ตอนไปโอซาก้า ก็ช้อปพัง ไปฟุกุโอกะ ก็พัง แต่เซนไดเนี่ย พูดจริงๆ กะมานั่งสวยๆ ชิมอาหารชิลๆ แต่ไหงมาแล้วแล้วได้ของ!
อะไรคือผู้หญิงสองคนไปเซนไดเพื่อดูประวัติศาสตร์…
..แต่กลับหอบหิ้วสรรพสิ่งที่เรียกว่าเสื้อผ้า รองเท้า เสื้อโค้ทคนละ 2 ตัว และกระเป๋ากลับมา><! นี่แค่น้ำจิ้ม ไม่น่าเลย น่าจะเอากระเป๋าล้อลากมา
คือมันไม่แปลกนะ อย่างตอนไปโอซาก้า ก็ช้อปพัง ไปฟุกุโอกะ ก็พัง แต่เซนไดเนี่ย พูดจริงๆ กะมานั่งสวยๆ ชิมอาหารชิล แต่ไหงมาแล้วแล้วได้ของ!
แรกเลยเราเริ่มเดินทางอย่างประหยัดด้วยการเดินทางแบบขาไปบัสที่ขึ้นได้จากสถานีโตเกียวที่ลานจอดรถ Kajibashi และสถานีอิเคะบุคิโระด้วยราคา 2,700 เยน เป็นไนท์บัส มันถูกมาก ใช้เวลาเดินทางตั้งแต่เที่ยงคืนครึ่ง ถึงหกโมงเช้า เราเลือกที่จะขึ้นจากข้างๆ สถานีโตเกียวโดยรถนี้จะมีโซนสำหรับผู้หญิง แต่เนื่องจากราคาที่ถูกเราเลยได้ที่นั่งท้ายสุด แต่ขากลับเราเลือกกลับชินกันเซ็นนะ เรียกว่าแพงไปเลยรอบเดียว เพราะเราไม่มีสิทธิใช้ตัวเจอาร์เรียลพาส เหมือนเพื่อนๆ ที่อยู่ไทยไง
ดูรายละเอียดบัสของ Willerexpress ได้ที่นี่เลยค่ะ http://willerexpress.com/en/
บนรถมีสรรพสิ่งบริการจนไม่อยากจะเชื่อว่าราคาจะถูกได้ขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่เสียบชาร์ตมือถือได้ แปรงสีฟัน รองเท้าแตะ ผ้าห่ม และหมอนบนเบาะ เผื่อใครจะคิดว่าเบาะแข็งไปไรงี้ คือเอิ่มอยากถามว่า คุณได้กำไรจากอะไร!?!? 555
เราจะนอนที่เซนไดเพียง 1 คืน ก็เลยคิดว่าจะเก็บประวัติศาสตร์ไว้ตั้งแต่เดินทางมาถึงแล้วหลังจากนั้นจะเป็นรายการช้อปปิ้งเรื่อยเปื่อยซึ่งแต่แรกคิดว่าเซนไดคือต่างจังหวัดคล้ายๆ กับทาคายาม่าอะไรแบบนี้พอไปถึงฟ้ายังมืดมากๆ เราเองก็รู้สึกเคว้งคว้าง อ้างว้างโดดเดี่ยวแบบสุดๆ เลยตัดสินใจไปโรงแรมก่อนเลย จะได้แปรงฟัน เอาของไปเก็บแล้วค่อยออกไปเที่ยวกันครั้งนี้เราเลือกนอนที่นี่เดินจากสถานีฝั่งโยโดบาชิคาเมร่ามาประมาณ 5 นาทีแล้วจะเจอโรงแรมที่นี่เค้าบริการดีมากๆ ดูแล้วรู้สึกมั๊ยคะว่าคือไม่ค่อยเหมือนต่างจังหวัดเลย รอบๆ สถานีคือแบบคึกคักมากๆ ตอนนี้ยังเช้า ดูยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่

