8 ธันวาคม 1963 Rikidozan ตำนานนักมวยปล้ำญี่ปุ่น ถูกยากูซ่า ฆาตกรรมในบาร์แห่งหนึ่งในอากาซะกะด้วยการใช้มีดแทงเข้าไปที่หน้าท้อง ส่งผลให้ริกิโดซังเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันให้หลัง ในขณะที่มีอายุได้เพียง 39 ปี
“8 ธันวาคม 1963 ริกิโดซัง ตำนานนักมวยปล้ำญี่ปุ่น ถูกยากูซ่า สืบทราบภายหลังชื่อ ‘คัตซึจิ มุราตะ’ ฆาตกรรมในบาร์แห่งหนึ่งในอากาซะกะด้วยการใช้มีดแทงเข้าไปที่หน้าท้อง ส่งผลให้ริกิโดซังเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันให้หลัง ด้วยอาการเยื่อบุช่องท้องอักเสบ ในขณะที่มีอายุได้เพียง 39 ปี”…
ในโอกาสที่ 30 กรกฏาคม ถือเป็นวันแห่งวงการมวยปล้ำญี่ปุ่น ดังนั้นคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการย้อนไปพูดถึง ‘ผู้ให้กำเนิดมวยปล้ำญี่ปุ่น’ อย่างชายที่ชื่อ ‘ริกิโดซัง’ ล่ะครับ ชายคนนี้มีเรื่องราวชีวิตที่น่าสนใจมาก เพราะจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนเกาหลีเหนือ นามว่า ‘คิม ซิน รัค’ ที่อพยพมาอยู่ญี่ปุ่นและได้รับการอุปการะจากชาวไร่ตระกูล ‘โมโมตะ’ ในจังหวัดนางาซากิ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งที่นี่เอง เขาได้ฝึดฝนเป็นนักกีฬาซูโม่ ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของเหคุการณ์ทั้งหมด
ว่ากันว่าเขาเป็นนักซูโม่ที่มีฝีมือคนหนึ่งเลยทีเดียว และมีศักยภาพเพียบพร้อมทุกอย่างที่จะสามารถกลายเป็นยอดนักซูโม่ได้ อย่างไรก็ตาม เขาเองก็ไปได้ไม่ไกลอย่างที่คิด ทั้งเรื่องของการฝึกที่เขาคืดว่าถูกเลือกปฏิบัติ กับโอกาสต่างๆที่เขาได้รับ ซึ่งเขามองว่าไม่มากพอและไม่เป็นธรรม ทั้งนี้เขากล่าวว่าเขาไม่น่าจะเติบโตในวงการซูโม่ได้มากกว่านี้ เพราะ ‘คนญี่ปุ่นคงจะไม่ผลักดันเชื้อสายเกาหลีอย่างเขาให้เชิดหน้าชูตาในสังคมเป็นแน่’
เหตุนี้ในช่วงประมาณปี 1950 เขาจึงตัดสินใจยอมแพ้กับการเป็นนักซูโม่และเดินทางไปพักผ่อนพร้อมทั้งพยายามค้นหาเป้าหมายใหม่ให้กับชีวิตที่บอบช้ำ ซึ่งที่นี่เอง เขาได้พบกับ ‘ฮาโรลด์ ซากาตะ’ …. นักยกน้ำหนักอเมริกันเชื้อสายญี่ปุ่น ที่มีดีกรีเป็นถึงเหรียญเงินยกน้ำหนักในโอลิมปิกปี 1948 และเป็นนักมวยปล้ำระดับแชมป์ (แทคทีมของแคนาดา) นอกจากนี้เขายังเคยเล่นภาพยนตร์ 007 James Bond ในบทตัวร้ายนาม Oddjob ในภาค Goldfinger อีกด้วย
