วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (10) “พลังลมปราณ” 気 (คิ) กับการจัดการกับความกลัว
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน เข้าเดือนธันวาคมแล้วเป็นอย่างไรกันบ้างครับ ที่เชียงใหม่บางวันก็หนาวเหลือเกินเฉพาะตอนเช้านะ แต่กลางวันก็ร้อนเหมือนเดิม (ฮา) หน้าหนาวเนี่ยลำบากอย่างนึงก็คือกลางวันจะมืดเร็วแล้วพอมืดแล้วก็หนาว ตอนนี้การออกกำลังกายหลังเลิกงานก็คือมีแต่ต้องไปซ้อมที่ยิมอย่างเดียว พอกลับบ้านมาฟ้ามืดแล้วจะให้ไปวิ่งหรือออกกำลังกายนอกบ้านคงจะไม่ไหว ยังไงท่านผู้อ่านก็รักษาสุขภาพด้วยนะครับ
สำหรับเนื้อหาของคำสอนของพระอาจารย์ไทเซนที่จะมาพูดกันในวันนี้ อ่านหัวเรื่องแล้วท่านผู้อ่านอาจนึกไปไกลถึงพวกหนังกำลังภายในปล่อยแสงอะไรแบบนั้น ซึ่งผมต้องขอกับท่านผู้อ่านว่า โปรดทิ้งความคิดอะไรที่เป็นเรื่องแฟนตาซีแบบนั้นออกไปก่อนเถอะครับ เพราะคำว่า “พลังลมปราณ” ที่ผมใช้นั้นไม่ได้ต้องการหมายความไปถึงเรื่องของอะไรที่มันมหัศจรรย์หรือเหนือมนุษย์แต่อย่างใด ผมหมายถึงสิ่งง่ายๆนี่แหละที่มันติดตัวในตัวเราทุกคนก็คือ “ลมหายใจ” เพราะคำว่า”ปราณ” ในที่นี้มันก็แปลว่าลมหายใจนั่นแหละครับ
และพอผมพูดเรื่องคำว่าพลังที่ก่อเกิดมาจากลมหายใจนี้ก็ท่านผู้อ่านคนไหนที่เคยอ่าน JoJo ก็อย่าเพิ่งนึกไปว่าผมจะมาพูดเรื่องของ “พลังคลื่นมนตรา” ที่เอาไว้ต่อยผีดูดเลือดอะไรแบบนั้นนะครับ (ฮา)
แล้วความหมายของ “พลังลมปราณ” (คิ 気) ในคำสอนของเซนมันเป็นอย่างไร? ขอเชิญอ่านได้ ณ บัดนี้ครับ
กล่าวโดยสรุป การเคลื่อนไหวตามกระบวนท่าในวิชาต่อสู้นั้น เช่นเดียวกับการนั่งฌาน ท่วงท่าต้องได้ ลมหายใจต้องถูก ถ้าพูดแบบเข้าใจง่ายที่สุด จังหวะที่เราปล่อยอาวุธ คือจะชกก็ดีหรือจะฟันก็ดีต้องเป็นจังหวะเดียวกับจังหวะที่หายใจออก อันนี้ข้อหนึ่งนะครับ
ส่วนอีกข้อหนึ่งก็คือ เวลาที่เราเหนื่อยล้า สังเกตไหมว่า ลมหายใจเราจะหอบถี่ๆ ครูฝึกมักจะสอนว่าให้เราผ่อนลมหายใจออกยาวๆ แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วก็ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ หายใจเข้าออกด้วยจมูกปกติๆ นี่แหละครับ การฝึกแบบนี้ถือว่าเป็นการฝึกสมาธิแบบด่วนๆ อย่างหนึ่ง ทำให้เราฟื้นจากความรู้สึกเหนื่อยล้าได้บ้างและก็ทำให้จิตใจมีสมาธิมากขึ้น กลับมาตั้งสติได้มากขึ้น
ถ้าเราฝึกการหายใจแบบนี้ให้เป็นนิสัยได้ก็จะช่วยลดความเหนื่อยล้า เกร็งหรือตึงเครียดในขณะที่เรากำลังฝึกวิชาต่อสู้ได้ด้วย
นี่แหละครับ “พลังลมปราณ”
