โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง by Lordofwar Nick
ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (1) กว่าจะถึงโอซาก้า
สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพ SURPRISE! นี่แหละครับเซอร์ไพรส์ที่ว่า (ตรงไหน?) หลังจากที่พยายามหลอกท่านผู้อ่านว่า เอ้ย ซีรี่ส์ชีวิตนักเรียนญี่ปุ่น “โอซาก้าเมืองเก่าที่ข้าพเจ้าคิดถึง” น่ะ มันจบแล้ว จริงๆ มันก็จบแล้วนั่นแหละครับ (เรียนจบแล้วด้วย) แต่ว่ามันก็มีเหตุที่ทำให้มีโอกาสได้กลับไปย้อนรอยเมืองโอซาก้าอีกครับ แถมคราวนี้ยังหนีบเมียไปด้วยสิเอ้า!
เรื่องมันมีอยู่ว่า ตอนที่ผมทำงานอยู่ที่ระยองนั้น มีอดีตนักเรียนไทยในญี่ปุ่นท่านหนึ่งเขาตามหาผมจนเจอ ติดต่อมาทางอีเมล์จนได้ บอกว่าป้าเซ็ตสึโกะคิดถึงผมว่าเป็นอย่างไรบ้าง สบายดีไหม ก็ฝากส่งข่าวมาว่าป้าแกยังสบายดี แต่ลุงน่ะเสียไปแล้วสี่ปีให้หลังจากที่ผมเรียนจบกลับมา ก็ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไรดีมันตื้นตันในอก เลยคิดอยู่ว่า ถ้ามีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมแกให้ได้สักครั้ง
หลังจากนั้นไม่กี่ปี เมียผมก็ท้อง พอมีลูก ผมก็เริ่มคิดจะหาทางขึ้นมาอยู่กับเมียกับลูก เพราะคิดว่าจะมาใช้ชีวิตแบบว่าผัวอยู่ทางเมียอยู่ทางแบบนี้คงไม่ไหวละ ก็จัดการขายบ้านช่องย้ายขึ้นมาอยู่เชียงใหม่กับเมียกับลูกถาวร ลาออกจากความเป็นคนกรุงเทพฯ เรียบร้อย พอดีช่วงที่เพิ่งขึ้นมาใหม่ๆ ก็ว่างครับ ว่างงาน เงินพอมี เวลาก็มีแล้ว ก็เลยคิดว่าได้เวลาที่จะทำสิ่งที่ยังค้างอยู่ในใจให้เป็นจริงละ กอปรกับตอนนั้นการไปญี่ปุ่นถือว่าง่ายกว่าตอนที่ผมไปเรียนมากๆ ละเพราะคนไทยไปญี่ปุ่นได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าล่วงหน้า ถือพาสปอร์ต ซื้อตั๋วเครื่องบินแล้ว ก็ไปได้เลย ราคาตั๋วเครื่องบินก็ถูกลงกว่าแต่ก่อน โรงแรมก็พอหาได้แบบราคาต่อคืนพอสู้ได้ จองได้ง่ายๆ ทางเนตโดยไม่ต้องจ่ายเงินล่วงหน้า ก็เลยจัดการซื้อตั๋วไว้ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมปี 2014 พอกลางเดือนพฤษภาคมก็ได้ฤกษ์พาเมียไปย้อนรอยอดีตชีวิตนักเรียนของผมละ (ฮา)
การไปครั้งนี้ซับซ้อนนิดหน่อย เนื่องจากไม่มีเที่ยวบินตรงจากเชียงใหม่ไปโอซาก้า เราจึงต้องบินจากเชียงใหม่ไปลงฮ่องกงแล้วต่อเครื่องจากฮ่องกงไปโอซาก้า ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นไปตามกำหนด เราจะไปถึงโอซาก้าตอนเช้าตรู่ แต่ก็นะ สัปดาห์เดียวก่อนการเดินทาง ทางเอเจนซี่โทรมาว่ามีเหตุขัดข้อง เที่ยวบินกลางดึกจากฮ่องกงไปโอซาก้าถูกยกเลิก ผมกับเมียโดนปัดให้ไปนั่งเครื่องเที่ยวถัดไปซึ่งจะออกจากฮ่องกงวันรุ่งขึ้นสิบโมง กว่าจะถึงโอซาก้าก็บ่ายสาม…
…คุณพระช่วย เวลาในประเทศญี่ปุ่นผมหดไปหนึ่งวันเลยนะนั่น!
