เมื่อไปถึง Kusatsu Onsen พวกเราก็มาเพลิดเพลินกับการเดินลั้ลลาชมสวนสาธารณะ Sainokawara Park กันก่อน ที่ถึงมาจะเย็นย่ำไปหน่อย (และลมหนาวโชยมาได้บาดผิวมากก็ตาม) พอได้เห็นลำธารน้ำแร่ร้อนๆ ไหลเอื่อยๆ อยู่ตรงหน้า ชนิดจับต้องได้แบบนี้ ก็รู้สึกตื่นเต้น
มาต่อกันในวันที่ 2 ของการเดินทางจ้า…
ในตอนเช้าเราไปเที่ยวกันที่โรงไหมมรดกโลกของญี่ปุ่น Tomioka Silk Mill กันเนอะ เป็นช่วงเช้าที่ได้ความรู้มากมายเลยทีเดียว ขนาดว่าบ้านเราปลูกหม่อนเลี้ยงไหมกันมานาน เราก็คิดว่าคงไม่น่าตื่นเต้นอะไร แต่ที่ไหนได้ น่าทึ่งมาก
เราทึ่งกับการที่คนญี่ปุ่นเขาพัฒนาการเลี้ยงไหมแบบบ้านๆ แล้วสร้างเป็นโรงงานสาวเส้นไหมที่ใหญ่โต ทันสมัยมากในยุคอดีต และถ้ายังคงเปิดกิจการอยู่ ก็น่าจะยังทันสมัยอยู่ดี แถมการเดินเที่ยวชมก็ไม่ชวนเวียนหัว มีคุณไกด์พาเดินชมพร้อมคำอธิบายโดยละเอียดอีกต่างหาก น่าเสียดายที่มีไกด์ที่พูดภาษาอังกฤษได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หากจะจองตัวไกด์ท่านนี้ก็คงลำบากกันหน่อย แต่เอาน่ะ ก็ยังมีเครื่องให้ข้อมูลที่แสนจะสะดวก และราคาไม่แพงให้เราเช่า หรือถ้าจะลองใช้แอพลิเคชั่นอันทันสมัย ที่แค่เพียงใช้ Smart Phone สแกน QR Code ที่ทางเข้าด้านหน้าโรงงานไหม Tomioka เราก็สามารถเข้าถึงข้อมูลของที่นี่ได้อย่างง่ายได้เลยทีเดียว
หลังจากได้รู้จักกับโรงงานไหม Tomioka กันพอสมควร เราก็ออกมาเดินเล่น ช้อปปิ้งที่ถนนหน้าโรงงานสักเล็กน้อย ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับไหมมีหลายอย่างเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสบู่ผสมไหม นุ่ม ละมุนมือ ขนมขึ้นชื่อที่มีมาแต่เก่าก่อนในย่านนี้ในสมัยที่โรงงานไหมยังคงเปิดกิจการอยู่ และของฝาก ของที่ระลึกอีกมากมาย
สำหรับผู้ที่สนใจจะไปเยี่ยมชมมรดกโลก Tomioka Silk Mill แห่งนี้ด้วยตัวเอง การเดินทางที่ดูจะสะดวกที่สุดก็คือใช้บริการของ JR จะซื้อบัตร JR EAST PASS หรือ JR Kanto Area Pass เพื่อเดินทางมาที่สถานี Takasaki ก็ได้ จากนั้นก็ต่อสายเอกชน (จ่ายเพิ่ม 790 เยน) Joshin Dentetsu Line มาถึงสถานี Joshu Tomioka ประมาณ 35 นาทีก็ถึงค่ะ รู้สึกว่าจะมีตั๋วแบบพิเศษไป-กลับ ราคา 1,640 เยนด้วย รวมค่าเข้า Tomioka Silk Mill ให้อีกต่างหาก ใครได้ภาษาญี่ปุ่นก็ลองติดต่อที่คนขายตั๋วดูนะคะ เมื่อเพื่อนๆ มาถึงสถานี Joshu Tomioka ก็เดินชิลๆ จากสถานี ชมร้านรวงมาเรื่อยๆ แค่ 10 นาทีเท่านั้นค่ะก็ถึง Tomioka Silk Mill แล้ว ^^
เพิ่มเติมการเดินทาง : JR EAST PASS / JR Kanto Area Pass / Tomioka Silk Mill
เอาล่ะเดินเล่นกันมาสักพัก ท้องเริ่มร้องซะแล้ว ใกล้เวลาอาหารเที่ยงแล้วสินะ
ขอบอกว่ามื้อกลางวันที่เราจะไปกินกันนี้ น่าสนใจมาก ไม่เพียงแต่เฉพาะตัวอาหารกลางวันเท่านั้นหรอกนะ สถานที่ต่างหากที่เจ๋ง จนอยากจะกลับไปอีกสักครั้งเลยทีเดียว (แวะมากินข้าวเฉยๆ คงไม่พอสำหรับที่นี่แน่ๆ)
