วิชายุทธ วิถีเซน by Lordofwar Nick
มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (40) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): สามสิบ สิ่งที่เรียกว่าการแทงใบหน้า
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน ขณะที่ผมเขียนอยู่ตอนนี้ รถผมเข้าอู่ (ซ่อมสี) อยู่นะครับ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม (จากเหตุการณ์โดนสิบล้อชน จริงๆ โดนตั้งแต่มีนาละแต่ว่าด้วยความต้องรออะไหล่และรอลูกปิดเทอมก่อน) ก็เลยตัดสินใจว่า ช่วงที่ไม่มีรถของตัวเองขับ (ต้องขับรถเมีย 555 อ้อ ไปรับไปส่งด้วยนะ) ก็ถือโอกาสนี้ “หยุดพัก” สักหนึ่งสัปดาห์ไปเลยดีกว่า บางทีการพักอาจจะทำให้อะไรๆ ในหัวมันโล่งขึ้นก็ได้ พอพักวันแรกนะ โหย เจ็บปวดในเนื้อตัว (เดาว่าคงเป็นความเจ็บที่สะสมที่ในขณะที่ยังฝึกอยู่ จิตมันสะกดข่มเอาไว้ แต่พอพัก จิตก็ผ่อน ความเจ็บก็ปะทุ) แต่พอผ่านไปสามวัน ได้นอนหลับคร่อกๆ ได้นั่งเล่นอยู่กับลูกกับเมีย สภาพจิตใจและร่างกายก็ค่อยยังชั่วขึ้น
ในวันแรกๆ ผมใจแบบ ล้ามาก ไม่อยากรับรู้อะไร กะว่าจะ BJJ Detox (อารมณ์คล้ายๆ Social Media Detox) ไปเลย คือนอกจากจะงดซ้อมแล้ว ยังจะงดการรับรู้อะไรที่เกี่ยวกับ BJJ ด้วย งดดูยูทูป งดดูวิดีโอสอน แต่พอผ่านไปแค่สามวัน ผมดันไปเห็นรูปวาดกระบวนท่ากิโยตินโช๊คจากโคลสการ์ด แล้วก็รู้สึกว่า โอ มันช่างงดงามเสียนี่กระไร เอาให้ท่านผู้อ่านดูด้วยจะได้เสพความงามของท่วงท่าไปพร้อมๆ กันนะครับ
ที่มา bjjsuccess.com
แล้วผมก็มานั่งจินตนาการไปต่อว่า ถ้าเข้าโคลสการ์ดแล้วมีท่วงท่าอะไรที่ไปต่อได้บ้างให้มันลื่นไหลเหมือนสายน้ำ แล้วก็รู้สึกว่าเออถ้าเราทำได้อย่างที่จินตนาการมันก็คงฟินดี การแข่งคราวล่าสุดที่ผ่านมาผมย้ำเตือนในใจว่าเพราะโคลสการ์ดผมไม่ดีพอ เลยถูกทำลายในตอนหลังได้ ผมควรคิดว่าทำยังไงเวลาผมโคลสการ์ดได้แล้วจะสามารถหาจุดจะทำ submission หรือ sweep หรือ transition ได้ดีกว่าเหมาะกว่านี้ในเวลาที่สแปริ่งกัน…
สรุปคือสามวันผ่านไปในหัวผมก็นะ ยัง imagine กับ BJJ ได้อยู่อีก (ฮา) แต่มันก็ดีแล้วครับ การพักจากการรับสื่อภายนอก อาจทำให้มีเวลาเรียบเรียงสิ่งที่อยู่ในภายในสมองของเราได้ดีขึ้น ได้เห็นอะไรมากขึ้นก็เป็นได้
