บางทีเราก็เลือกมองเพียงจุดๆ หนึ่ง บางครั้งเราเลือกมองในสิ่งที่เราอยากจะมอง แต่ไม่ใช่ในสิ่งที่เราอยากจะรู้สึก ดังนั้นก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป ลองกลับมาคิดดูว่า เราฉายไฟส่องชีวิตของเราไปถูกที่ถูกทางแล้วหรือยัง
เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนผมได้มีโอกาสชมภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่องหนึ่งที่มีชื่อว่า “The Light Shines Only There” ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลหนังญี่ปุ่นซึ่งจัดขึ้นที่สยามพารากอน
หลังจากที่ดูจบผมก็พบว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีภาพแสดงที่ถ่ายทอดออกมาอย่างจับใจ และแน่นอนผมคิดว่าคนอื่นๆน่าจะมีโอกาสได้รับชม หรืออย่างน้อยได้สัมผัสเรื่องราวนี้ เพราะลึกๆ แล้วเรื่องราวมันสอดคล้องกับสิ่งที่เราได้พบได้เจอในแต่ละวัน ในสังคมที่เราใส่ใจกับทุกสิ่งทุกอย่างยกเว้นจิตใจที่แท้ของตนเอง ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผมต้องหันกลับมาทบทวนตนเองอีกครั้งว่าเราได้ให้ คุณค่ากับเรื่องบางเรื่องอย่างที่มันควรจะเป็นหรือเปล่า

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นด้วยภาพของ “ทัตสึโอะ” หนุ่มท่าทางสกปรกที่เอาแต่หมกตัวฝนห้องอย่างสิ้นสภาพและดูไร้อนาคต ชีวิตของเขาในแค่ละวันวนเวียนอยู่แค่ห้องพักและร้านปาจิงโกะ และในสถานที่นั้นเองที่ทำให้เขาได้พบกับ “ทากุจิ” ชายหนุ่มท่าทางเฮฮาคนหนึ่งที่มาเป็นมิตรกันเพราะการขอยืมไฟจุดบุหรี่ ทากุจินั้นดูเป็นคนอยากมีเพื่อนด้วยเหตุผลบางอย่าง และทางทัตสึโอะเองก็ดูเหมือนจะปฏิเสธความสัมพันธ์กับคนรอบข้างด้วยเหตุผลบาง อย่างเช่นเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดทัตสึโอะก็เลือกเดินตามคำชวนของทากุจิไปที่บ้านของเขา และเป็นจุดเริ่มต้นของการเปิดรับความสัมพันธ์เข้ามาสู่ชีวิตอีกครั้ง