ขอให้ท่านผู้อ่านระลึกไว้เสมอว่าปรัชญาเซนเนี่ยถือว่าเป็นปรัชญาที่ “ติดดิน” ที่สุดแล้ว เป็นสิ่งที่มันอยู่ในทุกย่างก้าวในการดำรงชีวิตของเรานี่แหละ ไม่ใช่เรื่องสวรรค์วิมานอะไรเลื่อนลอยหรือเหนือธรรมชาติเหนือมนุษย์อะไรเลย เราต้องทำตัวทำใจให้คิดแบบคนติดดิน คิดถึงสิ่งที่มันมีอยู่เป็นอยู่ในชีวิตเราให้มาก อย่าอยู่กับความฝัน อย่าเอาใจไปใส่กับอะไรที่มันเป็นอุดมคติอุดมการณ์เลิศลอยเลยครับ
แล้วหาจะถามว่าเราจะพัฒนา “พลังลมปราณ” ในตัวได้อย่างไร? ในหนังสือของพระอาจารย์ไทเซนนั้นบอกว่า หนทางหนึ่งก็คือการฝึกนั่งฌาน (ซาเซน) อีกหนทางหนึ่งก็คือการฝึกตัวเองเพื่อต่อสู้
ถ้าเราฝึกการผ่อนลมหายใจควบคุมลมหายใจ อย่างที่บอกว่าให้หัดระบายลมหายใจช้าๆ เวลาเหนื่อยล้า หายใจเข้าลึกๆ ยาวๆ มันก็ทำให้เราฟื้นพลังกายได้ด้วยแล้วก็ดึงสติของเรากลับมาได้ด้วย ในทางกลับกัน ถ้าเราฝึกฝนร่างกายและฝึกฝนเทคนิคไปเรื่อยๆ เราก็จะค่อยๆ ค้นพบว่า พอร่างกายเราแข็งแรงขึ้นเราก็จะมีความอดทนต่อความเหนื่อยล้ามากขึ้น และเมื่อเรามีเทคนิคท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่ดีขึ้น เราก็จะพบว่า เราสามารถ “ประหยัดพลังงาน” ของตัวเองได้มากขึ้น มันก็ทำให้เราเหนื่อยน้อยลง ฝึกได้มากขึ้นนานขึ้น ลมหายใจก็ปั่นป่วนน้อยลงด้วย แล้วพอเราเหนื่อยน้อยลง มีกำลังกายดีขึ้น “กำลังใจ” ของเราก็จะดีขึ้นด้วย เราก็จะเป็นคนที่มีกำลังใจเข้มแข็งขึ้น มีสติมากขึ้น มีสมาธิมากขึ้น สามารถรับมือกับเรื่องราวต่างๆ ได้มากขึ้น
ฉะนั้นอาจกล่าวสรุปได้ว่าการฝึกพลังลมปราณนั้นเป็นการฝึกฝนร่างกาย และการฝึกฝนร่างกายก็จะค่อยๆ นำพาเราไปสู่การฝึกฝนจิตใจเอง ร่างกายเข้มแข็งขึ้นเท่าไหร่ จิตใจก็จะยิ่งเข้มแข็งขึ้นเท่านั้น
มาถึงตรงนี้แล้วก็อยากจะขอพูดถึงเรื่องของ “ความกลัว” เสียเลย ในหนังสือของพระอาจารย์ไทเซนนั้น มีคำพูดที่ท่านผู้อ่านฟังแล้วอาจจะงง ตรงที่ว่า คนเรานั้นมีความกลัวเพราะมีพลังลมปราณ (คิ 気) ไม่มากพอ?
ตรงนี้อาจจะฟังดูเข้าใจยาก ผมขอคลี่คลายประเด็นต่างๆ ก่อนนะครับ
ถ้ามาถามผมว่าความกลัวเกิดจากอะไร? เอาตามความเข้าใจของผมเลยนะครับ ความกลัวเกิดจากความไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีเมื่อเวลาเราเผชิญกับปัญหาหรือภัยคุกคาม
เพราะฉะนั้นถ้าเรารู้ว่าปัญหาหรือภัยคุกคามนั้นเมื่อมันมาถึงตัวเราเราจะแก้ปัญหาหรือจะรับมืออย่างไรแล้ว เราก็จะไม่กลัว
Fear comes from going against.
Even in a fight one’s consciousness must be with that of one’s adversary, one must always go with, not against. There is a great koan.