ผมเลยเริ่มรู้สึกว่า การฝึกที่จะพัก การฝึกตัวเองให้รู้จัก “ไม่ฝึก” ด้วยนี่ ก็เป็นสิ่งจำเป็นเหมือนกันนะครับ หากมองในภาพรวมในระยะยาว ความคิดตรงนี้อาจจะ “ขัดแย้ง” กับค่านิยมในโลกยุคนี้เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน สังคมทุนนิยมได้สร้าง “อารยธรรมแห่งการบ้างาน” ขึ้นมา ซึ่งผมจะขอจำแนกรายละเอียดของมันเป็นข้อๆ ดังนี้
● นิยามคำว่า “งาน” แบบแคบๆ ว่า ต้องเสียเวลาทำแล้วได้ผลตอบแทนเป็นสิ่งที่จับต้องได้ เช่นเงิน (ทำให้คนละเลยที่จะให้เวลาเพื่อสิ่งอื่นที่มีคุณค่าทางใจในฐานะ “มนุษย์” ที่เป็น “สัตว์สังคม” เช่นเวลาในการอยู่กับครอบครัว เวลาในการพักผ่อนหย่อนใจ ชมธรรมชาติ สร้างงานศิลปะ)
● พอนิยามคำว่า “งาน” แบบแคบๆ แล้ว ทำให้เกิดค่านิยมว่าต้องใช้เวลาเพื่อ “งาน” ตามนิยามแคบ (คือใช้เวลาเพื่อ “หาเงิน” ผลิต “ผลผลิต”) เท่านั้น ก่อให้เกิดวัฒนธรรมการทำโอทีอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งพอถึงจุดหนึ่งก็กลายเป็น “โอฟรี” ภายใต้คำว่า เพื่อองค์กร ๕๕๕
● สังคมทุนนิยมเรียกร้อง “ประสิทธิภาพ” กับ “ผลิตภาพ” ตลอดเวลาไม่มีหยุด ต้องรีดเค้นความสามารถให้มากๆ ต้องเก่งขึ้น ดีขึ้น ตลอดเวลา สถิติตัวเลขมีไว้ให้ทำลายเสมอ ทำให้เกิดความกดดัน ว่าถ้าทำได้แย่กว่าเดิม แปลว่ามึงห่วย มึงจะกลายเป็นคนที่สังคมไม่ต้องการ โรงเรียนหรือที่ทำงานไม่ต้องการนะ การติดอยู่ในกับดักความคิดแบบนี้ นำไปสู่การใช้สารกระตุ้น กินกาแฟ เครื่องดื่มชูกำลังเข้าไป เครียดก็กินเหล่าเข้าไป แล้วก็ป่วย เป็นโรคซึมเศร้า ไม่ไหวมากๆ ก็ฆ่าตัวตาย
คุ้นๆ ไหมครับว่า อารยธรรมแบบนี้ เหมือนกับประเทศอะไร? ที่แบบ บ้างานมากๆ จนโรคทำงานหนักจนตายหรือโดนใช้ให้ทำโอทีจนฆ่าตัวตายน่ะ?
ผมไม่ได้ต่อต้านนะ เพราะผมไม่มีกำลังจะไปต่อต้านหรอก ผมก็เป็นแค่มนุษย์เงินเดือนเหมือนกับท่านผู้อ่านอีกหลายๆ ท่านน่ะแหละ และต่อให้คุณเป็นเจ้าของกิจการ คุณก็ยังอยู่ใต้ระบบทุนนิยมนี้อยู่ดี (ต้องแข่งขัน ทำการตลาด ทำไงก็ได้ให้ของขายได้) ที่ผมพูดมานี่ก็ไม่ใช่เพื่อล้มล้างหรือต่อต้าน แต่ผมพูดเพื่อให้เราในฐานะปัจเจกชน “ฉุกคิด” แล้ว “ปรับแก้” ชีวิตที่เป็นอยู่ ให้มันเข้าสู่จุดสมดุลให้มากสุดเท่าที่เราจะทำได้ ต่างหาก
และนี่คือเหตุผลที่ผมมาศึกษาปรัชญาของมูซาชิ และฝึก BJJ นี่หละครับ เพื่อเป็น “ภูมิคุ้มกัน” ตัวกันตัวแก้ ให้ยังประคองชีวิตในสังคมทุนนิยมนี้ได้ โดยที่ไม่เป็นโรคต่างๆ รวมถึงโรคซึมเศร้า เอ้ามันเป็นตัวแก้ตัวกันได้ยังไง ผมจะแจกแจงให้ฟัง