มื้อกลางวันนี้เรานั่งรถตู้ที่เช่ามา ไปยัง Yakushi Onsen กันค่าาาาา (ชื่อเต็มๆ คือ Kayabukinosato Yakushionsen Hatago เอาเป็นว่าขอเรียกสั้นๆ ว่า Yakushi Onsen ละกันน๊าาาา อิ อิ)
“แม่เจ้า!! ออนเซนกลางป่า กลางเขา ชื่อแซ่ไม่เคยได้ยิน จะแวะไปทำม๊ายยยย เดี๋ยวตอนเย็นก็จะต้องไปนอนเมืองออนเซนอันโด่งดังของกุนมะกันอยู่แล้วนี่นา (Kusatsu Onsen)” นี่คือสิ่งที่คิดตอนแรก แต่เมื่อไปถึงทางเข้า Yakushi Onsen เท่านั้นแหล่ะ เนื้อเพลง “อยู่ต่อเลยได้มั้ย” แว่บเข้ามาเลยทีเดียว 555
บรรยากาศดีมากค่าาาา ขอบอก! เป็นรีสอร์ทแบบญี่ปุ่น (เรียวกัง) กลางหุบเขาที่รู้สึกว่า “เนี่ย ของจริง!” สุดๆ อ่ะ สถาปัตยกรรมแบบเก่าๆ แต่ด้านในกลับแฝงความทันสมัย (มีลิฟต์กระจกที่สามารถมองเห็นธรรมชาติรายล้อมซะด้วย เจ๋งป่ะล่ะ) ห้องพักก็ดูดีมีความเป็นญี่ปุ่น บางห้องมีห้องอาบน้ำแร่ส่วนตัว กับวิวน้ำตกสวยๆ ลำธารใสๆ แมกไม้งามๆ โอ้ว…ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรให้รู้สึกอิน อย่างที่เราได้สัมผัส จำกัดความได้แค่สั้นๆ แหล่ะว่า “มันเจ๋งมาก… มันคูลมาก…”
การตกแต่งภายใน ไม่ว่าจะเป็นทั้งภายในหรือภายนอกก็มีการนำข้าวของเครื่องใช้สมัยเก่ามาจัดแสดงได้อย่างกลมกลืน ภายในยังมีการจัดแสง เล่นสี ได้ดูอบอุ่น นุ่มนวล ละมุนละไมชะมัด และขอบอกว่าเขามีสิ่งปลูกสร้างมากมายหลายจุดที่ดึงดูดใจได้เป็นอย่างดี อาคารบางหลังจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เราสามารถเปิดเข้าไปชมได้อย่างอิสรเสรี มีแต่ของเก่าแก่ มีคุณค่า (และมีค่า) อยู่มากมาย และแม้แต่ตัวอาคารเองก็ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ดูมีคุณค่าไม่แพ้กับข้าวของที่อยู่ภายในเลยทีเดียว …จินตนาการฟินเว่อร์ไปหน่อยหรือเปล่าไม่รู้ แต่มันดูขลัง และชวนให้รู้สึกอิน ที่สำคัญเราสามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายๆ ไม่เหมือนสถานที่อื่นๆ อีกหลายๆ แห่งในญี่ปุ่น
เอาล่ะ! จุดประสงค์ของการมาที่นี้ในครั้งนี้ก็คือเพื่อแวะมารับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่ถูกต้องทีเดียว อาหารอร่อย มีสไตล์ รู้สึกสนุกกับทุกจานที่นำมาเสิร์ฟ พนักงานบริการน่ารัก เอาใจใส่ เป็นมื้อประทับใจมากๆ
สำหรับ Kayabukinosato Yakushionsen Hatago ยังอยู่ในเขตวันหวัดกุนมะ ซึ่งแม้จะตั้งอยู่กลางหุบเขา ราวกับเมืองลับแล แต่ว่าเดินทางไม่ยากอย่างที่คิด เราสามารถนั่งรถไฟจากโตเกียวมาได้เลย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเพื่อนๆ ใช้บริการ JR ก็ นั่งรถไฟชิงกันเซนสาย Joetsu Shinkansen มาก็มาลงที่สถานี Takasaki แล้วต่อรถไฟ Kusatsu Express มาลงที่สถานี Nakanojyo เพื่อนๆ ที่จองที่พักไว้ ก็จองรถ Free Shuttle จากสถานีเพื่อต่อไปยัง Yakushi Onsen ไว้ก่อนนะ เขามีบริการจากสถานีไปยังที่พัก วันละ 2 รอบ (เวลา 14.05 น. และ 16.40 น.) ถ้าเป็นขากลับก็ 2 รอบเหมือนกัน (เวลา 10.20 น. และ 12.50 น.)
