus in order to strengthen the deep brain, the intuition, instinct.
อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เราสูญเสียพลังลมปราณ โดยเฉพาะในอารยธรรมสมัยใหม่ทุกวันนี้.ก็คือการที่ความนึกคิดของเราปั่นป่วน ซัดส่าย วุ่นวาย กังวล ทุกวันนี้เราใช้แต่สมองส่วนหน้าอยู่ตลอด ด้วยเหตุนี้เราจึงควรพัฒนากิจกรรมของสมองส่วนไฮโพทาลามัสในระดับจิตไร้สำนึก เพื่อฝึกสมองส่วนลึก ญาณหยั่งรู้ สัญชาตญาณ ให้แข็งแกร่งขึ้น
ผมอ่านมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกซาบซึ้งมากว่า นี่แหละเหตุผลที่สุดยอดที่ว่าทำไมผมเล่นบีเจเจ แล้วจึงมีความสุขทางใจ ในทุกๆ วัน ชีวิตการทำงานในโรงงานที่เต็มไปด้วยความคิด ความคาดหวัง นัดหมายเวลา เป้าหมายตัวเลขที่ต้องทำ สารพัดสารพันปัญหา ที่ทำให้จิตของผมเหนื่อยล้า ปั่นป่วน ซัดส่าย วุ่นวาย กังวล แต่ผมอย่างน้อยก็ยังสามารถเอาความเป็นคนในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งกลับคืนมาสู่ตัวเองได้ ผ่านการดริล การโรลกับชาวคณะในยิม
เคยมีพี่ทำงานคนนึงก็เห็นรูปถ่ายของผมที่ถ่ายกับหมู่คณะหลังซ้อมเสร็จ เขาบอกว่าหน้าตาผมดูมีความสุขม๊ากกกก การฝึกวิชาต่อสู้โดยเฉพาะการซ้อมประลองนี่แหละ ที่จะเป็นที่ที่ซึ่งญาณหยั่งรู้และสัญชาตญาณ ได้มีที่ทางที่จะปล่อยมันออกมา
ในอารยธรรมสมัยใหม่ที่ซึ่งระบบการศึกษาก็ดี กฎเกณฑ์สังคมก็ดี ล้วนถูกสร้างขึ้นเพื่อให้คนไม่เป็นคน เพื่อให้คนเป็นเพียงอะไรสักอย่างหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของระบบ และมีตัวตนอยู่เพียงเพื่อรับใช้หรือค้ำจุนการดำรงอยู่ของระบบเท่านั้น (ผมพูดถึงตรงนี้หลายท่านอาจนึกถึงหนังเรื่อง the matrix ตามสบายเลยครับเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นหนังในดวงใจเรื่องหนึ่งของผมเหมือนกัน) ชั่วขณะที่ได้ซ้อมได้โรลบนเบาะเท่านั้น ที่ผมรู้สึกว่าผมได้กลับมาเป็น “คน” เป็น “สิ่งมีชีวิต” ชนิดหนึ่งอีกครั้งหนึ่ง
When people do not have enough of this kind of energy, they fall ill; everybody, today, is more or less ill. Yet we could cure ourselves by cultivating our ki.
เมื่อคนเราไม่มีพลังงานชนิดนี้เพียงพอ เราก็จะป่วย ทุกวันนี้คนทุกคนป่วยกันไม่มากก็น้อย แต่เรายังรักษาตัวเองได้ด้วยการบ่มเพาะพลังลมปราณ
Ki and body need to be one, as in the kiai shout of the samurai.
You must believe absolutely in the importance of the breathing out; try to shout while you’re breathing in. Breathing out is the key of Budo; that and concentration in the expression of ki.