เขาผู้นี้เองที่แนะนำให้ริกิโดซังเปลี่ยนแนวจากซูโม่มาเป็น sport entertainment อย่างมวยปล้ำอาชีพ ซึ่งเขามองว่ามวยปล้ำอาชีพแบบมีบทแบบนี้แหละที่จะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างที่ญี่ปุ่นไม่เคยมีมาก่อน
ริกิโดซังเริ่มฝึกมวยปล้ำทันทีและนำมันกลับมาสู่ประเทศญี่ปุ่น โดยว่ากันว่าเขาเองก็ได้รับการหนุนหลังจากกลุ่มยากูซ่าในการช่วยจัดโชว์หรือประชาสัมพันธ์ต่างๆเช่นกัน และแนวทางการตลาดที่ริกิโดซังใช้ก็คือการดีลกับคนอเมริกาในการ ‘แลกเปลี่ยนบทบาท’ คือการเอานักมวยปล้ำระดับสูงของอเมริกามารับบทตัวร้ายสุดขั้ว และให้ริกิโดซังปราบ และทางริกิโดซังเองก็จะไปรับบทตัวร้ายสุดขั้วและแพ้ให้ทางอเมริกาบ้างเมื่อเขาเดินทางไปในแดนของศัตรู เป็นต้น เรียกว่าเป็น win-win situation ครับ
และแน่นอนว่าความโด่งดังของริกิโดซัง ย่อมอยู่ในสายตาของเหล่ามาเฟีย ซึ่งท้าวความให้ทราบก่อนว่านักกีฬาดังๆในญี่ปุ่นนั้น หลายๆคนต้องมีพลังมืดบางอย่างหนุนหลังเพื่อให้ได้รับโอกาส หรือให้การจัดงานต่างๆราบรื่น และหนึ่งในคนที่โด่งดังที่สุดในวงการต่อสู้ของญี่ปุ่น ณ ขณะนั้นนอกจากริกิโดซังในส่วนของมวยปล้ำอาชีพ ก็ไม่มีใครเด่นไปกว่า ‘มาซาฮิโกะ คิมูระ’ นักยูโดระดับเทพเจ้าและได้ชื่อว่าเก่งที่สุดเท่าที่ญี่ปุ่นเคยมีมา ซึ่งแน่นอนว่าคนที่ดังขนาดนี้ย่อมมาพร้อมกับเรื่องมืด ๆ เทา ๆ บางอย่าง เช่นการพนัน หรือพวกยากูซ่าที่คอยดูแลผลประโยชน์
ตอนนั้นทั้งสองคนได้ทำข้อตกลงร่วมกันในการจัดอีเวนท์มวยปล้ำครั้งสำคัญที่สุดคือการนำยอดนักมวยปล้ำ มาปะทะกับยอดนักยูโดที่โด่งดังที่สุด โดยบทที่วางเอาไว้คือ ทั้งสองจะสู้กันอย่างเต็มที่จนจบลงด้วยผลเสมอ และนำไปสู่การรีแมตช์อีกหลาย ๆ ครั้ง ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ ไม่มีใครเสียหายอะไร และเป็นการประชาสัมพันธ์มวยปล้ำอาชีพให้ผู้คนรู้จักมากขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพราะเมื่อการปล้ำเริ่มต้นไปไม่นานนัก ริกิโดซังเกิดไม่ทำตามบทที่วางไว้ กล่าวคือจากบทที่กำหนดให้ใช้ฝ่ามือฟาดไปที่หน้าอก แต่ริกิโดซังกลับเอาไปฟาดตรงซอกคอแทนจนคิมูระสมองกระทบกระเทือนและหมดสภาพโดยทันที จนสุดท้ายคิมูระแพ้น็อคไปอย่างง่ายดาย และทำให้ริกิโดซังสถาปนาตนเองเป็นยอดนักสู้ของประเทศ และเครดิตของคิมูระในฐานะยอดนักยูโดก็ร่วงกระจาย ว่ากันว่าเรื่องนี้ทำให้แก๊งยากูซ่าที่ดูแลผลประโยชน์ของคิมุระเสียหายและโกรธมาก จนนำไปสู่การฆาตกรรมริกิโดซังในที่สุด
