ชวนอ่าน “คิริน” เมื่อบางครั้งอัจฉริยะก็ไม่ใช่คำตอบของชีวิต
เคยได้ยินคำว่า ‘สุพันธุศาสตร์’ กันไหมคะ
“สุพันธุศาสตร์คือ สาขาหนึ่งของพันธุศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทางสังคมที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพทางพันธุกรรมของมนุษย์ และเพื่อเอาชนะความบกพร่องทางพันธุกรรม”
ซึ่งเรื่องราวของ ‘คิริน’ เล่มนี้ก็เกี่ยวข้องกับสุพันธุศาสตร์นี่ล่ะค่ะ
‘คิริน’ เป็นผลงานการเขียน ของยามาดะ ยูซุเกะ ที่บอกเล่าเรื่องราวของมินางาวะ อัตสึโกะ ที่อยากมีลูกเป็นอัจฉริยะ เพื่อแก้แค้นสังคมที่ดูถูกตนเอง วันหนึ่งเธอได้ไปเข้าร่วมการประมูล ซูเปอร์สเปิร์ม และให้กำเนิดลูกชายชื่อว่า ฮิเดโทชิ แม้ฮิเดโทชิจะฉายแววอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก แต่หน้าตาค่อนข้างจะธรรมดา อัตสึโกะจึงอยากมีลูกอีกคน โดยหวังว่าคราวนี้จะให้กำเนิด เพอร์เฟ็กต์เบบี้
ซึ่งไม่นานเธอก็ให้ลูกชายอีกคนจากสเปิร์มที่ไปประมูลมา นามว่า คิริน ในตอนแรกสิ่งต่างๆก็เป็นไปตามที่อัตสึโกะหวังไว้ ทั้งความเป็นอัจฉริยะและหน้าตาที่ดูดีของคิริน แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดปานที่เหมือนลายยีราฟขึ้นกลางหลังของคิริน และการพัฒนาก็หยุดชะงักตั้งแต่ตอนนั้น ทำให้ผู้เป็นแม่หมดความคาดหวังและไม่สนใจไยดี คิรินถูกครอบครัวทอดทิ้ง เผชิญชีวิตที่ยากลำบากแต่ก็ยังหวังว่าสักวันจะได้กลับมาอยู่ร่วมกับครอบครัวอีกครั้ง
เมื่ออ่านจบ เราได้พบว่าหนังสือเล่มนี้ สะท้อนอะไรหลายๆ อย่าง
ประการแรกคือ เทคโนโลยีที่จะช่วยให้มีบุตรนั้นพัฒนาไปไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด สำหรับเทคโนโลยีการผสมเทียม ซึ่งเห็นได้จากการที่ปัจจุบันมีคลินิกเฉพาะทางที่ช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาสำหรับผู้มีบุตรยาก หรือแม้แต่การการอุ้มบุญ รวมไปถึงสภาพสังคมปัจจุบันที่ผู้หญิงจำนวนไม่น้อย ไม่ต้องการแต่งงาน แต่อยากมีลูก และพึ่งพาเทคโนโลยีหรือวิธีการดังกล่าวมาช่วย
“แทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นช่วงเดือนกุมภาพันธุ์ คนนับร้อยที่มารวมตัวกัน ณ สถานที่จัดงานล้วนเป็นภรรยาที่สามีมีปัญหาทางระบบสืบพันธุ์ หรือไม่ก็อยากมีลูกโดยไม่ต้องการสามี”
ประการที่สอง ความคาดหวังของพ่อแม่ให้ลูกเป็นอัจฉริยะ
“ในท้องฉันมีเด็กที่เป็นอัจฉริยะทางด้านคณิตศาสตร์ ไอคิว 180 อีกไม่กี่ปีพวกแกจะต้องโดนเอาคืนแน่ๆ”
“หนูเป็นเด็กอัจฉริยะ ช่วยใช้สมองอันชาญฉลาดนี้คลายความขมขื่นที่สะสมมานานให้แม่ทีนะจ๊ะ”
ในฐานะที่เราเองที่เป็นทั้งลูก ผ่านวัยศึกษาเล่าเรียนมาจนอยู่ในวัยที่โตพอจะมีลูกแล้ว เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ก็พบว่า ความคาดหวังจากพ่อแม่ นั้นช่างเป็นสิ่งที่สร้างบาดแผลให้กับลูกได้มากทีเดียว ความคาดหวังที่จะให้ลูกเรียนเก่งๆ เป็นอัจฉริยะ เพื่อที่พ่อแม่จะได้เชิดหน้าชูตา อวดชาวบ้านได้นั้น สร้างความอึดอัดและกดดันให้กับเด็กๆเป็นอย่างมาก สังคมปัจจุบันก็ไม่ต่างกันกับเรื่องราวที่เกิดในหนังสือเล่มนี้ เราจะเห็นว่ามีข่าวเด็กๆต้องเรียนพิเศษหลังเลิกเรียนและในวันหยุด ไม่ได้ไปเที่ยวหรือทำกิจกรรมด้านอื่นนอกจากวิชาการ เพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆดังๆ และมีการงานการเงินที่ดีในอนาคต ซึ่งคำถามที่ตามมาคือ มันต้องเป็นแบบนั้นจริงๆหรือ? แล้วถ้าลูกไม่เป็นอัจฉริยะดังใจหวัง คนเป็นพ่อแม่จะหมดรักลูกเลยเชียวหรือ?