ความกลัวมาจากการที่เราไปต้าน
แม้ในการต่อสู้จิตสำนึกของเราต้องไปด้วยกันกับจิตสำนึกของศัตรู เราต้องคล้อยตามไปด้วยกัน มิใช่ไปต้าน นี่คือคำคมชวนคิด (โคอัน 公案) อันยิ่งใหญ่
ถ้าเอาตามการตีความของผมจากประสบการณ์ชีวิตบนเบาะ หากเรายิ่งพยายามจะยึดตัวเองให้อยู่ตำแหน่งเดิมเราจะยิ่งเสียสมดุล การที่เรามัวคอยแต่จะยึดตัวเองให้อยู่ในตำแหน่งเดิมหลายครั้งก็เป็นเพราะว่าเราไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรได้บ้าง.พูดง่ายๆก็คือเกิดจากความไม่รู้ หากถ้าเรารู้ว่าถ้าคู่ต่อสู้เคลื่อนไหวแบบนี้เราก็ต้องเคลื่อนไหวแบบนี้ตอบ หรือถ้าเราเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้เราจะทำอะไรได้บ้าง หรือถ้าเราพยายามจะทำท่านี้ใส่อีกฝ่ายแล้วเขาป้องกันได้เรายังมีท่าไหนเหลืออยู่บ้าง เราก็จะไม่พยายามฝืนดึงดันที่จะอยู่ในตำแหน่งเดิมเราก็ต้องคล้อยตามคู่ต่อสู้ไป ซึ่งถ้าจะพูดจริงๆแล้วใน bjj ก็มีการฝึกซ้อมการเข้าคู่แบบที่เรียกว่า flow roll
สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ลองดูละกันครับ
การฝึกฝนตนเองให้รู้จักอ่านและคล้อยไปตามกระแสของการเคลื่อนไหวระหว่างตัวเรากับคู่ต่อสู้ ในอีกด้านหนึ่งมันก็เป็นการฝึกลมหายใจของเราด้วย ถ้าเรากลัว เราก็จะเกร็ง ถ้าเราเกร็ง การเคลื่อนไหวของเราก็แข็งทื่อ ยิ่งเราเกร็งและแข็งทื่อเราก็ยิ่งหายใจสั้นๆ ถี่ๆ แล้วก็สิ้นเรี่ยวแรง และถ้าเราสิ้นเรี่ยวแรงจะตอบโต้หรือจะหลบหลีกเมื่อไหร่แล้วก็ เราก็จะตาย
แต่ถ้าเราฝึกร่างกายให้ดี ฝึกเทคนิคการเคลื่อนไหวให้ดี เราก็จะเริ่มเข้าใจกระแสของการเคลื่อนไหวระหว่างตัวเรากับคู่ต่อสู้มากขึ้น เมื่อเราเข้าใจมากขึ้น ว่าจะขยับเคลื่อนไหวยังไง จะหลบหลีกยังไง จะหาช่องสวนกลับยังไง ความกลัวก็จะลดน้อยลงไป กำลังใจของเราก็จะดีขึ้น นี่แหละครับที่เป็นที่มาของคำพูดที่ว่าการที่เรากลัวก็เพราะว่าเรามี “พลังลมปราณ” ไม่พอ ซึ่งถ้าจะพูดให้ชัดจริงๆ ก็ต้องพูดว่าที่เรากลัวก็เพราะว่าเราฝึกฝนกำลังใจมาไม่มากพอ กำลังใจของเราไม่เข้มแข็งพอ ฉะนั้น ในแง่นี้ คำว่า “พลังลมปราณ” (คิ 気) นั้น อาจหมายถึง “กำลังใจ” ได้ด้วย
One has to become the situation, not separate oneself from it. A real egoist can never be brave. The true, traditional martial arts training strengthens ki, destroys egoism and fear, moves the student beyond dualism, and develops mushin consciousness, consciousness that has forgotten the self.