เรานอนที่นี่ค่ะ ANA Holiday Inn SENDAI เดินทางสะดวก สบาย สะอาด สวย ห้องพักกว้าง บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าอร่อย บริการเยี่ยม เดี๋ยวเย็นๆ เช็คอินแล้วค่อยไปดูห้องกัน คือพนักงานน่ารักมาก อาจจะเพราะเรามาแต่เช้าเค้าบอกที่เที่ยวเราหมดเลย แล้วก็จุดขึ้นรถบัสด้วย
ใครสนใจ คลิ๊กเลยค่ะ แนะนำอย่างแรงๆ >> http://goo.gl/YVwH28 โรงแรมในเครือนี้ก็งี้แหล่ะค่ะ มาตรฐานดี เราแจ้งเจ้าหน้าที่ไว้ว่า สักสามสี่โมงจะมาเช็คอิน ซึ่งจริงๆ แล้วเค้าบอกเราสามารถเข้าได้ตั้งแต่ก่อนบ่ายสองแต่ไม่เอาอ่ะ อยากเที่ยวก่อน


จากนั้นเราก็เดินไปซื้อพาสเพื่อขึ้นบัสไปเที่ยวยังปราสาทเซนได เอ้าท์เล็ต และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ถ้าทันนะคะก็อาจจะไปดู แต่ถ้าไม่ทัน เห็นทีว่าแค่ปราสาทเซนไดก็น่าจะทำให้เราฟินได้แล้วแหล่ะเนอะ ราคาตั๋ว 660 เยน ไปได้ทุกที่ๆ ว่ามาเลยบัสที่นั่นจะเยอะมากนะคะ การซื้อบัตรเราสามารถซื้อได้ที่บริเวณบัสเทอร์มินัล ด้านหน้าสะพานลอยใต้สะถานีแล้วเดินไปขึ้นที่ชานชะลาที่ 2 ซึ่งอยู่ติดกับจุดที่ซื้อบัตร รถ roof bus เขียวๆ นี่เป็นรถที่วิ่งรอบเมืองนะคะ ซึ่งรถนี่ก็ไปยังปราสาทได้เหมือนกัน
เราจะไปกันที่ปราสาทก่อนจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 20 นาที แต่บอกไว้ก่อนเลยถ้าไปเช้าๆ จะพบกับนักศึกษาจำนวนมหาศาลมาขึ้นบัสเดียวกับเราเพื่อไปเรียน เพราะฉะนั้น หากเลี่ยงไปนั่งเล่นรอห้างเปิดสวยๆ ในคาเฟ่ น่าจะดีกว่า แต่ถ้าใครพร้อมลุย ก็ตามเรามาได้ค่ะ
เราลงป้ายที่ประกาศของรถเค้าบอกว่า “เซ็นไดโจ” ลงมาแบบเคว้งคว้างมาก เราขึ้นรถธรรมดาไม่ได้ขึ้น roof bus ถ้าขึ้นรถเขียวๆ จะจอดที่ฐานปราสาทเลย แฮ่ะๆ เรามาจอดด้านจุดชมวิว เลยงงๆ แต่ได้เจอกับคุณลุงใจดีคนนึง ตอนเจอหน้ากัน ลุงคุยกับแมวอยู่ แล้วแมวก็เดินตามลุงแต่พอแมวเห็นเรามันหนี ลุงเลยหันมาดูว่าแมวหนีอะไร แล้วลุงเห็นหน้าเราเหวอๆ ที่ไม่เจอใครเลย ก็เลยถามเราว่า “ไดโจวบุเดสก๊ะ” แปลแบบไม่ตรงความหมายแป๊ะๆ แต่ความหมายคือ “มีอะไรให้ช่วยมั๊ย” จากนั้นก็คุยกันลุงบอกว่าเพราะเราน่าจะเป็นคนแรกที่มาเที่ยวที่นี่ คือมันเช้าเกินไปเลยไม่เจอกับใครเลย 55
เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าปราสาทน่ะ ได้มีการถูกทำลายไปแล้ว เหลือเพียงแต่ภาพวาด กับฐานของปราสาท แล้วคุณลุงก็เลยเล่าทุกสิ่งอย่างให้ฟังก่อนจะเล่าถามว่าเธอจะฟังญี่ปุ่นที่ฉันอธิบายออกมั๊ย เพิ่งเคยมากันเรอะ ปราสาทน่ะ มันไม่เหลืออะไรแล้ว เหลือแค่อนุสาวรีย์ของท่านดาเตะ และศาสเจ้า ตัวฐานปราสาท และเดินเรื่อยเปื่อยไปจะเจอกับพิพิธภัณฑ์ และอาคารที่คล้ายๆ กับปราสาทตรงทางเข้าเมืองซึ่งคนมักจะเข้าใจว่าตรงนั้นคือปราสาท และจากด้านบนตรงอนุสาวรีย์เนี่ย เราสามารถจะมองเห็นวิวสวยๆ ที่เคยเกิดสึนามิ ไกลๆ ลิบๆ ได้ด้วย ถ้าเธอจะกลับนะ เดินลงไปก็มีจุดจอดรถหลายจุดอยู่ แต่เธอจะไม่เดินไปดูพิพิธภัณฑ์หน่อยเหรอ เดินไปสิบนาทีก็เจอแล้ว ลุงน่ารักมากๆ แล้ววิวที่นี่ก็สวยมากๆ เช่นกัน

