ชวนอ่าน : ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ หนังสือที่จะทำให้คุณหลงรักการอ่านหนังสือมากขึ้น
ทุกท่านชอบการอ่านหนังสือกันไหมคะ
หนังสือเล่มโปรดของแต่ละคนคืออะไร
ปีหนึ่งเราอ่านหนังสือกันกี่เล่ม
หนังสือหนึ่งเล่มเราอ่านได้เร็วแค่ไหน
และทุกวันนี้เราอ่านหนังสือไปเพื่ออะไร
สาเหตุที่ถามขึ้นมาเช่นนี้ก็เพราะว่าการอ่านหนังสือ “ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ” หรือ 本を守ろうとする猫の話 ผลงานการเขียนของ นัตสึคาวะ โซสุเกะ ทำให้ดิฉันได้ฉุกคิดเกี่ยวกับการอ่านหนังสือของตัวเอง ว่าจริง ๆ แล้วเราอ่านไปเพื่ออะไร อ่านให้มากเพื่อโชว์? เพื่อให้คนอื่นคิดว่าเป็นคนอ่านหนังสือ? เพื่อความเท่? หรือเพราะอยากอ่านจริง ๆ
เรื่องราวเริ่มต้นที่ร้านนัตสึกิ
“ร้านหนังสือนัตสึกิ เป็นร้านขายหนังสือมือสองเล็ก ๆในมุมหนึ่งของเมือง”
“ร้านขายหนังสือมือสองแห่งนี้ขายหนังสือโดยไม่สนใจแนวโน้มความนิยม หนังสือที่เลิกตีพิมพ์แล้วก็มีไม่น้อย น่าทึ่งที่ปัจจุบันธุรกิจยังคงอยู่ได้ด้วยหนังสือเหล่านี้”
เมื่อปู่ตาย นัตสึกิ รินทาโร่ได้รับช่วงต่อเป็นเจ้าของร้านหนังสือแห่งนี้ ในขณะที่เขากำลังหมดอาลัยตายอยาก “โทระ” เจ้าแมวลายเสือก็มาขอความช่วยเหลือจากรินทาโร่ ให้ช่วยแก้ไขปัญหาในเขาวงกตแห่งหนังสือ รินทาโร่ต้องเจอกับผู้กักขัง ผู้ตัดฉับๆ และ ผู้ขายดี ที่ต่างสะท้อนความเป็นจริงของการอ่านหนังสือในปัจจุบัน
ผู้กักขัง
“ผู้กักขัง” ชายผู้อ่านหนังสือกว่าห้าหมื่นเล่ม ตั้งใจอ่านให้ได้เดือนละ 100 เล่ม และไม่หยิบหนังสือเล่มเก่ามาอ่านซ้ำ
“โลกนี้มีหนังสือมากมายก่ายกอง ผลงานจำนวนนับไม่ถ้วนถูกกาลเวลากลืนหายไป ทุกวันนี้ก็ยังผลิตออกมาอย่างต่อเนื่อง ฉันไม่ว่างพอจะมาอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกหรอก”
“ในโลกนี้มีคนมากมายก่ายกองที่ถูกเรียกว่านักอ่าน แต่คนที่อยู่ในฐานะอย่างฉันต้องอ่านหนังสือให้มากกว่าคนพวกนั้น คนที่อ่านหนังสือสองหมื่นเล่มย่อมมีคุณค่ามากกว่าคนที่อ่านหมื่นเล่ม แค่นี้ฉันก็มีหนังสือที่ต้องอ่านกองเป็นภูเขาเลากาแล้ว ถ้าจะอ่านหนังสือเล่มเดิมซ้ำ ๆ ก็ไม่ต่างอะไรกับการเสียเวลาไปเปล่า ๆ”
อ่านถึงประโยคนี้ จะว่าไม่เห็นด้วยทั้งหมดก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก เพราะดิฉันเองก็เป็นคนหนึ่งที่น้อยครั้งนักจะหยิบหนังสือเล่มเดิมมาอ่านซ้ำ แม้จะตั้งเป้าหมายการอ่านหนังสือแต่ละปี แต่ก็ไม่ได้แน่วแน่ขนาดนั้น คิดว่าอ่านเท่าที่อ่านได้ ไม่ถึงก็ไม่เป็นไร ซึ่งสำหรับการอ่านหนังสือที่ “ผู้กักขัง” ในเรื่องพูดถึง ก็ทำให้เกิดคำถามขึ้นในใจว่า เราจำเป็นที่จะต้องอ่านหนังสือให้มากที่สุด และไม่ควรกลับไปอ่านซ้ำเล่มเดิมจริง ๆ หรือ?