ผมเลยโทรไปบลาๆ กับทางสายการบิน จนเขายอมออกบัตรกำนัลพักที่โรงแรม Regal Airport Hotel ให้หนึ่งคืน เอาน่าอย่างน้อยก็ไม่ต้องไปนอนแบบอนาถาตรงเก้าอี้สนามบิน (ซึ่งถ้าต้องเจอเรื่องแบบนี้คงเป็นอะไรที่ขื่นขมมาก) เอาเป็นว่าคิดบวก ว่าจะได้กินอาหารฮ่องกงในสนามบินแล้วกัน (ฮา)
พอถึงวันเดินทาง ราวสี่โมงเย็นผมกับเมียก็หอบกระเป๋าพากันนั่งรถไปที่สนามบินเชียงใหม่ บอกตรงๆ เกิดมาเพิ่งเคยมาที่เทอมินัลระหว่างประเทศที่สนามบินเชียงใหม่เป็นครั้งแรก ซึ่งก็เล็กๆ สบายๆ ผ่านด่าน ตม. ขาออก แล้วก็มานั่งรอที่เกท ได้เวลาก็ขึ้นเครื่องของ Dragon Air (ตอนก่อนจะขึ้นเครื่อง ทาง Manager on duty ของสายการบินได้เข้ามาให้ voucher โรงแรมกับทางผม ต้องขอชมเลยครับว่าบริการดีมาก)
อาหารเย็นวันนี้อร่อยดี เป็นเส้นพาสต้ากับเนื้อผัดคล้ายๆ บีฟสโตรกานอฟ เครื่องดื่มได้แก่น้ำส้ม น้ำแอปเปิ้ล ไวน์แดง และน้ำเปล่า ซึ่งสำหรับผมแล้วน้ำแอปเปิ้ลอร่อยที่สุดละ นั่งคุยกันไปแล้วเครื่องก็ลงที่สนามบินฮ่องกงราวสี่ทุ่มกว่าๆ ตามเวลาท้องถิ่น
พอลงสนามบินปุ๊บ ผมนี่ตื่นเต้นมากครับ เกิดมาไม่เคยมาฮ่องกงมาก่อน (เคยไปแค่เซินเจิ้น) เลยชวนเมียให้โพสท่าถ่ายรูปคู่กับป้ายตารางเที่ยวบิน ป้ายชี้ทางต่างๆ ให้เห็นภาษาจีนว่า มาถึงฮ่องกงแล้วนะ ก่อนที่จะโดนเจ้าหน้าที่ ตม. เอ็ดใส่เอาด้วยภาษาจีนกลางว่า แถวนี้ห้าม 拍照 “ผายจ้าว” (ถ่ายรูป) นะ แถมตอนเข้าด่าน ตม.. ลืมกรอกใบเข้าเมืองอีก โดนไล่ให้ไปกรอกอีก โอ้ ว่าแต่ ตม. รอบดึกของฮ่องกงนี่หน้างอคอหักมากเลยนะครับ (ฮา) สงสัยทำงานดึกไปหน่อย
พอผ่านด่าน ตม. ออกมาได้ ผมกับเมียก็เดินเลิกลั่กหาทางไปโรงแรม โชคดีเจอเคาน์เตอร์ของโรงแรมละ ซึ่งมีพนักงานหนุ่มฮ่องกงรูปหล่อ สูงยาวเข่าดี พูดภาษาอังกฤษน้ำไหลไฟสว่าง บอกทางให้แก่เรา เราก็เลยได้ลากกระเป๋าผ่านร้านอาหารต่างๆ ที่น่ากินทั้งอาหารจีนและอาหารฟาสต์ฟู้ดอย่างแมคโดนัลด์ ร้านกาแฟสตาร์บัค ตอนนั้นดึกแล้วทางเดินแบบเลื่อนได้มันหยุดเลื่อน เลยต้องลากกระเป๋ากันสุดทางไปถึงตัวโรงแรม
พอเข้าโรงแรมแอร์พอร์ตอันโอ่อ่า โอ่งโถง ได้ ก็รีบเข้าไปเช็คอินกับพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ หนุ่มหล่อ มาดเท่ อย่างกับเหลียงเฉาเหว่ย แล้วเราก็ได้พักห้องดับเบิ้ลเตียงคู่ ห้องน้ำมีทั้งห้องกระจกผักบัวและอ่างอาบน้ำ ผมใช้บริการอาบน้ำอุ่นให้สบายหายปวดเมื่อยไหล่และคอทันที น้ำร้อนๆ ราดหลังจนไอน้ำฟุ้งไปทั้งห้องน้ำ แล้วก็แต่งตัวชวนเมียออกไปหาอะไรกินก่อนนอน
เดินย้อนกลับมาทางเดิม ห้าทุ่มกว่าละ ร้านอาหารต่างๆ ปิดร้านกันหมดละ ยกเว้นแมคโดนัลด์ที่เปิดบริการยี่สิบสี่ชั่วโมง โอ นั่น ผู้โดยสารจากไหนมาเข้าคิวร้านแมคยาวเหยียด พอเดินไปๆ พบว่าร้านอาหารปิดหมดแล้วจริงๆ เดินกลับมาเซเว่น ไปสำรวจดูว่ามีอะไรน่ากินบ้างแต่ก็ไม่พบอะไรที่มันแปลกๆ โดนๆ เลยย้อนกลับไปที่แมคฯ ไปเข้าคิวเพื่อจะซื้อชุด German Spicy Chicken ซึ่งก็ตลกดีมีทั้งแผ่นเบอร์เกอร์ไก่ และชิ้นไก่ในขนมปัง เท่านั้นไม่มีผักสักอย่าง กินกับมันฝรั่งทอดแบบหั่นชิ้นโตๆ และโค้กซีโร่ (ยังสงสัยอยู่ว่ามันเป็นเยอรมันตรงไหน?)