● BJJ เป็นกิจกรรมที่ทำแล้วเราจะได้กลับมาเป็น “มนุษย์” เป็น “สัตว์สังคม” เพราะเรามีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนในยิมแบบถึงเนื้อถึงตัว ฝึกการปล้ำล็อค กอดรัดฟัดเหวี่ยงก็จริงแต่ไม่ได้จะมาฆ่ากัน (ฮา) เรามาฝึกเพื่อให้ทั้งเราและเขาเก่งขึ้นด้วยกัน เรียกว่า stronger together ความเหนื่อยยากของการเคลื่อนไหวร่างกาย เหงื่อที่ไหล การเคลื่อนไหวไปตามสัญชาตญาณ จะเป็นเครื่องย้ำเตือนวา เราเป็น “มนุษย์” เป็น “สิ่งมีชีวิต” นะ ไม่ใช้แค่หุ่นยนต์ที่ทำไปตามสั่ง อย่างที่สังคมทุนนิยม อำนาจนิยมในโรงเรียนหรือที่ทำงานพยายามให้เราเป็น
● BJJ จะทำให้เราได้รู้ว่า ขณะที่ในระยะยาว เราควรจะเก่งขึ้นไปตามธรรมชาติก็จริง แต่ในระหว่างทาง อะไรก็เกิดขึ้นได้ เราอาจจะแบบ วันนี้ห่วยกว่าเมื่อวาน ก็ได้ เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ และเราก็ไม่ควรไปฟูมฟายกับมันให้มากไป เพราะถึงคุณจะดีขึ้นหรือห่วยลง มีวันที่ดีหรือแย่ คุณก็ยังอยู่ตรงนี้ ยังเล่นอยู่ ยังมีเพื่อนเล่น ใช่ไหมล่ะ? มีวันที่ต้องเจ็บ มีวันที่ต้องขอพักเบรค แต่ นั่นแหละชีวิต! (That’s life) ชีวิตไม่เพอเฟค เกิดเป็นคนไม่มีอะไรเพอเฟค แต่สังคมทุนนิยม สังคมอุตสาหกรรม เรียกร้องความเพอเฟคเหมือนหุ่นยนต์หรือเครื่องจักร ซึ่งมันผิดธรรมชาติมนุษย์ซึ่งเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ถ้าเรารับเอาสิ่งที่ผิดหรือขัดต่อธรรมชาติของเรามาใส่ตัวเรา ผลจะเป็นยังไงก็จินตนาการกันเองละกันนะครับ
สิ่งใดดีกับเราไม่ดีกับเรา ขอให้เราใช้สติปัญญาของเราในฐานะที่เป็นคน คิดหาสิ่งที่ดีที่สุดแก่ตัวเรากันนะครับ เราจะเป็นมนุษย์ที่เป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ได้ก็ด้วยการฝึกตัวเองให้มีสติปัญญาคิดใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ให้ดีก่อนลงมือทำ จำไว้ว่า คนที่ทำอะไรแค่ตามเขาบอก ตามกระแสอย่างไม่คิด คนๆ นั้นเป็นได้แค่หุ่นยนต์เท่านั้นเองครับหาเป็นมนุษย์ที่แท้ไม่
พูดเสียยาวละวันนี้ ขอเข้าเนื้อหาหลักเลยนะครับผม
คำแปลข้อความต้นฉบับ
水の巻
คัมภีร์แห่งอาโป
三〇 一 面てをさすと云事
สามสิบ สิ่งที่เรียกว่าการแทงใบหน้า
`面をさす `とは `敵太刀相になりて敵の太刀の間我太刀の間に敵の顔を我太刀さきにて突く心に常に思ふ所肝心也 `敵の顔を突く心有れば敵の顔身ものるもの也 `敵をのらする様にしては色々勝ち所の利有 `能々工夫すべし