เมื่ออ่านไปเรื่อย ๆ เราจะพบว่าในความเป็นจริงแล้ว “ผู้กักขัง” เป็นคนที่ชอบหนังสือ แต่อาจมองด้วยมุมมองที่ผิดแปลกไปบ้าง ซึ่งความคิดของรินทาโร่ ที่ได้รับการสั่งสอนและปลูกฝังจากปู่ ก็ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนความคิดของผู้กักขังได้ในท้ายที่สุด และเหตุผลของเขาก็ทำให้เราพยักหน้าเห็นด้วยไประหว่างอ่าน
ผู้ตัดฉับ ๆ
เช่นเดียวกับเหตุการณ์ในเขาวงกตแห่งที่สอง รินทาโร่ได้ไปเจอกับผู้ตัดฉับๆ
“เขาตัวไม่สูง รูปร่างอ้วนกลม กำลังจดจ่อกับการทำงานบางอย่าง พอลองชะเง้อมองด้วยความอยากรู้ว่าเขากำลังทำอะไร พวกรินทาโร่ก็ต้องประหลาดใจที่เห็นเขาถือหนังสือในมือซ้าย และใช้กรรไกรในมือขวาตัดหนังสือเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย”
“โลกนี้มีหนังสือมากมายนับไม่ถ้วน ในขณะที่มนุษย์อย่างพวกเรายุ่งจนเกินไป จึงไม่มีเวลาอ่านได้ทุกเล่ม แต่เมื่อใดที่งานวิจัยของฉันเสร็จสมบูรณ์ ผู้คนจะสามารถอ่านหนังสือได้วันละหลายสิบเล่ม ไม่ใช่แค่หนังสือติดอันดับขายดีที่อยู่ในกระแสนิยม แต่ยังอ่านเรื่องราวที่สลับซับซ้อนและหนังสือปรัชญายาก ๆ ได้ภายในชั่วอึดใจ”
หากจะว่าไปแล้ว สิ่งที่ผู้ตัดฉับ ๆ พูดก็ถือว่าถูกต้อง (ประเด็นที่ว่า โลกนี้มีหนังสือมากมายนับไม่ถ้วน ในขณะที่มนุษย์อย่างพวกเรายุ่งจนเกินไป จึงไม่มีเวลาอ่านได้ทุกเล่ม) และจุดประสงค์ที่อยากทำให้หนังสืออยู่รอดก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่อง แต่ก็มีความบิดเบี้ยวเช่นกันในความรู้สึก จนไปสู่คำถามเกิดขึ้นในใจระหว่างอ่านว่า หากเราอ่านเร็ว อ่านหนังสือจบได้วันละหลายสิบเล่ม แต่อ่านได้เพียงเรื่องย่อหรือสรุป จะสามารถพูดได้เต็มปากไหมว่าเราอ่านหนังสือจบ เพราะสิ่งที่งดงามในหนังสือซึ่งผู้เขียนต้องการสื่อออกมา ไม่ว่าจะเป็น คำพรรณนา บรรยาย สัญลักษณ์ ในหนังสือก็จะถูกตัดออกเหลือเพียงประโยคสรุปห้วน 1 ประโยคเท่านั้น ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงไหมคะ?
“การอ่านเร็วหรืออ่านเฉพาะเรื่องย่อทำให้หนังสือสูญเสียพลังในตัวมันเอง”
ผู้ขายดี
สิ่งที่รินทาโร่พูดคุยกับผู้ตัดฉับ ๆ ทำให้เขาแก้ไขสถานการณ์และผ่านพ้นมาได้ แต่เขาก็ต้องมาเจอกับ “ผู้ขายดี” ประธานของสำนักพิมพ์อันดับหนึ่งของโลกซึ่งเปรียบเสมือนตัวแทนของผู้ขายหนังสือในปัจจุบันที่ต้องการให้หนังสืออยู่รอด มีคนซื้อ จึงตีพิมพ์แต่หนังสือที่ขายดีและเป็นประเภทที่คนชอบ
“ที่นี่คือสำนักพิมพ์ยักษ์ใหญ่ในโลก เราผลิตหนังสือมากมายก่ายกองทุกวัน แล้วขายให้คนทั่วไปจนหมด จากนั้นนำกำไรที่ได้มาผลิตหนังสืออีกมากมาย แล้วขายให้หมดอีก ขายมันเข้าไปเพื่อให้ได้กำไรมากยิ่งขึ้น”
“สำนักพิมพ์ของเราไม่ได้ผลิตหนังสือเพื่อสื่อสารอะไรบางอย่าง แต่ผลิต ‘หนังสือที่สังคมต้องการ’ ไอ้ข้อความที่ควรถ่ายทอด ปรัชญาที่ควรบอกเล่าต่อชนรุ่นหลัง ความจริงอันโหดร้าย หรือสัจธรรมเข้าใจยากพวกนั้น ช่างหัวมันเถอะ สังคมไม่ได้ต้องการของเหล่านั้น สิ่งสำคัญสำหรับสำนักพิมพ์ไม่ใช่การครุ่นคิดว่า ‘ควรบอกอะไรกับโลกใบนี้’ แต่เป็นการรู้ว่า ‘โลกอยากให้เราบอกอะไร’ ต่างหาก”