จากรายงานของตำรวจ พบว่ามีดที่แทงริกิโดซัง เป็นมีดชุบปัสสาวะ เนื่องจากมีส่วนผสมของยูรีนอยู่มาก และในส่วนของคิมูระเอง ก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่เขาก็ปฏิเสธเรื่องนี้และกล่าวว่าเขาเองก็เสียใจและโมโหคนก่อเหตุมากเหลือเกิน ซึ่งในขณะที่ฝ่ายของผู้แทง (คัตซึจิ มุราตะ) ก็ต้องรับโทษ 7 ปีในคุก และดูเหมือนว่าเขาไม่มีทางเลือกอะไรมากนัก ต้องปฏิบัติเหตุตามใบสั่ง และถึงแม้เขาจะไม่ได้ซัดทอดอะไร แต่ความรู้สึกผิดของเขาก็ชัดเจนมาก จากบทสัมภาษณ์ที่กล่าวว่า …’ทุก ๆ วันที่ 15 ธันวาคมของทุกปี (วันเสียชีวิตของริกิโดซัง) เขาจะต่อสายตรงไปยังครอบครัวของริกิโดซังเพื่อขอโทษอย่างจริงใจ ตลอดจนเดินทางไปเคารพหลุมศพของริกิโดซังด้วยตนเอง’ ซึ่งเขาทำแบบนี้จนตนเองเสียชีวิตโดยหวังจะลบแผลและบาปในใจตนเอง
เรื่องราวของริกิโดซังและการฆาตกรรมครั้งนี้ถูกเล่ามาในหลายๆมุม บ้างก็กล่าวว่าริกิโดซังหลังจากโดนแทงไม่ได้มีอาการใดใดเลย แถมยังเล่นงานคนแทงจนน่วมและจับเหวี่ยงออกไปนอกร้านก่อนจะกลับมานั่งปาร์ตี้ต่อด้วยซ้ำ ในขณะที่บางแห่งก็บอกว่าเขาไปโรงพยาบาลทันที หรือบ้างก็หาทฤษฎีมากมายมาอธิบายทำไมคิมูระถึงมีส่วน/ไม่มีส่วน กับการฆาตกรรมครั้งนี้ แต่อย่างไรก็ตาม เราปฏิเสธไม่ได้ว่าการฆาตกรรมครั้งนี้ถือเป็นเรื่องทีอื้อฉาวและไม่ชัดเจนที่สุดเรื่องหนึ่งในวงการมวยปล้ำญี่ปุ่น และเป็นเครื่องการันตีชั้นดีที่ตอกย้ำถึงการมีอยู่ของเหล่ามาเฟีย ที่พร้อมจะเข่นฆ่าทุกคนเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง
ผู้ที่สนใจเรื่องราวของริกิโดซัง สามารถหาหนังสือที่พูดจากมุมของคิมูระ ยอดนักยูโดได้ทาง kinokuniya ซึ่งผมเห็นแว๊บๆที่สาขา emquatier โดยหน้าปกจะเป็นเหมือนภาพนี้เลย หรือจะไปหาภาพยนตร์เกาหลี ชื่อ Rikidozan มารับชม ก็จะได้รับทราบข้อมูลในอีกมุมมองหนึ่งเช่นกันครับ
พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ!
เรื่องแนะนำ :
– วงการหนังสือญี่ปุ่นเป็นอย่างไร
– อาชีพนักมวยปล้ำที่ญี่ปุ่นสามารถเลี้ยงตนเองได้หรือไม่?
– Ichigaya Memorial Clinic สังเวียนมวยปล้ำที่เล็กที่สุดในโลก
– “กรรมการมวยปล้ำ” ผู้ปิดทองหลังพระที่แท้จริง
– ความน่ารักของอามาโนะ อากิ และสิ่งที่เรียนรู้ได้จากอามะจัง