พลังลมปราณและร่างกายต้องเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนในการระเบิดเสียง “คิไอ” (気合) ของซามูไร
ท่านต้องเชื่ออย่างไม่มีสงสัยในความสำคัญของลมหายใจออก ลองตะโกนตอนหายใจเข้าดู การหายใจออกคือกุญแจสำคัญของวิชาบู๊ และการเพ่งสมาธิในการสำแดงพลังลมปราณ
อย่างที่ผมได้อธิบายไปในตอนที่แล้ววิชาบู๊ของญี่ปุ่นนั้น จะเป็นการปล่อยหมัดก็ดี ฟันดาบก็ดี ล้วนเป็นการระเบิดพลังออกมาชั่วขณะที่หายใจออก และจริงๆ แล้วในการทุ่มคู่ต่อสู้มันก็เป็นเช่นนั้นด้วยเหมือนกัน ถ้าเราลังเล สับสน ไม่มั่นใจ โอกาสในการเข้าทุ่มหรือเทคดาวน์คู่ต่อสู้ก็จะหายไป และในการพันตูกันบนพื้นนั้น ถ้าเราเหนื่อย ลมหายใจปั่นป่วน หายใจไม่ทันเมื่อไหร่ การเคลื่อนไหวของเราก็จะแข็งทื่อหรืออาจชะงัก โอกาสหรือช่องว่างแง่มุมที่จะเข้าทำ หรือจะหนี มันก็จะหายวับไป หมดแรงเมื่อไหร่เตรียมตัวโดนล็อคคอได้เลย
ในการต่อสู้นั้นเราจำเป็นต้องมีพลังลมปราณให้มากๆ เพื่อที่เราจะได้มีกำลังที่จะเคลื่อนไหว Mark มักจะสอนผมเสมอว่าในขณะที่เวลาเดินอยู่ “อย่าหยุดเคลื่อนไหว” ซึ่งการจะทำอย่างนั้นให้ได้เราต้องมี “พลังลมปราณ” ต้องมีกำลังกายกำลังใจที่แข็งแรง ซึ่งนอกจากการฝึกซ้อมบ่อยๆ ผมก็มองไม่เห็นทางอื่นเลยที่จะพัฒนามันขึ้นมา
สมาธิคืออะไร? คำสอนของพระอาจารย์ไทเซนบอกว่า สมาธิหมายถึงความสามารถในการเอาทุกสิ่งมารวมเข้าด้วยกัน เพื่อที่จะดึงเอาพลังลมปราณทั้งหมด พลังทั้งหมดในตัวเรา เอามาใส่ในทุกๆ การกระทำเคลื่อนไหวหนึ่ง การฝึกนั่งสมาธินั้นหมายถึงการค่อยๆ เรียนรู้การเพ่งพลังงานและความสามารถที่มีไปยังสิ่งๆ หนึ่ง ณ เวลาหนึ่ง ในขณะที่ยังรับรู้ถึงสิ่งอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายที่สุดก็คือ ยกตัวอย่างเช่น เวลาผมโรลในยิม ในขณะที่ผมต้องเพ่งจิตไปยังการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อที่จะตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย ผมก็ต้องรับรู้ตำแหน่งและการเคลื่อนไหวของร่างกายตัวเองไปด้วย แล้วก็ต้องคอยระวังสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ด้วย เช่นกำลังปล้ำๆ กันอยู่เนี่ยหัวใครจะไปชนกำแพงหรือเปล่า (เพราะเพราะพื้นที่ในยิมมันไม่ได้กว้าง) ซึ่งการเพ่งจิตนั้น เมื่อเราฝึกฝนไปนานๆ จิตของเราก็จะตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ได้เองอย่างเป็นอัตโนมัติ เป็นธรรมชาติ โดยที่เราไม่ทันไม่ทันได้คิด
มันมีคำพูดอยู่ตอนหนึ่งในการ์ตูนเรื่อง AREA88 ที่ผมติดใจมาก คือเขาบอกว่า คอมพิวเตอร์ “คิดคำนวณ” เร็วกว่าคนก็จริง แต่ถ้าเป็นคน (นักบิน) ที่ผ่านประสบการณ์มามาก จะสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ “อย่างไม่ต้องคิด” ซึ่งเร็วยิ่งกว่าคอมพิวเตอร์อีก