พอกินเสร็จแล้วแล้วก็เข้าห้องเตรียมตัวนอน ก่อนนอนก็เปิดทีวีที่เขาติดผนังในห้องดู พบว่าบริการแปลกดีมาก สามารถกดดูยอดค่าใช้จ่ายในโรงแรมได้ มีทั้งช่องหนังธรรมดาและหนังผู้ใหญ่ (ห๊า) ซึ่งผมไม่นึกอยากดูเพราะถ้าอยากจะดูต้องเสียสตางค์อีก เลยกดดูแค่ตารางเที่ยวบินเพื่อตรวจดูเที่ยวบินที่เราจะต้องเดินทางวันพรุ่งนี้อีกครั้งหนึ่งก่อนค่อยนอน
รุ่งเช้า เราตื่นก่อนมอร์นิ่งคอลอีก รีบล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำแต่งตัว เก็บของ ก่อนออกจากห้องผมกดดูยอดค่าใช้จ่ายในโรงแรมอีกครั้ง มันขึ้นตามระบบตามรายชื่อผมและภรรยา ค่าห้องปกติคือ 1,050 เหรียญฮ่องกง ครับ (พระเจ้าช่วยคืนละสี่พันบาท) แต่เนื่องจากเราใช้บัตรกำนัล ตอนเช็กเอาท์เลยไม่ได้ต้องจ่ายอะไรเลย (ฟู่ว) เสร็จแล้วเราก็นั่งถ่ายรูปในโรงแรมเป็นที่ระลึก ว่าถ้าไม่เจอเที่ยวบินแคนเซิล ไม่ได้มานอนโรงแรมนี้หรอกนะจ๊ะ (ฮา)
เสร็จแล้วเราก็ลากกระเป๋าออกจากโรงแรม เจ้าทางเลื่อนก็ยังใช้ไม่ได้อยู่ดี ก็เลยต้องลากกระเป๋ากันยาวอีกละ มื้อเช้าทีแรกเราอยากกินร้าน Maxim 美心 แต่คนแน่นเหลือเกิน เราจึงต้องไปกินอีกร้านคือ Crystal Jade ซึ่งขายบะหมี่และโจ๊ก ผมอยากกินโจ๊กไข่เยี่ยวม้า แต่ดันหมด เลยสั่งโจ๊กผักดองกับกระดูกหมูมาแทน แล้วก็สั่งตันตันเมง 担々麺 ให้เมีย และก็สั่งเสี่ยวหลงเปามาลองกินดู อาหารที่นี่ราคาแพง รสชาติแค่พอใช้ ตันตันเมงดูจะไม่ค่อยถูกปากเมียผมเท่าไหร่ผมเลยให้กินโจ๊กของผมแทน ซึ่งก็พอได้ มื้อเล็กๆ นี่เช็คบิลแล้วร้อยห้าสิบกว่าเหรียญฮ่องกง
150 กว่า เหรียญฮ่องกง แน่ะ
…เอิ่ม คือว่า ผมลองใช้เครื่องแลกเงินอัตโนมัติในสนามบิน พันบาทไทยสอดเข้าไปจะได้ออกมาสองร้อยยี่สิบเจ็ดเหรียญฮ่องกง กินข้าวมื้อเดียวล่ะไปกว่าครึ่งซะละ…
พอเดินออกมาจากร้านเห็นช็อกโกแลต GODIVA เขาขายเป็นชุดแค่พราลีนหกชิ้นกับชอกโกแลตเย็นหนึ่งแก้ว ล่อเข้าไปเจ็ดร้อยกว่าบาท เมียบอกว่ามันก็อร่อย แต่แพงไป กินเสร็จแล้วก็พากันไปเช็คอิน
ที่เคาน์เตอร์เช็คอิน เราก็เช็คอินกับสายการบินคาเธ่ย์แปซิฟิค แล้วก็ไปเข้าด่าน ตม. ขาออก ตม. ยามเช้าช่างอารมณ์ดีเหลือเกิน นั่งตรวจพาสสปอร์ตไปหัวเราะไปเมาท์กับเพื่อนที่นั่งทำงานข้างๆ ไป (สงสัยเพิ่งเข้างาน อารมณ์เลยยังเบิกบานอยู่)