ที่ว่า “แทงใบหน้า” นั้น เมื่อประทะจิของศัตรู ระหว่างทะจิของศัตรู ระหว่างทะจิของเรา ให้นึกไว้เสมอว่าตั้งจิตทะลวงใบหน้าของศัตรูด้วยปลายทะจิของตน เป็นเรื่องใหญ่ใจสำคัญ หากตั้งจิตทะลวงใบหน้าของศัตรู แม้ใบหน้าของศัตรู แม้กายก็เอนไปทางหลัง เมื่อทำให้ศัตรูมีอาการเอนไปทางหลังแล้ว จะมีประโยชน์ (ได้เปรียบ) ที่จะชนะไปต่างๆ สมควรคิดบ่อยๆ ให้แยบคาย
`戦の内に敵の身のる心有てははや勝所也 `夫によつて面をさすと云事忘るべからず `兵法稽古の内に此利鍛錬有べきもの也
ในการศึกเมื่อตั้งจิตให้กายศัตรูเอนไปข้างหลังแล้ว จักชนะได้ไว อาศัยดังนั้น อย่าได้ลืมสิ่งที่เรียกว่าแทงใบหน้า ในการฝึกเรียนพิชัยสงคราม เป็นสิ่งที่สมควรฝึกฝนประโยชน์นี้
การตีความและอภิปราย
คำที่ผมติดใจมากที่สุดในตอนนี้คือคำว่า “ทำให้ศัตรูมีอาการเอนไปทางหลัง” (เทคิ โวะ โนราสุรุ 敵をのらする) ต้องยอมรับตรงๆ ว่าคราวนี้ผมแกะคำโบราณไม่ใคร่ออก のらする นั้น ในการตีความเป็นคำสมัยใหม่เขาตีว่าน่าจะหมายถึง โนเคโซราเซรุ 仰け反らせる ซึ่งคำว่า โนเคโซรุ 仰け反る นั้น แปลตรงตัวก็คือ “หงายหลัง” ฉะนั้น โนเคโซราเซรุ ก็แปลได้ว่า “ทำให้หงายข้างหลัง” นั่นเอง
ท่านผู้อ่านครับ แม้แต่ในบีเจเจบางสำนักยังมีคำสอนที่อ้างอิงไปถึงจุดถ่วงสมดุลของร่างกายคนที่ตรงท้องน้อย (ต่ำกว่าสะดือลงไป) เลยครับ ซึ่งถ้าเอาตามทัศนะโบราณ มันพ้องกับ จุดทันเด็น (丹田) (จีนเรียกตันเถียน) เลยครับ ร่างกายคนเรา ถ้าเราหงายหลัง นั่นคือร่างกายท่อนบนของเราเบนออกจากแนวเส้นตรงของจุดถ่วงสมดุลตรงท้องน้อยไปแล้ว ร่างกายเสียสมดุลในที่นี่ ก็คือการ “ล้ม” หงายหลังลงไปนั่นเอง
ท่าเทคดาวน์ที่เป็นตัวแทนแนวคิดนี้ที่เห็นชัดสุดคือ DOUBLE LEG TAKEDOWN ครับ
DOUBLE LEG TAKEDOWN ที่มา bjj-spot
จากรูป ลองจินตนาการนะครับ หนึ่ง รวบขาไว้ไม่ให้หนี สอง ใช้หัวกับหัวไหล่ดันให้อีกฝ่ายเอนไปข้างหลัง กิริยาการเอนไปข้างหลังจะแรงขึ้นหากดึงขามาหาตัวเรา แล้วดันหัวกับหัวไหล่ไปข้างหน้า ร่างของอีกฝ่ายก็จะเหมือนไม้กระดานหกกระดกไป
ฉะนั้นการทำให้คู่ต่อสู้เอนไปข้างหลัง (ในอาการผงะเหมือนจะหงายหลัง) ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สมควรจะฝึกให้ใช้การได้ นั่นเอง
ก็เป็นอันจบการอภิปรายเนื้อหาหลักแต่เพียงเท่านี้
ก่อนจากกัน มีอะไรเหมือนจะขำๆ ขอพูดต่อเนื่องจากเรื่องที่ว่าในชีวิตการฝึกย่อมมีทั้งช่วงทีดีและห่วยนะครับ เอาภาพกราฟขำๆ มาให้ดูเป็นข้อเตือนใจครับ
ที่มา reddit
ก็นะ
● ตอนเป็นสายขาว ขยันจุง BJJ is life!