พระอาจารย์ไทเซนยังได้กล่าวอีกว่า จุดมุ่งหมายของวิชาต่อสู้คือการสงวนรักษาชีวิต ยามต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ เมื่อการฝึกการต่อสู้นั้นเป็นการสั่งสมพลังลมปราณ และพลังลมปราณนั่นแหละคือสิ่งที่เป็นพลังขับดันให้เรายังมีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่า คนเรานั้นฝึกวิชาต่อสู้ “เพื่อให้ชีวิตตัวเองได้อยู่รอดต่อไป” อันเป็นธรรมชาติธรรมดาของสัตว์โลก ที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด
แต่การนั่งฌาน (ซาเซน) นั้น พระอาจารย์ไทเซนกล่าวว่า มันคือการฝึกเพื่อ “แก้ปัญหาเรื่องความตาย”
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
เราต้องยอมรับความจริงทั้งสองด้าน ในด้านหนึ่งคนเราในฐานะสิ่งมีชีวิตย่อมต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ในอีกด้านหนึ่ง มันเป็นข้อเท็จจริงที่ว่าคนเรานั้นเกิดมาแล้วก็ต้องตายในสักวันหนึ่ง “ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง” เป็นข้อเท็จจริงที่อาจไม่น่าฟังแต่มันคือเรื่องจริงจริงๆ
เวลาที่เรานั่งฌาน มีแต่ลมหายใจที่ยังเข้าออกให้เรารับรู้ได้ แต่ร่างกายเราไม่ได้เคลื่อนไหว พระอาจารย์ไทเซนบอกว่า ให้คิดเสียว่าเวลาเรานั่งฌานนั้น เหมือนกับว่าเราเข้าไปอยู่ในโลง เพราะสุดท้ายแล้ว เราจะต้องวางทิ้งซึ่งทุกสิ่งอย่าง (คนเราตายแล้วเอาอะไรไปไม่ได้)
แต่ถึงแม้เราจะรู้ว่าคนเราเกิดมาต้องตาย ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องงอมืองอเท้า ไม่ทำอะไร ไม่ต้องฝีกฝนมันละ ไม่ต้องออกกำลังกายอะไรละ อยู่ไปอย่างนั้นแหละไปตามยถากรรม ใครคิดแบบนี้ก็นับว่ามิจฉาทิฐิ มีทัศนคติที่ผิดเพื้ยนเต็มทน ที่ผมต้องพูดแบบนี้เพราะผมรู้สึกว่าพุทธศาสนาแบบคนไทยแบบไทยๆ นี่ ตีความคำสอนในพุทธศาสนาได้แบบมองโลกในแง่ร้ายและหมดอาลัยตายอยากมาก จนหลายคนพากันติเตียนว่า คำสอนในพุทธศาสนานี่แหละที่ทำให้คนไทยประเทศไทยไม่เจริญก้าวหน้า ผมว่าถ้ามันจะไม่เจริญก้าวหน้า ก็เพราะโลกทัศน์ของคนไทยที่มองอะไรแบบคนมองโลกในแง่ร้ายเองมากกว่า หาใช่เพราะคำสอนในพุทธศาสนาไม่
คำสอนจากพระอาจารย์โดเง็น (道元)
たき木、はひとなる、さらにかへりてたき木となるべきにあらず。しかあるを、灰はのち、薪はさきと見取すべからず。
ไม้ฟืนพอเป็นกลายเถ้าถ่านแล้ว จะเปลี่ยนมาเป็นไม้ฟืนอีกหาได้ไม่ แต่ทว่า จะเห็นว่าเถ้าถ่านคือหลัง ไม้ฟืนคือก่อน นั้นหาได้ไม่
しるべし、薪は薪の法位に住して、さきありのちあり、前後ありといへども、前後際断せり。灰は灰の法位にありて、のちありさきあり。
ที่ต้องรู้ คือ ไม้ฟืนก็อยู่ในสภาวธรรมของไม้ฟืน มีก่อนมีหลัง แม้จะกล่าวว่ามีก่อนมีหลัง ก่อนหลังก็เป็นสิ่งที่มีคนไปตัดไปแยก เถ้าถ่านนั้นก็อยู่ในสภาวธรรมของเถ้าถ่าน มีหลังมีก่อน
ฉะนั้น ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เราต้องเพ่งจิตไปที่ชีวิต และเมื่อความตายใกล้เข้ามา เราต้องละทิ้งชีวิตและรู้ว่าจะตายอย่างไร นี่คือปัญญา
และนี่แหละถึงจะเรียกว่าเป็นคำสอนในพุทธศาสนา ที่เราควรนำมาใช้ในการดำเนินชีวิต
But what is life, what is death?