นอกจากนี้สิ่งที่ประธาน “ผู้ขายดี” กล่าวเสริม ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ ในปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้จึงคล้ายกับกำลังทำหน้าที่เสียดสีและสะกิดใจคนอ่านให้นึกถึงความจริงข้อนี้
“สำหรับนักอ่านที่อยากได้แค่ความตื่นเต้น หนังสือที่บรรยายฉากรุนแรงหรือเพศสัมพันธ์อย่างโจ่งแจ้งจะขายดีที่สุด ส่วนนักอ่านที่ขาดจินตนาการ แค่เราเพิ่มคำโฆษณาเข้าไปว่า ‘เรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริง’ ยอดตีพิมพ์ก็จะเพิ่มขึ้นอีกหลายเปอร์เซ็นต์ ยอดขายก็พุ่งถล่มทลาย น่ายินดีสุด ๆ ไปเลย” ฯลฯ
แต่เหตุผลที่รินทาโร่เลือกเอามาพูดและสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของท่านประธานได้ (ไม่สปอย แต่อยากให้ไปหาคำตอบด้วยตัวเองค่ะ) เราก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง และเห็นว่าหลาย ๆ สำนักพิมพ์ในปัจจุบัน เท่าที่เห็นในประเทศไทย ก็กำลังทำสิ่งนี้อยู่มากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่ว่ายังไงก็ตาม คนอยากให้หนังสืออยู่รอด ก็คือคนที่ชอบหนังสือ คุณผู้อ่านว่าจริงไหมคะ?
นอกเหนือจากเขาวงกตทั้งสามแล้ว รินทาโร่ยังได้เจอกับเขาวงกตแห่งที่สี่ ซึ่งเป็นตัวสรุปของเรื่องราวการอ่านหนังสือทั้งหมด ซึ่งหนังสือเล่มนี้ไม่เพียงแต่สอดแทรกเรื่องราวของหนังสือเท่านั้น แต่ยังให้บทเรียนชีวิตในเรื่องการก้าวต่อไปข้างหน้า ยามที่ชีวิตเกิดอุปสรรคไว้อย่างดี
ท้ายที่สุดแล้ว หนังสือเล่มนี้จึงไม่ใช่เพียงหนังสือแฟนตาซีผจญภัยที่อ่านได้เพลิน ๆ หากแต่ยังทำให้เกิดการขบคิด เห็นต่าง และเห็นด้วยในใจของผู้อ่านตลอดทั้งเล่ม ส่วนผู้ที่สงสัยว่ารินทาโร่จะแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างไร ร้านหนังสือนัตสึกิจะต้องปิดตัวลงหรือไม่ (ซึ่งเราขออนุญาตไม่บอกในบทความนี้) ขอเชิญทุกท่านร่วมเปิดหนังสือ ไล่สายตาไปทีละบรรทัดโดยไม่เร่งรีบ แล้วจะพบคำตอบที่ซ่อนอยู่ หากชอบใจก็อาจหยิบมาอ่านซ้ำ เหมือนที่ดิฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้ก็ได้ค่ะ
“การอ่านหนังสือไม่ควรหวังแค่ความสำราญหรือความน่าตื่นเต้น บางครั้งเราต้องดื่มด่ำไปทีละประโยค อ่านเนื้อหาเดิมซ้ำไปซ้ำมา หรืออ่านช้า ๆ พร้อมกับกุมขมับไปด้วย งานที่ยากลำบากนั้นช่วยเปิดโลกทัศน์ให้เราแบบไม่ทันตั้งตัว เหมือนเวลาปีนถึงยอดเขาแล้วเห็นทิวทัศน์กว้างไกล”
ข้อมูลหนังสือ
ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ (本を守ろうとする猫の話)
ผู้เขียน: Sōsuke Natsukawa
ผู้แปล: ฉัตรขวัญ อดิศัย
สำนักพิมพ์: Bibli
เรื่องแนะนำ :
– ชวนอ่าน : ผีญี่ปุ่น เรื่องของความสยองขวัญ ความเชื่อ และตำนานของชาวญี่ปุ่น
– ชวนส่อง : งานศิลป์สุดเจ๋งจากลายเส้นปากกาลูกลื่น
– มาเพิ่มกองดอง ด้วยหนังสือแปลออกใหม่ ที่น่าซื้อและโดนใจ
– ชวนอ่าน : ฆาตกรบ้านพักคนตาย การผสมผสานของนิยายสืบสวนแบบดั้งเดิมและหายนะที่คาดไม่ถึง
– หลงเสน่ห์ไปกับบรรจุภัณฑ์แบบเจแปนสไตล์ ที่เห็นทีไรก็อยากซื้อ
#ชวนอ่าน : ปาฏิหาริย์แมวลายส้มผู้พิทักษ์หนังสือ