ไม่รู้เหมือนเกันว่าเค้าเขียนชื่อ และอายุนี่หมายความว่าอะไรน้อ อยากถามลุงจัง แต่ว่าลุงหายตัวไปแล้ว!เลยกลับมาสอบถามเพื่อนคนญี่ปุ่นเค้าบอกว่าน้ำเต้านี่ เค้ามีเอาไว้เป่าสิ่งไม่ดีในร่างกายเข้าไปที่น้ำเต้า เสร็จแล้วก็เขียนชื่อแล้วก็อายุ แล้วทางศาลเจ้าจะเอาไปทำพิธีปัดความไม่ดีออกไปจากร่างกายคนที่ทำไว้ แต่อย่างอันนี้เค้าไม่ได้เขียนว่า 1 น้ำเต้าทำได้กี่คนซึ่งจากอันนี้เค้าเขียนชื่อสองคน คือถ้าทำสองคนจะต้องเป่าทั้งสองคนรึเปล่า แล้วถ้าเป่าสองคน เอิ่ม! ของคนที่เป่าคนแรกที่ไม่ดีที่เป่าไว้ แล้วคนที่สองจะติดมั๊ย 55 อันนี้รอบหน้าถ้าไปจะต้องไปหาคำตอบให้ได้ เอาเป็นว่ารอบนี้ เพื่อนๆ จะไปก็อาศัยของใครของมันไปก่อนนะคะ