If one really wants to live, one has to know the death in oneself.
แล้วชีวิตคืออะไร ความตายคืออะไร?
ถ้าคนเราอยากจะมีชีวิต เราก็ต้องรู้จักความตายในตัวเอง
Life is a succession of here and now, here and now, unceasing concentration in the here and now. People who worry about the future or the past don’t understand that they are worrying about an illusion.
ชีวิตคือการสืบต่อของที่นี่และเดี๋ยวนี้ ที่นี่และเดี๋ยวนี้ โดยเพ่งสมาธิไปยังที่นี่และเดี๋ยวนี้โดยไม่หยุดหย่อน คนที่มัวกังวลถึงอนาคตหรือกลุ้มใจกับอดีต พวกเขาไม่เข้าใจหรอกว่าพวกเขากำลังกังวลกับภาพมายา
คำว่าการสืบต่อในที่นี้ในความเข้าใจของผมก็คือในสิ่งที่เรียกว่าชีวิตจริงๆ แล้วมันก็มีการเกิดและดับอยู่ตลอดเวลา เกิดแล้วดับ แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ เอาง่ายๆ ตอนนี้ผมเจ็บที่ต้นขาด้านหลังตรงใกล้หัวเข่า เมื่อวานซ้อมได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ก็พอถูไถได้ ก็ให้รับรู้ว่าตอนนี้มันเจ็บนะเดี๋ยวไปไปมามา ถึงจุดหนึ่งมันก็หายเอง ถ้าตอนนี้มันเจ็บก็แค่นอนพัก ก็เดี๋ยวมันก็หายโดยที่ผมไม่จำเป็นต้องไปนั่งกังวลว่าพรุ่งนี้มันจะหายไหม สนใจแค่ตอนนี้เป็นอย่างไรก็พอ หรืออย่างเรื่องที่เมื่อหลายสัปดาห์ก่อนผมเจ็บที่หลังเอว ตอนนี้หายเจ็บแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมานั่งคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองเจ็บเมื่อตอน 2 อาทิตย์ก่อนอีก ถ้าจะพูดแบบประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันทั่วไป อนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจะกลุ้มใจไปทำไม อดีตมันผ่านไปแล้วก็ไม่รู้จะกลับไปแก้ไขอย่างไร ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือปัจจุบัน แต่ก็ให้เข้าใจว่าคำว่าปัจจุบันนั้นมันก็ไม่เคยอยู่คงที่แค่ผ่านไปอีกไม่กี่วินาทีสิ่งที่เคยเป็นปัจจุบัน ก็จะไม่เป็นปัจจุบัน พูดอีกอย่างก็คือเมื่อเราเอาปัจจุบัน ณ วินาทีนั้นๆมาต่อเข้าด้วยกันยาวๆ มากๆ มันก็จะกลายเป็นช่วงเวลาในชีวิตของเรา
What we must do is solve, dissolve, the contradiction within ourselves, the contradiction that is built into the two hemispheres of our own brains, that affects everything in our lives, in our families, our social activities, our inner life.
The only way to solve it is with the aid of hannya, wisdom.
สิ่งที่เราต้องทำก็คือการแก้ การลบล้าง ความขัดแย้งข้างในตัวเรา ความขัดแย้งซึ่งก่อเกิดในสมองทั้งสองซีกของเรา ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกสิ่งในชีวิตของเรา ในครอบครัวของเรา กิจกรรมทางสังคมของเรา ชีวิตภายในของเรา
หนทางเดียวที่จะแก้ไขปัญหานี้ได้คือต้องมี “ปัญญา” (般若 ฮันนยา) มาเป็นเครื่องช่วย
Not think, of course. But react, wisely, one must use wisdom all the time. If you’re attacked by somebody stronger than you and you really don’t feel equal to the match, it’s better to run away. Why get beaten up? But otherwise, you have to fight. Without passion, but with instinct, strength and wisdom.