พอผ่านด่าน ตม. ไปแล้ว โอ้ ได้เดินขึ้นๆ ลงๆ แถมต้องนั่งรถกระสวย แล้วเดินยาวไปอีกกว่าจะไปถึงเกท พอไปถึงดูแล้วเวลายังเหลืออีกเยอะผมเลยขอเมียไปเข้าห้องน้ำก่อน ห้องน้ำก็ช่างไกลเหลือเกิน พอเข้าไปผมก็ผงะ เพราะห้องส้วมเต็มทุกห้อง ผมทำใจไม่ได้ที่ต้องเข้าห้องน้ำต่อจากคนอื่นแบบทันใด จำพวกเขาเดินออกมาผมก็เดินเข้าไป แบบว่าแดงศรีรับไม่ได้ เลยเดินกลับไปหาเมียบอกว่า ทำใจไม่ได้ แต่สักพัก ผมก็ต้องทำใจกลับไปใหม่ (เพราะธรรมชาติในกายมันเรียกร้อง ฮา) พอผมเดินออกมาเมียผมก็ขอตัวไปห้องน้ำบ้าง
…พอสักพักเมียผมรีบวิ่งกระหืดกระหอบบอกว่า เครื่องจะออกแล้ว เร็วๆ เดี๋ยวตกเครื่อง…
ผมกับเมียเลยรีบวิ่งไปที่เกท ซึ่งพนักงานเราก็คอยรับพาสปอร์ตและบอร์ดดิ้งพาสอย่างไวแล้วก็รีบเชิญผมกับเมียขึ้นเครื่องอย่างไวเช่นกัน เห้อ
บนเครื่องคาเธ่ย์แปซิฟิค ดูไปแล้วผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนจีน อารมณ์ว่ามาเที่ยวเป็นครอบครัว ส่วนคนญี่ปุ่นดูลักษณะเป็นพนักงานบริษัท คงกลับจากธุระเรื่องงาน อาหารกลางวันบนเครื่องวันนี้เป็นมักกะโรนีอะไรสักอย่างไม่ค่อยอร่อย (ฮา) นั่งดูหนังจอเล็กส่วนตัว ดูเรื่องเลโก้ เดอะ มูฟวี่ จนจบเรื่อง แล้วในที่สุดเครื่องก็มาถึงสนามบินที่ผมเคยมาถึงครั้งแรกเมื่อสิบเอ็ดปีก่อน นั่นก็คือ “สนามบินนานาชาติคันไซ”
ถึงสนามบินคันไซแล้ว บรรยากาศประเทศญี่ปุ่นก็ยังรู้สึกเดิมๆ ไม่ค่อยรู้สึกว่าตัวเอง “มาเที่ยวเมืองนอก” สักเท่าไหร่แต่กลับรู้สึกว่าตัวเอง “กลับมาเยี่ยมบ้านเก่า” (ไม่ใช่ “กลับบ้านเก่า” นะ) ที่จากกันไปนานแล้วมากกว่า โอซาก้าคือที่ที่ผมเคยอาศัยอยู่ เรียนหนังสือ เดินทางท่องเที่ยว กินจนแน่นท้อง ดื่มจนเมาโงกเงกนั่งอยู่บนรถไฟ ได้พบพานอะไรมากมาย ทั้งอาจารย์มหาลัย อาจารย์วิชาดาบ ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรหมด (ซึ่งเอาจริงๆ ที่เขียนซี่รี่ส์นี้มาตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วเนี่ย ก็บรรยายไปเกือบหมดแล้วนะ (ฮา)) ผ่านไปแปดปีนับจากปี 2006 แล้ว สนามบินก็ยังเดิมๆ รถกระสวยที่รับเราจากเกทไปตึกเทอมินัลก็ยังเดิมๆ ห้องโถงด่าน ตม. ก็ยังเดิมๆ อาจจะไม่ได้โอ่อ่าหรือดูมีสีสันคึกคักอย่างสนามบินฮ่องกง แต่ก็เป็นที่ที่ยังรู้สึกคุ้นเคยได้อยู่ครับ
ด่านตม. ของญี่ปุ่นนั้นจัดว่าทันสมัย เขาให้เราสแกนลายนิ้วมือ (นิ้วชี้สองข้าง) ถ่ายรูปหน้าของเรา พอแล้วเสร็จก็มีจอสกรีนโผล่รูปหน้าเราพร้อมกับข้อความ “ภาษาไทย” ว่า “แล้วเสร็จ” อะไรประมาณนี้ แล้วด่านต่อไปก็คือศุลกากร ศุลกากรญี่ปุ่นก็ยังค่อนข้างเข้มงวดเช่นเดิม ต้องขอให้เปิดกระเป๋า และต้องถาม ว่าคุณไม่ได้พกพายาเสพติดใช่ไหม? สุนัขดมกลิ่นกระเป๋าของศุลกากรก็ยังทำงานแข็งขันเช่นเดิมเหมือนกัน