แล้วใกล้ๆ กันก็มีจุดจอดจักรยานเช่าด้วย แต่เหมือนต้องใช้บัตรเตะ ซึ่งเราไม่มีบัตรสมาชิกนั้น ไว้รอบหน้าจะศึกษามา
เราตัดสินใจไม่ผิดเลยที่เดินต่อมา เพราะเราได้เจอที่นี่ “otemon gate’s waki yagura watchtower” เพราะที่นี่น่าจะเป็นจุดเดียวที่ยังคงหลงเหลือบรรยากาศของยุคนั้นให้เราได้เห็น
มีเรื่องที่เราโก๊ะมาก มาก ถึงมากที่สุด คือเราอ่านป้ายไม่ดีเอง แล้วเพิ่งจะมารู้จากตอนเขียนรีวิวเนี่ยแหล่ะ ว่าป้ายมีรายละเอียดเขียนไว้เล็กๆ แต่เราไม่ได้อ่านแต่ไปรู้ตัวอีกทีตอนเราไปถึงที่แล้ว 5555 ที่นี่เลยค่ะสถานี International Center (国際センター駅)
คือว่ามีป้ายบอกเราว่ามีสถานีรถไฟให้เดินไปอีกประมาณ 1.1 กม. ซึ่งเรื่องเดินกับเรามันเป็นอะไรที่สบายอยู่แล้ว และเราก็อยากลองกลับด้วยวิธีอื่นๆ ด้วย อยากลองหลายๆ อย่างเพราะเงินที่เราซื้อบัตรรถบัสน่ะ เราคิดว่า ตอนเจอป้ายนั้นอยู่ใกล้ๆ กับพิพิธภัณฑ์ เราก็เลยตามป้ายจนถึง 680 เมตร และ 400 เมตร ที่สำคัญ เราได้ถ่ายรูปไว้ทุกๆ ขั้นตอน (มัวห่วงถ่ายรูป แล้วอาจจะง่วงด้วย) จนเดินไปถึงที่เลยเพิ่งจะเห็นป้ายใหญ่ว่าเค้าจะเปิดใช้ 平成27 12月 หมายถึงจะเปิดใช้ในเดือนธันวาคม ปีเฮเซ ที่ 27 (2015) ซึ่งเมื่อไปถึงหน้าสถานีเรางงมาก มีอาคาร มีทุกอย่างแล้ว และมีคุณพี่ทำงานก่อสร้างอยู่ประมาณ 10 คน นั่งฉาบปูนตกแต่งพื้นหน้าสถานีอยู่ เราเลยเดินไปส่องป้ายใกล้ๆ แล้วบอกกันเป็นภาษาไทยว่า ตาย! สถานียังไม่เปิด จึงมีคุณพี่คนนึงเดินมาถามเราว่า “ไดโจบุเดสก๊ะ” 555 เอาอีกแล้ว มีคนมาถามอีกแล้ว นี่ทำให้เรารู้ว่าคนที่นี่หัวใจหล่อมากนะ พูดเลย!ถ้าเราอยู่เมืองใหญ่ คงไม่ได้เจอแบบนี้แน่ๆ และแล้วพี่เค้าก็ชี้ว่ารถมาพอดีกำลังติดอยู่ที่แยกไฟแดงถ้าจะกลับสถานีเซนได ให้รีบวิ่งไปขึ้นโดยด่วน แล้วเราก็กลับไปถึงสถานีเซนไดด้วยรถบัสคันนั้นจุดหมายต่อไปคือ แท่น แท้นนนน
เรากะว่าจะไปเอ้าท์เลตแล้วหล่ะเรากลับไปที่สถานีเซนไดแล้วเปลี่ยนสายขึ้นซึ่งบัตรฟรี 1 วันก็ยังร่วมอยู่ในโปรฯ เพียงแต่จะเป็นสายอื่น ซึ่งใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงเอ้าท์เล็ต ขอเตือนนะ ถ้าเค้าประกาศว่าถึงเอาท์เล็ตอย่าลืมกดกริ่ง เพราะถ้าไม่กด เค้าไม่จอด จะเลยไป 1 ป้ายเหมือนเราสองคน 555 สร้างเรื่องโก๊ะ ได้ตลอดเส้นทาง เข้าไปถึงตัวห้าง Tapio ซึ่งมีร้านกิวตัน (ลิ้นวัว) ของขึ้นชื่อที่สุดของเซนได ซึ่งเราเองก็อยากลองชิม แต่คิวค่อนข้างที่จะยาว
แบบว่าใครๆ ก็กินแต่ลิ้นวัว คือหิว ไม่ขอเข้าคิว เลยไปกินฟาสฟู๊ตเอา จัดนี่เลย สเต็กไก่ สเต็กเนื้อ ไม่เลวเลย ถูกแล้วก็อร่อยด้วยที่ร้าน KEN จำไว้อะไรที่ไม่ขึ้นชื่อมักจะไม่ค่อยมีใครเข้าคิว จะถูกและอร่อย 555


คือไม่ได้สนกระเป๋าโค้ช เพียงแค่คิดว่าอยากจะไปถ่ายรูปเก็บไว้ทำรีวิว แต่เมื่อเข้าไปแล้ว คือลดเยอะไปนะ สุดท้ายอดไม่ได้จริงๆ พังค่ะ จัดกันไปคนละใบ 5555