บ้านของทากุจิไม่ใช่บ้านที่สวยงามและน่าอยู่ กลับกันบ้านของเขาคือบ้านที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า… ทากุจิเองเคยติดคุกมาก่อน ส่วนพ่อเองก็ป่วยหนักด้วยโรคที่ไม่น่าดูสักเท่าไหร่ และที่สำคัญ… พี่สาวของทากุจิที่ชื่อว่า “ชินัตสึ” ได้กลายมาเป็นหญิงสาวที่เข้ามาเปลี่ยนความคิดบางอย่างของทัตสึโอะ และมันกลายเป็นดั่ง “ตัวกลาง” และยังเป็น “จุดร่วม” ทางความรู้สึกที้ชัดเจนจนทำให้โลกทั้งใบของทั้งสามหมุนไปในทิศทาง เดียวกัน… อาจจะไม่รวดเร็วอะไรนัก แต่อย่างน้อยก็ทำให้ทั้งสามรู้ว่าจุดหมายที่ตัวเองต้องการนั้นคืออะไร
ทากุจิถูกจับเพราะก่อเหตุทะเลาะวิวาท และตำรวจแจ้งว่าเขาต้องหางานทำเท่านั้นจึงจะได้สิทธิ์ปล่อยตัวออกมา และเพราะการหางานให้กับคนมีคดีร้ายแรงติดตัวในญี่ปุ่นเป็นเรื่องยาก พี่สาวอย่างชินัตสึ จึงต้องต่อสู้เพื่อน้องด้วยการใช้ร่างกายสานสัมพันธ์กับหัวหน้าผู้ที่สามารถ ให้โอกาสและอิสรภาพกับน้องของเธอได้ มันอาจฟังดูขื่นขม แต่มันก็คงไม่มีทางเลิอกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว
ทัตสึโอะเองได้เจอกับชินัตสึครั้งแรกนอกบ้าน ก็คือสถานที่ค้าประเวณี ตอนนั้นเองที่ทัตสึโอะหลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่รุ้ตัว… บางทีมันอาจดูหยาบคาย บางทีมันอาจดูไร้มารบาททันทีที่เห็น แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม้รู้ว่าทัตสึโอะหัวเราะทำไม? บางทีมันอาจเป็นเพราะเขาโล่งใจที่ได้เจอผู้คนอันเจ็บปวดและต้องเก็บงำเรื่อง ร้าวร้ายๆ แบบเดียวกับตนหรือเปล่า?
ในที่สุดเรื่องก็ดำเนินให้เราเห็นว่า “ทัตสึโอะ” กลายเป็นคนเก็บตัวเพราะเขาโทษตัวเองว่าเป็นคนทำให้เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งตาย ขณะปฏิบัติหน้าที่ ราวกับว่าเขาต้องลงโทษตัวเองเพื่อชดเชยความผิดนั้น ทั้งๆ ที่ทุกคนรู้ว่ามันเป็นอุบัติเหตุ ทุกคนไม่โกรธ ไม่มีใครคิดร้ายกับเขานอกจากเขาคิดกับตนเอง ทัตสึโอะเองลึกๆ ก็เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร แต่ความกลัวนั่นล่ะที่เกาะกินหัวใจเขาจนไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องลุกขึ้นมา สู้ต่อ
แต่แล้วจุดเปลี่ยนสำคัญก็เกิดขึ้น ทัตสึโอะค่อยๆ มีความสัมพันธ์กับชินัตสึ และจุดนี้เองที่ทำให้เขากลับมาทบทวนสิ่งที่สำคัญของชีวิต และที่สำคัญที่สุดเขาหันมาทบทวนสิ่งที่ตัวเขามีและสิ่งที่เขาสามารถทำได้ เพื่อช่วยผู้อื่น เขาตัดสินใจว่าจะไม่ให้ชินัตสึที่เขารักไปทำงานบริการอีก และเขาจะกลับไปสู้กับความกลัวของตนเองที่งานเดิมของเขา ตลอดจนการตั้งใจพาทากุจิไปด้วย เป็นเหมือนการเริ่มต้นใหม่ของทั้งสาม แต่มันก็ไม่ง่าย มันกลายเป็นการต่อสู้กับสารบบแห่งอำนาจที่สุดท้าย เราต้องแรกมาด้วยการเสียสละของ “ทากุจิ” เมื่อเขาใช้ตัวเองตัดเรื่องราวทั้งหมดและส่งให้ชินัตสึกับทัตสึโอะ ก้าวเดินไปบนทางที่น่าจะดีที่สุดของพวกเขา
ไม่มีใครพูดว่าทากุจิทำถูก แต่การเอาตัวเองเข้าแลกครั้งนี้ แม้จะเจ็บปวด แต่เขาก็พร่ำบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขา “แค่อยากให้คนรัก”….

The Light Shines Only There เป็นภาพยนตร์ดราม่าที่กำกับโดย Mipo O ผู้กำกับชั้นนำที่ทำผลงานชิ้นนี้โด่งดังจนได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวับออ สการ์ในฐานะตัวแทนของญี่ปุ่น สุดท้ายแล้วผมมองว่าแท้จริงเราสามารถฉายแสงไฟออกไปได้ทุกที่ เราเลือกได้ว่าจะมองหรือให้เรื่องใดมีความสำคัญ…
The Light Shines Only There สะท้อนออกมาว่าบางทีเราก็เลือกมองเพียงจุดๆ หนึ่ง บางครั้งเราเลือกมองในสิ่งที่เราอยากจะมอง แต่ไม่ใช่ในสิ่งที่เราอยากจะรู้สึก ดังนั้นก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป ลองกลับมาคิดดูว่า เราฉายไฟส่องชีวิตของเราไปถูกที่ถูกทางแล้วหรือยัง
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าหรือทางทวิตเตอร์ @pumiiiiiiiiii ครับ