ผมว่าคนญี่ปุ่นบางคนนั้นสนใจ ชอบใจ หรือมีความประทับใจในทางที่ดีกับเมืองไทยหรือคนไทยอย่างไรไม่ทราบ ศุลกากรท่านนี้ก็เช่นกัน พอตรวจกระเป๋าเสร็จ ยกมือไหว้ “สวัสดีครับ” กับเราเฉยเลย (ฮา)
เมื่อผ่านด่านศุลกากรออกมาได้แล้ว สิ่งแรกที่ผมทำก็คือเดินไปซื้อตั๋ว Kansai Thru Pass (ก็คือ するっと関西 น่ะแหละ) ผมซื้อตั๋วแบบสามวัน ใช้สำหรับวันพรุ่งนี้เป็นต้นไปอีกสามวัน ซึ่งก็คุ้มและสะดวกมากๆ 5,200 เยนนั่งรถไฟได้ทั่วทั้งโอซาก้า ไปเกียวโต นารา ก็ยังได้ รถเมล์ในโอซาก้าฟรี เกียวโตฟรีบางพื้นที่ (นาราไม่ฟรีนะครับเพราะไม่ได้ร่วมรายการ) แถมตั๋วลดราคาค่าผ่านประตูตามที่เที่ยวต่างๆ ให้อีก คุ้มจริงๆ
เสร็จแล้วผมก็พาเมียไปหยอดตู้ซื้อตั๋วรถลีมูซีนบัส ในการนี้ผมได้ให้เมียงัดเอาเหรียญร้อยเยนเก่าๆ ที่ผมพกมาตอนที่ออกจากประเทศญี่ปุ่นครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2006 แปดปีแล้วสินะ ผมเก็บไปเป็นเคล็ดเขาว่าถ้าไปเมืองนอกที่ไหนแล้วอยากจะกลับไปอีก ให้เก็บเหรียญของประเทศนั้นๆ เอาไว้ให้มาก ผมเก็บมานี่มีเหรียญร้อยเยนประมาณสิบกว่าเหรียญ ก็หยอดลงตู้ไป สมัยแปดปีก่อนตั๋วรถลีมูซีนบัสจากสนามบินคันไซไปอุเมะดะหน้าโรงแรมนิวฮันคิว ใบละ 1,350 เยน แปดปีผ่านไปราคาเพิ่มขึ้นเป็น 1,550 เยน นั่งรถแบบนี้เหมาะกับนักท่องเที่ยวมากกว่านั่งรถไฟ ตรงที่จะมีลุงพนักงานมาเก็บกระเป๋าเราเข้าใต้ท้องรถ พร้อมกับให้แท็กเอาไว้รับกระเป๋าคืนเมื่อถึงปลายทางแล้ว ใช้เวลาในการเดินทางราวห้าสิบกว่านาที
วันนี้เหมือนฝนเพิ่งหยุดตก ฟ้าหม่นๆ ดูแฉะๆ อย่างไรพิกล รถวิ่งขึ้นทางด่วนเลียบอ่าวโอซาก้า เต็มไปด้วยโรงงานต่างๆ และโกดังสินค้า พวกลอจิสติกส์ต่างๆ เห็นควันขาวๆ จากปล่องโรงงานแล้วก็นะ เฮ่อ
รถพาเราผ่านทางด่วนผ่านเข้าไปในใจกลางเมือง แถบนัมบะเรื่อยไปจนสุดท้ายก็มาลงจากทางด่วนสู่ปลายทางหน้าโรงแรมนิวฮันคิว ได้เวลาที่ผมกับเมียจะต้องลากกระเป๋าฝ่าฝูงชนไปขึ้นรถไฟละ เพราะมาถึงตรงนี้ก็สี่โมงกว่าละ ผมยืนแวะซื้อข้าวปั้นที่เขาปั้นขายกันสดๆ ข้างทาง ไส้กุ้งกับทาร์ทาร์ซอส และไส้เมนไทโกะ (ไข่ปลาดองพริก) เมียผมก็ว่าอร่อยดี
ร้าน “ฮิโตะทสึบุ” ที่อุเมะดะ