เพิ่มเติมการเดินทาง : JR EAST PASS / JR Kanto Area Pass / Kayabukinosato Yakushionsen Hatago
และแม้หลายๆ สิ่งจะดึงดูดใจเราเอาไว้ แต่เราก็จำเป็นต้องลาจาก Keep Walking จ้า… เราเร่งรีบขึ้นรถตู้เพื่อเดินทางต่อไปยัง Kusatsu Onsen เมืองออนเซนที่มีชื่อเสียงมากของจังหวัดกุนมะ หนึ่งในออนเซนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในญี่ปุ่น
เมื่อไปถึง Kusatsu Onsen พวกเราก็มาเพลิดเพลินกับการเดินลั้ลลาชมสวนสาธารณะ Sainokawara Park กันก่อน ที่ถึงมาจะเย็นย่ำไปหน่อย (และลมหนาวโชยมาได้บาดผิวมากก็ตาม) พอได้เห็นลำธารน้ำแร่ร้อนๆ ไหลเอื่อยๆ อยู่ตรงหน้า ชนิดจับต้องได้แบบนี้ ก็รู้สึกตื่นเต้น บางจุดก็มีการสร้างเป็นที่ออนเซนเท้า แล้วยังมีออนเซนสาธารณะอยู่ด้านบนด้วย เสียดายที่กำลังปรับปรุงกันอยู่
จากนั้นเราก็เดินไปยังยุบาตะเกะและโรงอาบน้ำโกสะโนะยุ ซึ่งเรียกว่าเป็นศูนย์รวมของเมืองออนเซนแห่งนี้เลยก็ว่าได้ ผู้คนที่มาเยือนเมืองนี้ จะต้องมาที่บริเวณนี้กันทั้งนั้น รอบๆ ยุบาตะเกะมีการจัดแสดงแสงไฟสร้างบรรยากาศเพิ่มเติมให้กับไอน้ำร้อนคละคลุ้งที่กระจายไปทั่วบริเวณนี้ ดูดีทีเดียว ผู้คนก็มากมาย สร้างความคึกคักให้กับยุบาตะเกะได้ดีทีเดียว
ระหว่างทางเดินจาก Shinokawara Park มายัง Yubatake มีร้านรวงที่จำหน่ายของฝาก ของที่ระลึก รวมไปถึงสินค้าพื้นเมืองของจังหวัดกุนมะมากมาย นักท่องเที่ยวอย่างเราๆ สามารถเดินเล่นเข้าร้านนู้น ออกร้านนี้ได้อย่างเพลิดเพลินลืมเวลากันเลยแหล่ะ บอกให้!