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคิริน คือตัวอย่างของความคาดหวังของแม่ และการทอดทิ้งเด็กเมื่อไม่สมหวัง เอาจริงๆตอนอ่านคือโมโหในตรรกะความคิดของผู้เป็นแม่อย่างอัตสึโกะมาก ว่าทำไมช่างใจร้ายใจดำได้ขนาดนี้ และถึงแม้จะเข้าใจที่มาที่ไปของความคาดหวัง แต่ก็คิดว่าตัวละครเห็นแก่ตัวเกินไป โทษทุกสิ่งนอกจากโทษตัวเอง ซึ่งสิ่งที่ตัวละครอย่างอัตสึโกะ รวมไปถึงแม่ๆ คนอื่นในหนังสือเล่มนี้ทำ น่าจะทำให้ พ่อแม่ในชีวิตจริง ได้ตระหนักถึงปัญหาและปรับมุมมองความคิดได้
ประการที่สาม ความรักอันบริสุทธิ์ของคิรินที่มีต่อแม่
สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนของหนังสือเล่มนี้คือ ความรักของคิรินที่มีต่อแม่และพี่ชาย ถึงแม่จะถูกแม่ทำร้าย ทอดทิ้งแค่ไหน คิรินก็ไม่เคยโกรธ แต่กลับคิดว่าตัวเองนั่นแหละที่เป็นคนผิด และคาดหวังให้แม่กับพี่ชายให้อภัยเสมอ
“ทำไมฉันทำแต่เรื่องที่ทำให้แม่เกลียดนะ”
“ฉันเป็นลูกที่ใช้ไม่ได้เลย”
“แม่ไม่ผิดหรอกครับ จริงๆ แล้วแม่ใจดีมาก ผมเป็นเด็กไม่ดี ใช้ไม่ได้ต่างหาก”
“แม่ครับ พี่ครับ…จากนี้ไปผมจะพยายามเรียนวาดรูปแล้วจะได้เป็นอัจฉริยะทางด้านการวาดรูป แล้วถ้าสะสมตราประทับได้ยี่สิบช่อง แม่ครับ พี่ครับ ทั้งคู่ช่วยกลับมาใจดีเหมือนเมื่อก่อนด้วยนะครับ”
ประการที่สี่ ในความโหดร้าย ย่อมมีความหวังเสมอ
เหมือนอย่างในนิยายหลายๆ เรื่องที่เราได้อ่าน เมื่อพายุผ่านพ้นไป ความสดใสก็จะมาเยือน ไม่ต่างจากหนังสือเล่มนี้ ที่เมื่อความโหดร้ายกับคิริน ค่อยๆเบาบางลง ความโชคดีและอิสรภาพก็เริ่มมาเยือนคิรินและเด็กๆที่เป็นผลงานที่ผิดพลาดทั้งหลาย ซึ่งช่วยให้เกิดความหวังต่อทั้งตัวละครในเรื่องเองและคนอ่านที่คาดหวังให้สิ่งต่างๆดีขึ้น
“ยีราฟ ต่อไปนี้พวกเราจะมีแต่เรื่องดีๆ เพราะที่ผ่านมาเจอเรื่องเลวร้ายมามากพอแล้ว”
หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่อ่านสนุก ดำเนินเรื่องฉับไวไม่ยืดเยื้อ แถมยังให้ข้อคิดในหลายเรื่องๆ จึงอยากแนะนำให้เพื่อนๆ ลองหามาอ่านดูค่ะ
เรื่องแนะนำ :
– เพิ่มพื้นที่สีเขียวที่บ้านให้สดชื่น กับร้านต้นไม้ 5 แห่งในกรุงโตเกียว
– ดื่มด่ำกับมื้ออาหารแสนพิเศษภายในโคมไฟ ที่ Hoshinoya Tokyo
– ภาพประกอบอาหารของ 3 ศิลปินญี่ปุ่น ที่เห็นเมื่อไหร่ก็น้ำลายไหล
– Milkbrew Coffee ร้านกาแฟมินิมอล สำหรับผู้ชื่นชอบกาแฟใส่นม
– สำรวจอาณาจักรแห่งกระดาษทำมือที่ร้าน Paper Nao
#ชวนอ่าน “คิริน” เมื่อบางครั้งอัจฉริยะก็ไม่ใช่คำตอบของชีวิต