จริงๆ ผมพลาดไปอย่างหนึ่งคือที่จริงผมกับเมียจะต้องไปโรงแรมที่เอซากะ ซึ่งถ้านั่งรถไฟใต้ดินสายมิโดะซึจิ มันจะวิ่งไปถึงสถานีเอซากะทีเดียวเลย แต่ผมดันนึกอะไรไม่ออกพาเมียไปขึ้นรถไฟสายฮันคิวเสียนี่ (ฮา) เลยยืนงงตรงป้ายโชว์สายรถไฟอยู่นานกว่าจะนึกได้ว่า ต้องนั่งรถไฟสายฮันคิวจากอุเมะดะไปถึงมินามิคาตะ แล้วไปต่อรถไฟใต้ดินสายมิโดะสึจิโน่น ตู้ขายตั๋วรถไฟก็ยังเก่าๆ เดิมๆ พอถึงมินามิคาตะก็ต้องเดินลงแล้วลากกระเป๋าเดินทางเท้าไปยาวเลยกว่าจะถึงทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน แล้วก็งงกับระบบการขายตั๋วของเครื่องอัตโนมัติอีกที่ต้องใส่เงินเข้าไปก่อน สุดท้ายมาถึงเอซากะจนได้
…แต่ พระเจ้าช่วย โรงแรมที่เราจองไว้นั้น อยู่ไกลจากสถานีรถไฟไปแบบว่าข้ามสี่แยกไฟแดงสองที โชคดีที่ผมเจอคนญี่ปุ่นผ่านทางมาพอให้ถามทางไปโรงแรมให้มั่นใจได้ สุดท้ายก็มาถึงโรงแรมเสียที นั่นคือโรงแรม GR Hotel Esaka ข้างหน้าดูดีมากครับ มีร้านอาหารในโรงแรมด้วย พนักงานหนุ่มที่เคาน์เตอร์ก็รับใบจองของผม รับเรื่องเช็กอิน และก็รับเงินค่าโรงแรมสี่คืนเรียบร้อย ผมกับเมียก็ลากกระเป๋าขึ้นลิฟท์ไปที่ห้อง พอเปิดห้องมา โอ้ชีวิต เมื่อคืนที่ฮ่องกงนอนห้องใหญ่เบ้อเร่อ เตียงคู่สองเตียงนอนกับเมียคนละเตียงยังได้เลย ชั่วโมงนี้ ผมกับเมียต้องนอนในห้องที่แคบๆ แคบมากชนิดที่ทางเข้านี่เดินเข้าไปพร้อมกันสองคนไม่ได้ ห้องน้ำนี่นึกว่าอยู่ในสถานีอวกาศ (ฮา) มีปุ่มต่างๆ ไว้ฉีดน้ำและกดน้ำ อ่างล้างหน้า ฝักบัว แค่เนี้ย แถมเตียงยังกดเลื่อนขึ้นได้ เนื่องจากห้องมันแคบมาก จึงต้องยกเตียงได้เพื่อให้มีที่ว่างสำหรับนั่งโต๊ะเขียนหนังสือ คุณพระคุณเจ้า ประเทศนี้ทำไมห้องแคบขนาดนี้ นึกถึงสมัยอยู่หอพักนักเรียนนานาชาติเลย
ผมเห็นเมียผมเหนื่อยจากการลากกระเป๋าเดินทางไกล และอาจเซ็งกับกำหนดการมาญี่ปุ่นที่ต้องเลื่อนเวลาเพราะเที่ยวบินไม่เป็นใจ แถมด้วยห้องมินิยานอวกาศที่เราจะต้องนอนกันไปอีกสี่คืนแน่ะ ก็เลยปลอบใจเมียด้วยการบอกว่า ที่รักจ๊ะ ในเมื่อที่รักขอมาว่าอยากกินก้ามปูยักษ์ญี่ปุ่น พี่ก็จะจัดให้จ้ะ
คืออย่างนี้ครับ เมียผมก่อนไปก็ตั้งเป้าไว้ว่า อยากลองกินปูยักษ์ดูสักที่เพราะเห็นว่าคนไปเที่ยวโอซาก้าแล้วไปแถวย่านโดทอมโบริแล้ว ต้องไปกินปูที่ร้านที่เขาประดับปูยักษ์หน้าร้าน ซึ่งผมไปดูตามในเนต สืบไปสืบมาพบว่าร้านที่เขาว่ามานี้ชื่อร้าน “คานิโดระกุ” かに道楽 ซึ่งมีหลายสาขา มีสาขาที่เอซากะด้วย ดังนั้นไม่ต้องถ่อไปถึงโดทอมโบริหรอก เดินจากโรงแรมไปก็ได้กินแล้ว อุตส่าห์ปรินต์แผนที่ร้านจากเวบด้วยนะ แต่ตอนเดินไปดันลืมไว้ที่โรงแรม (ฮา)