เราต้องกลายเป็นสถานการณ์ มิใช่แยกตัวเองออกจากสถานการณ์ คนที่เอาแต่ยึดมั่นในอัตตาจะไม่มีวันเป็นคนกล้าหาญ วิชาบู๊ที่แท้แต่ดั้งเดิมนั้นจะฝึกให้คนเรามีพลังลมปราณกล้าแข็ง ทำลายความยึดมั่นในอัตตาและความกลัว นำพาผู้เรียนให้พ้นไปจากการคิดแบ่งแยกเป็น 2 ฝ่าย (คือการคิดแบ่งแยกสิ่งต่างๆในโลกแบบมองว่ามีแค่ขาวกับดำ บวกกับลบ) และพัฒนาจิตสำนึก “ไร้จิต” (มุชิน 無心) คือจิตสำนึกที่ลืมตัวเอง
อย่างที่ผมเคยเล่าในตอนก่อนๆแล้วว่าผมเป็นสายขาว 4 แถบที่จัดว่าไม่เอาไหน เพราะผมโดนสายขาวที่มาทีหลังอัดเอาอยู่เรื่อย ซึ่งบางคนสูงใหญ่กว่าผมหนัก 102 กิโลกรัมและเคยฝึกยูยิตสูแบบ No Gi มาก่อนถึง 2 ปี แต่ผมก็โรลกับอีตานี่ทุกครั้งที่ฝึก แบบไม่มาสนใจเรื่องแพ้หรือชนะ เพราะผมคิดว่าถ้าผมเอาแต่กลัวไม่ว่าจะกลัวโดนอัดหรือว่ากลัวขายหน้าที่แพ้หรือไม่เคยเอาชนะได้ ผมก็จะไม่พัฒนาขึ้น ผมบอกกับตัวเองว่าจงยอมรับความห่วยแตกของตัวเองเสียก่อนเพื่อจะได้หาช่องทางที่จะทำให้ตัวเองเก่งขึ้น และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ผมบางครั้งนึกไม่ออกว่าทำยังไงถึงจะเก่งขึ้น ผมก็บอกตัวเองว่างั้นไม่ต้องนึกแ**เลยละกัน ฝึกไปทุกวันฝึกไปบ่อยๆ โรลมันทุกวันนั่นแหละ ตอนนี้ก็ดีหน่อยที่ว่าได้รับคำแนะนำจากโค้ชเรื่อยๆ แล้วก็ลองเอามาแก้ดูด้วย แล้วก็พยายามปล่อยตัวปล่อยใจเล่นให้สนุก คิดเสียว่าการลงไปโรล (ซ้อมประลอง) นั้นเป็นการปลดปล่อยพลัง (หรืออาจเป็นความคับข้องใจ อยากระบายอะไรสักอย่าง) ของตัวเอง อย่างน้อยผมก็สามารถต่อสู้ต้านทานกับสายน้ำเงินที่มีรูปร่างและส่วนสูงไม่ต่างจากผมมากได้ และเล่นกันได้อย่างสนุกสนานแบบว่ามีแรงเท่าไหร่ก็ใส่ไปเท่านั้นเลย ไม่ต้องคิดอะไรเยอะ
It’s not necessary to want to win; only then can one win.
ไม่จำเป็นต้องอยากชนะ เมื่อนั้นแหละจึงจะชนะได้
Abandoning the ego is the secret of right living. In life as in the practice of the martial arts it is important to strengthen the will and develop strength and skill. But the main thing is to strengthen the spirit and find freedom.
การละทิ้งอัตตา คือเคล็ดลับของการใช้ชีวิตที่ถูกต้อง ในชีวิตนั้น เช่นเดียวกับการฝึกวิชาต่อสู้ สิ่งสำคัญคือการฝึกกำลังใจให้เข้มแข็ง และพัฒนาพละกำลังและทักษะ แต่เรื่องหลักก็คือ การทำจิตวิญญาณให้แข็งแกร่งและค้นหาอิสรภาพ
Mushin… nothing
“ไร้จิต” (มุชิน 無心) …ไม่มีอะไรสักสิ่ง
หนุ่มรุ่นน้องในยิมซึ่งได้สายขาว 4 แถบพร้อมกันกับผมแต่ว่าตอนนี้เป็นสายน้ำเงินนำผมไปก่อนแล้ว เขาบอกกับผมว่าพี่คิดมากเกินไป ใส่ไปก่อนเลย จับตรงไหนได้ก็เอาก่อนเลย พอมาคิดถึงความเปลี่ยนแปลงทางความคิดและการมาเล่นแบบ “ใส่ไม่ยั้ง” ของผมในช่วงสัปดาห์นี้ มาหวนคิดดู คำพูดของหนุ่มรุ่นน้องสายน้ำเงินหมาดๆ อันนี้ อาจจะเป็น “โคอัน” ที่ดี สำหรับผมก็ได้นะ
สำหรับตัวผมที่ผ่านมาเคยมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับตัวเองว่าตัวเองมีกำลังกายและความแข็งแรงไม่สู้ใครอีกหลายคนเพราะว่าอายุก็เยอะแล้วและก็เคยอ้วนน้ำหนักเกินมาก่อน แต่มาถึงวันนี้ผมตัดสินใจแล้วว่า ถ้าอยากจะเดินหน้าไปในทางนี้ต่อ ผมต้องโยนมายาคติเหล่านี้ทิ้งไปซะ ผมอยากจะฝึกผมอยากจะเล่น bjj เพราะว่ามันเล่นแล้วสนุกถึงจะเหนื่อยโฮกแต่ก็สะใจ เพราะฉะนั้นจะเรื่องอายุหรืออะไรก็ตามก็ช่างแม่มันสิ 44 แล้วไง?