แน่นอน อย่ามัวคิด แต่จงตอบโต้ อย่างใช้ปัญญา คนเราต้องใช้ปัญญาอยู่ตลอดเวลา ถ้าท่านถูกคนที่แข็งแรงกว่าโจมตี แล้วท่านไม่รู้สึกว่าจะเข้าต่อตีได้เสมอกันแล้ว ก็วิ่งหนีไปเสียจะดีกว่า อยู่ให้เขาตีทำไม? แต่ถ้าหนีไม่ได้ ก็ต้องสู้ ไม่ใช่สู้ด้วยอารมณ์ แต่สู้ด้วยสัญชาตญาณ พละกำลังและปัญญา
Do not be narrow-minded, always looking for rules and recipes. Every situation requires its own reaction.
อย่าเป็นคนใจแคบคอยแต่จะมองหากฎเกณฑ์และสูตรสำเร็จอยู่ร่ำไป สถานการณ์ทุกอย่างล้วนต้องใช้วิธีการโต้ตอบของมันเอง
What is good, bad? Hannya, profound wisdom, must dictate the right response, the right gesture.
อะไรดี หรือเลว? ปัญญาอันแยบคาย จะเป็นตัวบงการการตอบสนองที่ถูกต้อง ท่าทางที่ถูกต้อง
How to concentrate, that is the real question. By reflecting upon oneself; then one can see the imperfections in our karma and gain control over one’s bonnos, one’s desires and passions. For this we have zazen, the great mirror of ourselves, that can help us to improve.
จะเพ่งสมาธิอย่างไร นั่นแหละคือคำถามที่แท้จริง ด้วยการสะท้อนมายังตัวเอง เมื่อนั้นแหละที่เราจะเห็นความไม่สมบูรณ์ของกรรม (การกระทำ ในที่นี้คือการกระทำที่มาจากแรงผลักของกิเลส) ของเรา และสามารถควบคุมกิเลส (煩悩 บนโน) คือความอยากได้อยากมีทั้งหลาย เพื่อการนี้เราจึงนั่งฌาน เพื่อเป็นกระจกส่องตัวเรา และช่วยให้เราปรับปรุงตัวเอง
ถ้าจะยกตัวอย่างสิ่งนี้ให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ท่านผู้อ่านก็ลองดูแล้วกันครับเวลาเหนื่อยๆ เพลียๆ ให้หลับตาแล้วตั้งสมาธิ สังเกตลมหายใจเข้าออกของตัวเองลองฟังเสียงข้างในร่างกายเราเองบ้าง หัวใจมันเต้นเป็นยังไง ปวดเมื่อยเจ็บหรือเกร็งที่กล้ามเนื้อส่วนไหนในตัวบ้าง ร่างกายในตัวเรากล้ามเนื้อของเรามันเป็นอย่างไรส่วนไหนที่รู้สึกว่าเข้มแข็งมีกำลังส่วนไหนที่มันยังอ่อนแอพละกำลังไม่มีพอ
เมื่อเราฝึกเพ่งสมาธิแบบนี้บ่อยๆ จิตใจเราก็จะเริ่มนิ่ง เริ่มมีความคิดตริตรองมากขึ้นว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เพื่อเป้าหมายเราก็ต้องยอมข่มใจ ไม่กินอาหารไปเรื่อยตามใจปากให้มันมากเกินไปนัก เพราะถ้าเราปล่อยตัวไปกับความอยาก เหมือนกับตัวผมสมัยก่อนนะเกิดกิเลสอยากกินเหล้ากินเบียร์ กิเลสก็ผลักดันให้เกิดกรรม คือกระทำการเอาเหล้าเอาเบียร์เข้าปาก พอกินเข้าไปมากๆ ก็ต้องรับวิบาก คือผลแห่งกรรมที่กินเข้าไปมาก ซึ่งวิบากในที่นี้ก็คืออ้วนน้ำหนักเกิน ไขมันในช่องท้องไขมันในเส้นเลือดถามหา นั่นเอง
If we do not have some practice like zazen to balance all our pushes and pulls, then we develop only part of ourselves, we become too spiritual or too material.
That is the mistake of the whole of modern civilization, and the cause of the crisis in which we now are.