ตอนนั้นเริ่มมืดละ ย่านเอซากะออกแนวเป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนทำงาน ข้างทางที่เราเดินไม่ค่อยมีร้านรวงอะไรนัก มีร้านเทปปังยากิ ซุปเปอร์มาเก็ต Maxvalu ร้านลอว์สัน และก็พวกแมนชั่น ถ้าไม่มีซูเปอร์มาเก็ตกับร้านสะดวกซื้อนี่มืดและเปลี่ยวมากๆ ครับ เดินไปตอนหนึ่งทุ่มกว่าๆ นี้ไม่มีคนเดินสวนมาเลย เดินไปตามทางที่ผมจำได้ ไปๆ มาๆ ความจำเริ่มเขว เลยเดินเข้าไปถามพนักงานร้านลอว์สันแถวนั้น น้องเขาก็บอกทางให้เป็นอย่างดี จนทำให้เราไปถึงร้าน “คานิโดระกุ” สาขาเอซากะจนได้ (ฮา)
ไปถึงที่ร้าน โอแม่เจ้า นั่นไง มีปูยักษ์หน้าร้านด้วย ร้านมันแนวหรูจนผมต้องทำตัวเรียบร้อยในทันใด (ฮา) ก่อนอื่นก็ต้องถอดรองเท้าแล้วเดินขึ้นบนร้าน จากนั้นพนักงานจะนำทางเราไปยังห้องนั่งทานอาหารส่วนตัวเล็กๆ แบบญี่ปุ่น นั่งบนเบาะรองกับโต๊ะเตี้ยๆ บอกตรงๆ ว่าผมเองยังมีอึ้ง เพราะแต่ก่อนผมอยู่ญี่ปุ่นสามปีก็จริงแต่ไม่เคยออกมาทานอาหารร้านแนวนี้เองคนเดียวเลย ถ้าจะกินอาหารแนวๆ ปูยักษ์อะไรพวกนี้ มักจะได้ไปนานๆ ทีกับคณะของอาจารย์ที่ปรึกษาที่เขาไปปาร์ตี้เสียมากกว่า และก็นั่งกันแบบเป็นสิบยี่สิบคน แต่นี่ผมกำลังอยู่ในห้องนั่งทานอาหารสไตล์ญี่ปุ่นกับเมียสองคน ไม่น่าเชื่อจริงๆ ด้วยความรักที่มีต่อเมียเลยสั่งชุดใหญ่ไฟกระพริบ โอเคครับพนักงานในชุดญี่ปุ่นมารับออเดอร์ละ ผมสั่งชุด “คางาริบิ” โปรโมชั่นนี้วันนี้วันสุดท้ายพอดี โอ้โฮ และก็สั่งเทมปุระขาปูเพิ่มอีกจาน แน่นอนต้องมีเบียร์สดหนึ่งแก้วด้วย ส่วนคุณภรรยา ดื่มน้ำชาเฉยๆ นี่หละ
อาหารค่อยๆ ทยอยเสิร์ฟมาทีละจานนะครับ เริ่มด้วยออเดิร์ฟรวมห้าอย่าง มีขนมจีบปู กราแตงปู เป็นต้น ตามด้วยขาปูดิบสองอย่างคือขาปูยักษ์ (ปูทาระบะ) และขาปูขน (ปูสุไวอิ) มันปูดิบ ขาปูยักษ์ย่างกินกับน้ำส้ม เทมปุระขาปู (สั่งต่างหาก) ไฮไลท์ของชุดนี้ก็คือ สเต็กเนื้อปูกระทะร้อน ครับ เปิดมาทีแรกจะงงว่าเห็นแค่เนื้อปูมาเป็นพู กับหอมใหญ่ ทีนี้พนักงานเธอบอกว่าให้รอสักสิบนาที ไอ้เราก็ใจร้อนครับ พลิกปูไปมามันก็เริ่มร้อนและเริ่มสุก เลยกินซะเลย พอพนักงานโผล่มาอีกที ตายละกินหมดไปละ คือเขาไปทำซอสสเต็กปูมาครับ ซอสนี้สูตรเด็ดมาก เอามันปูดิบผสมเนยและปลาเค็มฝรั่ง (แองโชวี่) อร่อยจริงๆ ครับซอสเฉยๆ ก็อร่อย แต่เวรแท้ๆ ผมกับเมียดันกินปูหมดไปเสียก่อน ตบท้ายด้วยซูชิปู ไข่ตุ๋นปู และน้ำซุปขาปู ของหวานคราวนี้มาเป็นสไตล์ฝรั่งผสมญี่ปุ่นคล้ายๆ มูสหรืออย่างไรนี่หละจำไม่ได้ถนัด อร่อยจริงๆ มื้อนี้สิริรวมแล้วเป็นเงินหนึ่งหมื่นกับพันกว่าเยน ราคาสมกับอาหาร บรรยากาศร้านและการบริการ