และที่ติดใจความน่ารักจนอยากควักสตางค์หาของฝากให้กับสาวกคนรักแมวทั้งหลายก็เป็นร้านนี้เลย ทั้งร้านมีแต่แมว น่ารักอ่ะ (หมดไปไม่น้อยคร่าาาาาา หุ หุ) ><
รอบๆ ยุบาตาเกะ มีทั้งศาลเจ้า โรงปรับอุณหภูมิน้ำแร่ (ให้เหมาะกับการแช่ออนเซนไง) มีร้านของฝาก ของที่ระลึก มีจุดให้แช่ออนเซนเท้า และโรงแรมใกล้เคียงบริเวณยุบาตาเกะยังบริการออนเซนเท้า ในยามที่ต้องการหลบลมหนาวด้านนอก มาแช่เท้าตามโรงแรมเหล่านี้ ก็สบายดีนะ แนะนำเลยล่ะ
ค่ำนี้เราพักกันที่ Kusatsu Onsen Boun Hotel เป็นโรงแรมที่กว้างขวาง และสวยงามมากทีเดียวจ้า ที่นี่มีศิลปินท้องถิ่นมาจัดอิเคบานะ (การจัดดอกไม้สไตล์ญี่ปุ่น) ไว้ที่โถงทางเดินเสมอด้วย
พวกเราถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกกันเพลินเลยหล่ะ อ้อ! แม้ในห้องพักของเราจะมีชุดยูกาตะให้บริการ สามารถใส่เดินไปไหนมาไหนในโรงแรมได้อย่างชิลๆ อยู่แล้ว แต่เขาก็มียูกาตะสวยๆ ให้เช่าด้วยนะ งามมาก.. มีหรือที่พวกเราจะพลาด โดยเฉพาะพวกสาวๆ ดี๊ด๊าค่าาาา อิ อิ
สำหรับ เพื่อนๆ ที่จะมายัง Kusatsu Onsen มาได้ทั้งทางรถบัสและทางรถไฟสะดวกมากๆ ถ้านั่งรถบัส (Express Bus) จากชินจูกุมาก็ประมาณ 250 นาที เที่ยวละ 3,290 เยน แต่ถ้าใครใช้บริการรถไฟจะนั่ง JR Limited Express จากสถานี Ueno แล้วต่อบัสจะสถานี Naganohara Kusatsu-guchi มาก็ได้ แต่ถ้าชอบเร็วๆ ก็นั่ง Shinkansen มาต่อรถบัสที่สถานี Karuizawa เพื่อมายัง Kusatsu Onsen เลยก็ได้ แค่ประมาณ 140 นาทีก็ถึง ยิ่งถ้ามีพวกพาสของ JR ก็ไม่ต้องจ่ายเพิ่มมาก จ่ายแค่ค่ารถบัสเท่านั้นจ้า
เพิ่มเติมการเดินทาง : JR EAST PASS / JR Kanto Area Pass / Kusatsu Onsen
มื้อค่ำก็ฟินเว่อร์ จัดเต็มกันไปเลยจ้า กินกันในโรงแรมนี่แหล่ะ สวยงามรสชาติล้ำเลิศ เป็นทั้งอาหารตา และอาหารปากที่ทำให้หลับฝันดีเลยทีเดียวล่ะ
แต่ถ้าใครอยากหลับฝันดีสุดๆ ต้องไม่ลืมใช้บริการห้องอาบน้ำแร่รวมของที่โรงแรมแห่งนี้ก่อนนอนนะจ้ะ 🙂
คำเตือน: น้ำแร่ที่ Kusatsu Onsen นั้นมีแร่ธาตุธรรมชาติเพียบ!! แถมยังร้อนมากๆ อีกด้วย สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นชินกับการแช่ออนเซน ไม่แนะนำให้แช่นานๆ ในครั้งแรก เพราะท่านอาจจะเป็นลมคาอ่างได้จ้า^^
(จังหวัดกุนมะ – จังหวัดนีงาตะ – จังหวัดไซตามะ) สามารถติดตามได้ที่
WENDY TOUR (สัมผัสซากุระและเทศกาลหิมะในคราวเดียว!)
J-PLAN HOLIDAY
JTB Thailand
JAPANiCAN
JR EAST PASS (ภาษาอังกฤษ)
JR Kanto Area Pass (ภาษาไทย)
JR Kanto Area Pass (ภาษาอังกฤษ)
สนับสนุนการเดินทางโดย :
ขอบคุณข้อมูล :
-http://www.tomioka-silk.jp/hp/en/index.html
-http://www.yakushi-hatago.co.jp/en/
-http://kusatsuonsen-international.jp/en
-http://www.japan-guide.com/e/e7404.html
-http://www21.cx/yamagataya
-http://www.kusatsu-souan.co.jp
-http://www.hotelboun.com/english