To know how to control, regulate, the self is the secret.
Control body and mind, which are one. Control life and death.
หากเราไม่ฝึกฝนอะไรสักอย่างอย่างการนั่งฌานเพื่อถ่วงดุลแรงผลักและดึงทั้งหลายในตัวเรา เราจะพัฒนาเพียงแค่ด้านเดียว เราจะกลายเป็นว่าหนักไปทางจิตวิญญาณมากไปหรือไปทางวัตถุมากไป
นั่นแหละคือความผิดพลาดของอารยธรรมสมัยใหม่ทั้งมวล และเป็นสาเหตุของวิกฤตที่เรากำลังเผชิญอยู่
เคล็ดลับคือต้องรู้ว่าจะควบคุมและจัดระเบียบตัวเองอย่างไร
ควบคุมใจและกายอันเป็นหนึ่งเดียว ควบคุมชีวิตและความตาย
ครับ สำหรับคำสอนของพระอาจารย์ไทเซนที่ผมได้เก็บความมาบรรยายในวันนี้ ก็อยากจะให้ท่านผู้อ่านลองตรองดูให้มากๆ โดยเฉพาะยุคนี้เป็นยุคที่น่ากลัว ไม่รู้ว่าใครหรืออะไรกันแน่ที่มันเป็นภัยคุกคามที่มันจะมาเอาชีวิตเรา ผมคงไม่สามารถพูดอะไรได้มากตรงนี้ ได้แต่บอกท่านผู้อ่านว่า หากจะเอาชีวิตให้รอดในยุคโควิดแบบนี้จำเป็นต้องใช้ปัญญาให้มากๆ ฝึกฝนกายใจกันให้มากๆ รับรู้ข่าวสารอะไรมาก็พยายามตั้งคำถามกับมันให้มากๆ พยายามหาข่าวสารในมุมกลับด้วย อยากให้ตระหนักว่า ทุกย่างก้าวการตัดสินใจว่าเราจะทำอะไรอย่างไรหรือไม่ทำอะไรล้วนแล้วแต่มีผลต่อชีวิตทั้งนั้น หนึ่งความคิดหนึ่งการตัดสินใจที่จะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรนั้น มันอาจจะทำให้ท่านผู้อ่านรอดตายก็ได้ หรืออาจตายไม่รู้ตัวเลยก็ยังได้
สำหรับผม ณ ตอนนี้ ได้ฝึกที่ยิมก็ถือว่าดีเหลือหลายแล้ว อันนี้รูปหมู่พีธีเลื่อนสายม่วงเป็นน้ำตาลเมื่อต้นเดือนนี้นี่เอง ส่วนผมเหรอ รอปีหน้าโน่น ๕๕๕ โค้ชบอกผมขึ้นสายน้ำเงินเมื่อไหร่เจอ shark tank แน่ 555
ตอนหน้าอาจจะเป็นตอนสุดท้ายของซีรีส์ “เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู” แล้วนะครับ ปีหน้าจะชวนท่านผู้อ่านมาอ่าน “คำภีร์ห้าห่วง” ด้วยกันนะครับ เราต้องศึกษา “หนทางเอาตัวรอด” จากนักดาบผู้เป็นเลิศในด้านการเอาชีวิตรอด (จากการประลอง) ลองเอามาศึกษากันดูเพื่อจะได้เอาตัวให้รอดในยุคนี้ ยังไงก็อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (10) “พลังลมปราณ” 気 (คิ) กับการจัดการกับความกลัว
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (9) ว่าด้วยการฝึกฝน “กระบวนท่า” 形 (คาตะ) และการดำรงกายใจให้มั่นในโลกที่บูดๆ เบี้ยวๆ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (8) “ล้มให้เป็น” ว่าด้วยความหมายที่แท้ของคำว่า “สุเตมิ” 捨て身
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (7) ประชุมวิทยายุทธแมว
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (6) การบำบัดใจด้วย “กายคตาสติปัฏฐาน” ผ่านการฝึก BJJ
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (11) ฝึกวิชาต่อสู้เพื่อ “ชีวิต” ฝึกสมาธิจิตเพื่อ “เตรียมตัวตาย”