ก่อนออกจากร้าน เมียผมก็ไปยืนดูปูยักษ์เป็นๆ หลายชีวิตที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในตู้กระจก ประมาณเดียวกับร้านซีฟู้ดเมืองไทยที่โชว์ว่ากุ้งหอยปูปลาร้านเราสดๆ เป็นๆ นะจ๊ะ แล้วเมียผมก็บอกว่านึกสงสารปู โถจะมาสงสารอะไรชั่วโมงนี้ (ฮา) ผมก็เช็กบิลยืนคุยกับคุณพนักงานเสิร์ฟ ประมาณว่าเรามาจากเมืองไทยนะจ๊ะ ไม่ใช่เมืองจีน (เขาชอบเข้าใจว่าผมเป็นคนจีน) แบบว่ามาตามเว็บ อะไรประมาณนี้ แล้วก็บ๊ายบาย เป็นอันจบมื้อประทับใจสำหรับภรรยาที่รัก (ฮา)
โอ้ปูจ๋าช่างน่าสงสาร รอเป็นอาหารให้คนมากิน (ไม่ใช่ละ 555)
เดินย้อนกลับมาทางเดิม ผมกับเมียแวะร้านลอว์สันที่ผมถามทางเขามาร้านปู ก็ซื้อพวกขนมอะไรต่างๆ กินกับเมีย ที่ไม่พลาดคือเครื่อมดื่มชอกโกแลตยี่ห้อแวนฮูเท่น (รำลึกความหลังจริงๆ แต่ก่อนตอนเรียนกินบ่อยมาก) เดินไปอีกเจอซูเปอร์มาเก็ต Fresco ซื้อน้ำเปล่าขวดใหญ่กับเกรปฟรุตหนึ่งลูก แล้วก็เดินๆ พากันกลับโรงแรม ต้องขอบคุณเทคโนโลยีอินเตอร์เนตไร้สาย และแอป Skype ที่เมียผมอาศัยไวไฟฟรีที่ล๊อบบี้โรงแรมต่อเน็ด เข้าสไคป์ เปิดวิดีโอคอลคุยกับคุณลูกวัยสี่เดือน (ซึ่งตอนนี้เป็นหนุ่มน้อยเจ็ดขวบละ) คุณน้าและคุณยายของคุณลูก แล้วก็ขึ้นห้อง นอน
ก็เป็นอันว่าจบคืนแรกในญี่ปุ่นแต่เพียงเท่านี้นะครับ (ฮา) ตอนหน้าพบกับการไปเยี่ยมบ้านคุณป้าเซ็ตสึโกะ ย้อนรอยไปเยือนอดีต ม. โอซาก้าไกได (ที่ตอนนี้กลายเป็น ม. โอซาก้า ไปแล้ว) และยังจะมีไปเที่ยวไหนต่อนั้น อย่าลืมติดตามกันด้วยนะครับ
….อร่อยจังคะ (ฮา)
เรื่องแนะนำ :
– “บะหมี่สาวจ้าวนักสู้” (そばっかす!) จงหา “ข้อดี” ในตัวเรา แล้ว “เอาดี” ให้ได้!!!
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (8) “ล้มให้เป็น” ว่าด้วยความหมายที่แท้ของคำว่า “สุเตมิ” 捨て身
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (7) ประชุมวิทยายุทธแมว
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (6) การบำบัดใจด้วย “กายคตาสติปัฏฐาน” ผ่านการฝึก BJJ
– เซนกับบราซิลเลียนยูยิตสู (5) แมวสามตัว กับการจัดการกับ Ego ของตัวเองในการเรียน BJJ
#ฉบับพิเศษ! พาภรรยาสุดที่รักย้อนรอย โอซาก้า นารา เกียวโต ณ ปี 2014 (1) กว่าจะถึงโอซาก้า