ครั้นมาคิดถึงเหตุการณ์บ้านเมืองรอบตัวเราทุกวันนี้ เราถูกความกลัวจู่โจมอยู่ทุกวี่ทุกวัน กลัวติดโรคโควิด กลัวเงินหวิด (เงินไม่พอใช้) ครั้นจะฉีดวัคซีนก็กลัววัคซีนอีก ตอนนี้ชีวิตของคนแทบทุกคนทั่วทั้งโลก เรามีชีวิตอยู่กับความหวาดกลัว ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราควรจะหยิบเอาปรัชญาเซนตรงนี้มาคิดไตร่ตรองให้ดี แล้วเอามาใช้ในชีวิตประจำวัน สิ่งที่ผมอยากให้ท่านผู้อ่านทำเหมือนอย่างที่ผมทำ ณ ตอนนี้ก็คือ ขอให้รักษาสุขภาพอนามัยให้ดี ฝึกร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายเล่นกีฬาเป็นประจำ พยายามทำสุขภาพจิตของตัวเองให้ดี หาทางผ่อนคลายตัวเองจากความเครียด เพราะจากข่าวเท่าที่ได้ยินได้ฟังมาจนถึงทุกวันนี้ คนที่เป็น covid แล้วถึงตาย ส่วนมากคือคนที่มีภาวะสุขภาพย่ำแย่ เช่นอ้วนน้ำหนักตัวมากเกิน ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ถ้าร่างกายเราแข็งแรงดีก็ยังพอเป็นเครื่องป้องกันร่างกายได้ในระดับหนึ่ง ผมเคยต้องถูกกักตัวเพราะว่ามีประวัติสัมผัสเสี่ยงสูงกับผู้ป่วยโรคนี้มาแล้ว แต่ผมเองก็ไม่ได้เป็นอะไรสักอย่าง ก็ยังแข็งแรงดี ส่วนผู้ป่วยท่านนั้นพอต่อมาเขาก็หายดี ไม่ได้เป็นอะไรมากมาย สิ่งนี้แสดงให้เห็นแล้วว่ามันไม่ใช่โรคที่คนเป็นแล้วต้องตายกันทุกคน แต่เป็นแล้วคุณจะรอดหรือเปล่า จะหายได้หรือเปล่า มันก็อยู่ที่ต้นทุนทางสุขภาพที่คุณสั่งสมมาด้วย ที่ผ่านมาเราได้ดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีแล้วหรือยัง?
เมื่อท่านผู้อ่านรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร ผมก็หวังว่าท่านผู้อ่านจะมีความกลัวน้อยลงและสามารถประคองชีวิตตัวเองให้ผ่านพ้นสถานการณ์นี้ไปได้ ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีจิตใจที่เข้มแข็ง มีชีวิตอยู่อย่างแข็งแรงและมีสุขภาพที่ดีนะครับ แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ สวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (9) ว่าด้วยการฝึกฝน “กระบวนท่า” 形 (คาตะ) และการดำรงกายใจให้มั่นในโลกที่บูดๆ เบี้ยวๆ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (8) “ล้มให้เป็น” ว่าด้วยความหมายที่แท้ของคำว่า “สุเตมิ” 捨て身
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (7) ประชุมวิทยายุทธแมว
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (6) การบำบัดใจด้วย “กายคตาสติปัฏฐาน” ผ่านการฝึก BJJ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (5) แมวสามตัว กับการจัดการกับ Ego ของตัวเองในการเรียน BJJ
ขอบคุณรูปภาพ: http://www.worldbudokan.org/
#เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (10)