● พอขึ้นสายน้ำเงินปั๊บ กราฟตก เกิดอาการเรื้อรัง เจ็บนั่นเจ็บนี่ ฝีมือตก ความมั่นใจหดหาย (ผมนี่แหละเป็น)
● บางคน มือกำลังขึ้น แต่ เจ็บหนัก! พอเจ็บหนัก ซ้อมไม่ได้ เครียด กินเหล้า
● ตรงนี้แหละครับ หัวเลี้ยวหัวต่อ บางคนเจออะไรพวกนี้ ก็ หมดไฟ ถามตัวเองว่าจะไปต่อหรือพอส่ำนี้ (ฮา) นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมสายน้ำเงินบางคน (หรือหลายคน) ไปไม่ถึงสายม่วง
ประเด็นคือ เราต้องเข้าใจ ยอมรับว่า เรามักจะคิดว่าความเก่งต้องเป็นเส้นตรง เป็นกราฟเส้นตรงที่แปรผันตรงกับเวลาที่ใช้ในการฝึกซ้อม แต่กราฟที่มันเป็นจริงๆ มันไม่เคยเป็น linear ปานนั้นครับ (ชีวิตคนเราก็เช่นกัน)
ผมคิดว่า ถ้าเราทำใจยอมรับตรงนี้ได้ เริ่มจากบนเบาะ BJJ เราก็จะขยายผลเอาไปใช้กับเรื่องอื่นๆ ในชีวิต ถ้าคนส่วนใหญ่สมาทานแนวคิด “นั่นแหละชีวิต” แทน “อารยธรรมบ้างาน” แบบทุนนิยม ผมคิดว่าปัญหาโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายจะลดลงได้ครับ
ที่มา merriam-webster.com
สมัยนี้คนคิดฆ่าตัวตายชักจะถี่ขึ้นแถมยังสรรหาวิธีแปลกๆ อย่างในข่าวนี้ ที่แบบ คิดได้ไง ไปเช่าปืนในสนามยิงปืนเพื่อทำทีจะหัดยิงปืนเล่นแล้วจะยิงตัวเองตาย ผมคิดว่านี่เป็นปัญหาที่เราจะต้องคิดหาทางแก้ไขในเรื่องทัศนคติ ค่านิยม วิธีคิดกันในระดับปัจเจกบุคคลก่อน (เพราะตอนนี้เรายังหวังการแก้ไขในระดับสังคม เศรษฐกิจทั้งระบบไม่ได้)
ในหลายๆ กรณี หลายๆ เรื่อง ไอ้คำพูดติดปากจำพวก “สู้ๆ นะ” ที่คนไทยไปรับเอาจากภาษาญี่ปุ่น วัฒนธรรมญี่ปุ่นว่า กัมบัตเตะเนะ 頑張ってね เนี่ย ผมชั่วโมงนี้มองว่า แม่งเป็นคำพูดที่งี่เง่าสิ้นดีเลย นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้วยังเหมือนเป็นคำพูดที่ผลักภาระ ประมาณว่า “ที่ปัญหามันแก้ไม่ได้ ก็เพราะมึงมันไม่พยายามพอ ไม่สู้ มึงมันห่วย” เป็นคำพูดที่เหมาะมากในการผลักไสคนที่จิตดิ่งอยู่แล้วให้ฆ่าตัวตายไวขึ้น
การแก้ปัญหา ต้องมีวิธีการที่เหมาะสม ได้ผล การช่วยคนให้ได้นั้น เราต้องมอบ “วิธีการที่เหมาะสม” ให้แก่เขาครับ ไม่ใช่มัวแต่พูดว่าสู้ๆ นะ แล้วก็ปล่อยให้เขาพุ่งชนกับปัญหาเหมือนกระบือต่อไป
ผมหวังว่า การที่ผมเอาเรื่องคัมภีร์ห้าห่วงมาเขียน พร้อมกับสอดแทรกเรื่องราวชีวิตและมุมมองของผม คงจะให้ “วิธีการที่เหมาะสม” ที่ท่านผู้อ่านเอาไปใช้กับตัวเองเพื่อแก้ไขหรือป้องกันตัวเองจากอะไรต่างๆ ในโลกนี้กันได้นะครับ หากเป็นเช่นนั้นได้ผมก็ดีใจแล้วครับ
พบกันใหม่เดือนหน้าพฤศจิกายนนะครับสวัสดีครับ
เรื่องแนะนำ :
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (39) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): ยี่สิบเก้า การรับทั้งสาม
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (38) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): ยี่สิบแปด สิ่งที่เรียกว่าการกระทบถูกของกาย
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (37) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): ยี่สิบเจ็ด สิ่งที่เรียกว่าการป้ายกาวเหนียว
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (36) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): ยี่สิบหก สิ่งที่เรียกว่า การเปรียบส่วนสูง
– มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (35) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): ยี่สิบห้า สิ่งที่เรียกว่ากายแห่งเคลือบเงาและกาวหนังสัตว์
#มาอ่าน “คัมภีร์ห้าห่วง” ของมูซาชิด้วยกันเถอะ (40) คัมภีร์แห่งอาโป (น้ำ): สามสิบ สิ่งที่เรียกว่าการแทงใบหน้า