หลังจากนั้นก็เข้าร้านเรื่อยเปื่อยไปซื้อสเวตเตอร์มาใส่ราคาตัวละไม่ถึงสองพันเยน เลยจัดไปสามตัว คือพอแล้วค่ะ ไม่ไหวแล้วซื้อเยอะไปอะไรไป T-T เราควรกลับข้ามถนนจากเอ้าท์เลตไปขึ้นบัสกลับสถานีเซนไดเป็นรถที่อยู่ในโปรฯตั๋ว ขึ้นฟรีค่ะ!
หลังจากพังแล้วที่เอ้าท์เลตเรารู้สึกว่าเริ่มหนัก เลยบอกว่าเราควรกลับไปพักก่อนนะ แล้วค่อยออกมาช้อปปิ้งที่บุ๊คออฟใหม่ จุดนี้คืออยากพักนิดหน่อยทั้งที่ก่อนถึงสถานีเค้ามีที่ให้เดิน ดูไฮโซมาก แต่จุดนั้นคือไม่ไหวแล้ว สถานีเซนไดกว้างมาก ถ้าเราต้องย้อนกลับไปคิดว่าก็ไม่ไหวคือถ้าค้างสัก 2 คืนน่าจะเดินได้ทั่ว

และหลังจากพักแล้วเราก็ออกไปตึกบุ๊คออฟ ซุปเปอร์บาซาร์ ซึ่งวันนี้เราคงจบที่ตึกนี้ก่อน เพราะคาดว่าคงนาน ตึกบุ๊กออฟจะอยู่ตรงฝั่ง West ที่ตรงข้ามห้าง PARCO ด้านล่างจะเป็น H&M อยู่ที่ชั้น 7 นะคะ

มารู้ตัวอีกทีนี่เรายังไม่ได้กินข้าวเย็นกันเลย 555 พังมากๆ แค่ลองเล่นๆ ได้ของเต็มเลย แล้วเราไม่รู้จะกินอะไรเลยวันนี้ขอกินง่ายๆ และอิ่มถูกตังค์หมดแล้วจุดนี้ ลิ้นวัว เอิ่ม คงไม่ได้กินแน่เลยทริปนี้!

มาดูกันต่อหลังจากที่เราจบไปหนึ่งวันอันนี้ยังพังน้อยค่ะ แค่เสื้อโค้ทคนละ 2 ตัว เสื้อสเวตเตอร์คนละ 3 กระเป๋าเงินคนละ 1 ใบ กระเป๋าถือ 1 ใบ และมีซื้อเครื่องสำอางเล็กน้อย เพราะอีกวันนึงพังกว่า เราไปเดินโชเต็งกัย ถนนคนเดินใกล้ๆ สถานี และในห้าง จนกระทั่งขนมของฝากที่อร่อย ขึ้นชื่อ เรียกว่ารอบหน้าใครไปตามเราสัมภาระจะเพิ่มขึ้นมากๆ คือบอกได้เลยว่าหนัก ไม่นึกเลยเซนได เมืองที่เหมือนจะไม่มีที่ช้อป แต่กลับเพียบ และคนยังใจดี ขนมอร่อยด้วย ใครที่ยังตัดสินใจไม่ได้ ยิ่งถ้าคนมีพาสนะไปเหอะ
สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ
ทักทายพูดคุยกับ Nat Nana ได้ที่>>> Facebook ไม่ใช่กรูรู แต่กรูรู้ ของถูกในโตเกียว
เรื่องแนะนำ :
– ไม่ใช่กรูรูคิวชู ตอน ทริปเดียวเที่ยวได้ 2 ประเทศ ฟุกุโอกะ – ปูซาน ภาคจบ
– ไอศกรีมควบคุมแคลลอรี่ กับไอศกรีมธรรมดา เป็นคุณจะเลือกจัดอันไหน?!
– เซ็ตบำรุงที่ทำให้เครื่องสำอางแพงๆ ต้องหลบ!
– รวมของน่ารักฟรุ้งฟริ้ง ของใช้เพียง 300 เยน ที่สถานีโตเกียว
– ฟูจิคิว ที่นี่ไม่ได้มีแค่สวนสนุก